ตอนที่ 492 ฆ่า

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 492 ฆ่า

ตั้งแต่กลับมาจากภูเขาหนานซาน อารมณ์ของถงเหยียนก็มิค่อยมั่นคงเท่าใดนัก

คนผู้นี้จะฆ่าหรือมิฆ่าดี เกิดความลังเลขึ้นมาในใจของนาง

หากว่ามิฆ่า จะตอบแทนบุญคุณที่ลัทธิจันทราเลี้ยงดูตนเองมาได้เยี่ยงไร ?

แต่ถ้าฆ่าเขา จะเป็นการทำลายความหวังของผู้คนมากมายที่ทำงานกันท่ามกลางหิมะอันหนาวเหน็บหรือไม่ ?

ในขณะที่ถงเหยียนกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ก็ได้มีคนผู้หนึ่งเดินเข้ามาในห้องของนาง

เป็นสตรีอายุราว 20 ปี รูปร่างหน้าตางดงามเฉกเช่นเดียวกับนาง สตรีผู้นี้ถือผ้าห่อสีดำเดินโยกตัวเข้ามา นางมองดูถงเหยียนแล้วหัวเราะขึ้นมาพร้อมกับเอ่ยว่า “ศิษย์น้อง ข้ามาช่วยเจ้าแล้ว ดูท่าทางของเจ้าสิ มิสบายใจอันใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

ถงเหยียนขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย นางจ้องไปยังสตรีผู้นี้

“นี่คือหน้าที่ของข้า ไป๋จื่อ เจ้าเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วยเหตุอันใดกัน ? ”

แม่นางที่นามว่าไป๋จื่อนั้นหัวเราะออกมาเบา ๆ พร้อมกับเอ่ยว่า “ได้ยินมาว่าข้างกายของฟู่เสี่ยวกวนนั้นมีผู้มีฝีมือระดับสูงแห่งสำนักเต๋าอยู่มากมาย ศิษย์น้อง ข้านั้นแค่เป็นห่วงความปลอดภัยของเจ้าเท่านั้นเองมิใช่หรือ ? อีกอย่าง…ท่านหัวหน้าลัทธิได้สั่งการมาว่า ฟู่เสี่ยวกวนจะต้องตาย อีกทั้งต้องตายภายในค่ำคืนนี้เท่านั้น มิเยี่ยงนั้น เกรงว่าสถานการณ์จะมิดีต่อท่านหัวหน้าลัทธิเป็นแน่”

นางนำห่อผ้าสีดำนั้นโยนลงไปบนเตียงของถงเหยียนแล้วยกยิ้มขึ้น “ศิษย์น้องเป็นคนใจอ่อน หากว่าถูกเจ้าฟู่เสี่ยวกวนนั่นตบตา อาจจะมิกล้าลงมือ…” ใบหน้าของนางเริ่มเก็บรอยยิ้มนั้นลง และความเคร่งขรึมก็ได้เข้ามาแทนที่ “หากว่าศิษย์น้องมิกล้าลงมือ เกรงว่าลัทธิจันทราจะต้องเผชิญหน้ากับความพินาศเป็นแน่ ! ”

นางยืดหลังตรง บนใบหน้านั้นมีรอยยิ้มเผยออกมาอีกคราหนึ่ง “พวกเราล้วนเติบโตมาได้เพราะลัทธิจันทรา ลัทธิจันทราเปรียบเสมือนบ้านของเรา ! ศิษย์น้อง ข้าได้ยินมาว่าวันนี้เจ้าได้ไปที่ภูเขาหนานซานมาด้วยนี่ จงอย่าได้ถูกฟู่เสี่ยวกวนหลอกเชียว เมื่อคราที่ท่านอาจารย์ยังมีชีวิตอยู่ท่านมักกล่าวว่าศิษย์น้องเป็นผู้อ่อนไหวในความรู้สึก ในใจลึก ๆ มีความเมตตายิ่ง ดังนั้นเพื่อให้ภารกิจนี้สิ้นสุดไปได้ด้วยดี ท่านหัวหน้าลัทธิจึงได้ส่งข้ามาช่วยเจ้า”

“หากว่าพวกเราทั้งสองคนร่วมมือกัน เจ้าฟู่เสี่ยวกวนนั่นต่อให้มีปีกก็หนีมิพ้นอย่างแน่นอน”

ถงเหยียนยังคงจ้องมองไปยังไป๋จื่อแล้วเอ่ยถามขึ้นมาว่า “เจ้ามานานแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“ก็มิเชิง เดิมทีข้าจะมาฆ่าโจวถงถงเสีย แต่ข้างกายของเขามีเจ้าอ้วนขั้นปรมาจารย์อยู่ด้วย จึงฆ่ามิสะดวกนัก ดังนั้นท่านหัวหน้าลัทธิจึงออกคำสั่งให้ข้ามาช่วยเจ้า ข้าเพิ่งจะเดินทางมาถึงในวันนี้ และได้ยินมาว่าเจ้าได้เดินทางไปยังภูเขาหนานซาน จึงอดที่จะรู้สึกแปลกใจมิได้…”

“ศิษย์น้อง เจ้าไปที่ภูเขาหนานซานเพื่ออันใดกัน ? ”

มุมปากของถงเหยียนเผยอขึ้น ยกยิ้มแล้วกล่าวว่า “ข้าไปดูว่าฟู่เสี่ยวกวนเป็นคนเยี่ยงไรกันแน่ ? ”

“แล้วมองออกหรือไม่ ? ”

“พอจะมองออกบ้างแล้ว”

“ช่วยเล่าให้ศิษย์พี่ฟังสักหน่อยได้หรือไม่ ? ”

ถงเหยียนมองออกไปนอกหน้าต่างที่บัดนี้ได้มืดมิดแล้ว “มิเล่าก็มิเป็นไร”

“…ศิษย์น้อง เจ้าจงฟังข้าสักหน่อย ฟู่เสี่ยวกวนผู้นั้นเป็นขุนนางระดับสามแห่งราชวงศ์หยู อีกทั้งเขายังเป็นถึงองค์ชายแห่งราชวงศ์อู๋ แล้วเจ้าเล่า ? เจ้าเป็นเพียงกบฏ ผู้หักหลัง เป็นคนเลว ! ในสายตาของพวกเขา คนเราดูถูกผู้อื่นได้ แต่ที่สำคัญจะต้องมิดูถูกตนเอง”

“ศิษย์พี่รู้ดีว่าเจ้านั้นมีรูปร่างหน้าตาที่งดงามดุจเทพธิดา อีกทั้งมิว่าจะเป็นศิลปะด้านใดเจ้าล้วนเก่งกาจทั้งสิ้น แต่น่าเสียดายที่เจ้าเกิดมาผิดที่ ศิษย์พี่ใหญ่ชื่นชอบเจ้ามิใช่แค่เพียงวันสองวัน ข้าคิดว่าเจ้านั้นเหมาะกับศิษย์พี่ใหญ่มากยิ่งนัก ส่วนเรื่องอื่น…หากคิดมากไปก็ปวดหัวเสียเปล่า ๆ ”

ดวงตาของถงเหยียนบ่งบอกถึงความสับสน หากจะกล่าวว่านางรักฟู่เสี่ยวกวนเข้าให้แล้วก็คงมิใช่ เพียงแค่นางรู้สึกว่าคนผู้นี้ช่างน่าเสียดายยิ่ง เขามิใช่คนที่เลวร้ายน่ารังเกียจ อีกทั้งยังเป็นผู้สร้างความสุขให้แก่ราษฎรตั้งมากมาย

หากว่าขุนนางเช่นนี้ตกตายไป ราชวงศ์หยูหรือต่อให้ลัทธิจันทราทำลายล้างราชวงศ์หยูแล้วก่อตั้งราชวงศ์เฉินได้สำเร็จ แต่ขุนนางที่เหลือเหล่านั้นจะเป็นห่วงกังวลราษฎรเฉกเช่นฟู่เสี่ยวกวนเยี่ยงนั้นหรือ ?

แต่ที่ศิษย์พี่กล่าวมาเมื่อครู่ก็มิผิด ตนนั้นเติบโตมาได้เพราะลัทธิจันทราและนางควรจะตอบแทนบุญคุณนี้ หากว่าฟู่เสี่ยวกวนมิตาย เขาจะไปทำลายแผนการของท่านหัวหน้าลัทธิ และผู้คนในลัทธิจันทราคงจะมิมีผู้ใดให้อภัยนางเป็นแน่

งานที่ได้รับมอบหมายมาครานี้ช่างลำบากใจเสียจริง หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้สู้นางบอกปัดไปตั้งแต่แรกเสียจะดีกว่า หากนางมิเห็นตั้งแต่แรกก็คงจะมิลังเลเฉกเช่นบัดนี้

……

……

ดวงดาราในเมืองจินหลิงยามค่ำคืนช่างสว่างไสวยิ่ง แต่ที่ทางเดินฉีซานนั้นกลับเต็มไปด้วยหิมะ

ผู้คนกว่าร้อยชีวิตของหอเทียนจีกำลังขี่ม้าอยู่ท่ามกลางหิมะที่ตกหนักอยู่บริเวณทางเดินฉีซาน

ที่เมืองเปียนเฉิง พวกเขาได้พบกับการโจมตีคราที่หนึ่ง เป็นเหล่าคนชุดดำที่มีฝีมือระดับสูง หอเทียนจีสูญเสียกำลังคนไปกว่าห้าสิบคน ท้ายที่สุดแล้วก็ได้รับความช่วยเหลือจากชายอ้วนจึงทำให้ศัตรูถอยหนีไป

หัวหน้าสำนักโจวถงถงและชายอ้วนนั้นได้นั่งสนทนากันเป็นเวลาครึ่งก้านธูปเห็นจะได้ จากนั้นพวกเขาก็ได้พากันเดินทางต่อเพื่อที่จะข้ามผ่านทางเดินฉีซานให้ได้ในคืนนี้

ชายอ้วนผู้นั้นได้เข้าร่วมขบวนด้วย ทำให้ผู้มีความสามารถทั้งหลายในหอเทียนจีอุ่นใจขึ้นมามากกว่าเดิม

เจ้าอ้วนนี่เป็นถึงขั้นปรมาจารย์ !

อาวุธลับของเจ้าอ้วนนี่คือวงล้อพระจันทร์ !

จู๋ซีช่างศักดิ์สิทธิ์แห่งราชวงศ์หยูได้สร้างศาสตราเทพขึ้นมาทั้งสิ้น 7 ชิ้น และวงล้อพระจันทร์ก็เป็นหนึ่งในเจ็ดนี้ มันมีชื่อเรียกว่าวงล้อหยินหยาง

เกาเสี่ยนถูกโจวถงถงจัดการเสียจนไร้สิ้นกำลังต่อสู้และถูกมัดเอาไว้อย่างแน่นหนา ขบวนเคลื่อนผ่านไปด้วยความเงียบสงบ มีเพียงเสียงเกือกม้าเท่านั้นที่ทำลายความเงียบงันของป่าเเห่งนี้

ในขณะที่พวกเขากำลังจะข้ามผ่านหุบเขา

ป่าทั้งสองข้างก็ได้ปรากฏลูกธนูลอยออกมากะทันหัน !

“ศัตรูลอบโจมตี ! ”

“ป้องกันทั้งสองข้างเอาไว้ให้ดี แล้วบุกออกไป ! ”

เสียงกระทบกันไปมาของโลหะดังขึ้น มีคนจากหอเทียนจีสิบคนถูกยิงตกลงมาจากหลังม้า ที่เหลืออีกเก้าสิบกว่าคนนั้นพยายามกวัดแกว่งดาบเพื่อปกป้องตนจากฝนลูกธนูที่กระหน่ำยิงเข้ามา พวกเขาหนีออกมาจากบริเวณที่ถูกโจมตีได้ราว 100 จั้ง แต่อยู่ ๆ ก็ต้องดึงบังเหียนเพื่อให้ม้าหยุด

ม้าศึกหยุดลงตามแรงดึงแล้วส่งเสียงร้องออกมา

ด้านหน้าของพวกเขามีดวงไฟนับร้อยจุดสว่างวาบขึ้น !

มีเหล่าคนชุดดำนับร้อยยืนถือกระบี่อยู่เบื้องหน้า ด้านหน้าสุดเป็นผู้อาวุโส เขาสวมใส่หมวกใบใหญ่และในปากคาบยาสูบเอาไว้

ยาสูบนั้นยังคงถูกจุดอยู่ ไฟสีแดงวาบขึ้นตามจังหวะที่เขาสูบเข้าไป

โจวถงถงหรี่ตาลงมอง ดวงตาอันแหลมคมคู่นั้นจับจ้องไปที่ผู้อาวุโส “ไป๋หลี่หง ! ”

ผู้อาวุโสผู้นั้นคายบุหรี่ออกมาแล้วพ่นควันลอยโขมง “โจวถงถง ! ”

ฟู่ต้ากวนที่อยู่ด้านหลังโจวถงถง ได้บังคับม้าให้เดินหน้าไปสองก้าวแล้วจ้องมองไปยังไป๋หลี่หง ใบหน้าอ้วนท้วนนั้นได้เผยรอยยิ้มออกมา

กล้ามเนื้อบนใบหน้าของไป๋หลี่หงหดลงเล็กน้อย ดวงตาทั้งสองข้างหรี่มอง “อู่ต้าหลาง ! ”

“ทุกคนล้วนเป็นปรมาจารย์ สู้กันไปมาก็เหนื่อยเสียเปล่า ๆ เจ้าหลบไปดีหรือไม่ เมื่อถึงเมืองกวนหยุนแล้ว ข้าจะเลี้ยงสุราแก่เจ้า ? ”

ไป๋หลี่หงส์ส่ายหน้าช้า ๆ “ข้านั้นอยากดื่มสุรากับเจ้าอย่างแท้จริง แต่ว่าครานี้คงมิได้”

“ถ้าข้ายกเกาเสี่ยนให้เจ้าเล่า ? ”

“ก็มิได้เช่นกัน เนื่องจากพวกเจ้าจะต้องตาย ! ”

ฟู่ต้ากวนหัวเราะออกมา “เยี่ยงนั้นก็คงจะเจรจาอันใดมิได้แล้วน่ะสิ ? ”

“กำลังพลของข้ามากกว่าเจ้า หากข้าจะจัดการเจ้ากับโจวถงถงและพวกที่เหลือ คาดว่าน่าจะสำเร็จได้โดยง่าย ยังมีสิ่งใดต้องเจรจากันอีก ? ”

“เสี่ยวไป๋ เจ้ามิคิดหรือว่าเหตุใดข้าจึงมาอยู่ที่นี่ได้ ? ”

ไป๋หลี่หงชะงักลงทันใด เขามองไปรอบ ๆ แล้วกล่าวว่า “ศิษย์แห่งสำนักเต๋านั้น มี 3 คนอยู่ข้างกายฟู่เสี่ยวกวน 4 คนได้รับบาดเจ็บอยู่ อีก 1 คนอยู่ที่สำนัก หรือท่านผู้สังเกตสำนักจะออกมารับมือเองเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“จัดการกับเจ้ามิจำเป็นต้องถึงมือท่านผู้สังเกตสำนักหรอก ! ” ฟู่ต้ากวนหัวเราะหึ ๆ แล้วนำปืนกระบอกหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อ

“ฆ่า… ! ”