ภาคที่ 5 บทที่ 27 เจ้าพูดไม่ผิด

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

ถูกคนชม ไม่ใช่เวลาใดล้วนทำให้คนเบิกบานใจ

คุณหนูจวินเฉยชา

ลู่อวิ๋นฉีก็ไม่ใช่คนที่ถนัดชมผู้อื่น นี่ก็เพราะเกี่ยวข้องกับคุณหนูจวินจึงเอ่ยออกมาด้วยความรู้สึก

หนิงอวิ๋นเจาปฏิบัติต่อคุณหนูจวินเช่นนี้ แน่นอนไม่ใช่เพราะหน้าตาของนาง แต่มองผ่านหน้าตาไปถึงวิญญาณข้างใน

“คนที่เรียนหนังสือรู้อักษรร้ายกาจกว่าข้า” เขาเอ่ยขึ้น

คุณหนูจวินมองเขา

“ท่านถ่อมตัวจริง” นางเอ่ยอย่างจริงใจ

ลู่อวิ๋นฉีมองนาง ไม่สืบสาวคำเสียดสีของนาง และยิ่งไม่โกรธเพราะเรื่องนี้

“กินข้าวเถอะ” เขาเอ่ยพลางยื่นมือบีบหน้าของนางไว้

หลายวันนี้พวกเขายังคงเป็นเช่นนี้

นางไม่ถอย เขาก็ไม่ถอย ประจันหน้ากันอย่างเงียบงัน

ป้อนนางกินเสร็จ ลู่อวิ๋นฉีค่อยกินของตนเอง

“ใครๆ ล้วนรู้ว่าเฉิงกั๋วกงจะหนีไปแดนเหนือ” เขาคุยสัพเพเหระตามสบายไปพลาง “น่าสนใจมาก พวกเขาสองฝั่งล้วนเชื่อมั่นในตนเองยิ่ง”

พูดให้ชัด นั่นไม่น่าจะนับว่าหนี สำหรับเฉิงกั๋วกงแล้ว คำว่ากลับคงเหมาะสมกว่า

เขามาเมืองหลวงก็เพราะเขาอยากมาลองดู ไม่ใช่ถูกฮ่องเต้บีบบังคับ เช่นเดียวกันเขาต้องการไปก็ไม่ใช่การหนี

คุณหนูจวินเงียบงันครู่หนึ่ง

“แดนเหนือแต่ไหนแต่ไรก็ไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง หากมีคนคิดเช่นนี้ ถ้าเช่นนั้นจะต้องได้รับบทเรียนแน่นอน นางเอ่ยขึ้น

ลู่อวิ๋นฉีวางตะเกียบลง

“ไม่เกี่ยวกับพวกเรา” เขาเอ่ยนิ่งๆ

คุณหนูจวินมองเขา

“ไม่เกี่ยวกับเจ้า” นางเอ่ย สีหน้าจริงจังทั้งยังดื้งดึง

นางกับเขา ไม่ใช่พวกเราอีกต่อไปแล้ว

ลู่อวิ๋นฉีมองนางจากนั้นก็ยิ้ม ให้บ่าวหญิงเก็บชามกับตะเกียบไป

“เจ้าลุกขึ้นมาเดินหน่อยเถอะ ประเดี๋ยวจะแช่เท้าให้เจ้า” เขาเอ่ยบอก

สองวันนี้ยามลู่อวิ๋นฉีกลับมาจะแก้มัดที่เท้าคุณหนูจวิน ให้นางขยับเดินในห้อง ไม่ให้นั่งนานจนไม่สบาย

คุณหนูจวินไม่ได้พยายามวิ่งไปข้างนอก เพราะนั่นเป็นความพยายามที่ไม่จำเป็นสักนิด

พร้อมกับที่พันธนาการคลายออก นางก็ลุกขึ้นก้าวเท้าช้าๆ สีหน้านิ่งสงบก้าวเท้ามั่นคง เดินช้าๆ รอบแล้วรอบเล่า เหมือนว่าไม่ได้อยู่ในห้องคับแคบ แต่ยังอยู่ในเรือนที่ตนเองอาศัยที่หยางเฉิงหรือเมืองหลวง

ลู่อวิ๋นฉีจุดโคมไฟสว่าง นั่งอยู่ด้านข้างพลิอ่านเอกสารและรายงานที่นำมาด้วย บางครั้งก็พูดเรื่องในรายงานสองสามประโยคกับคุณหนูจวิน เหมือนเช่นก่อนหน้านี้ แน่นอนคุณหนูจวินไม่มีทางตอบสนองอย่างใด

หลายวันนี้เขาทำเช่นนี้เสมอ

คุณหนูจวินหยุดเท้า

“ลู่อวิ๋นฉี” นางเอ่ยเรียก

ลู่อวิ๋นฉีเงยศีรษะมองนาง แม้ใต้แสงโคมไฟสีหน้านิ่งสนิท แต่บางครั้งเพราะแววตาก็ทำให้ใบหน้าของเขาดูไปแล้วอ่อนโยนแปลกออกไป

“ไม่มีทางเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้น “ข้าตายไปครั้งหนึ่งแล้ว

ลู่อวิ๋นฉีขานรับ

“ดังนั้นเจ้าจะไม่ตายเป็นครั้งที่สอง” เขาตอบ

“อย่าหลอกตนเองเลย เจ้าไม่ใช่ยมราชจริงๆ ความเป็นความตายของผู้อื่นเจ้าตัดสินไม่ได้” คุณหนูจวินเอ่ย “ความเป็นความตายที่เจ้าคิดว่าตัดสินได้ ที่จริงก็แค่ถูกคนอื่นควบคุม”

ลู่อวิ๋นฉีพยักหน้า

“เจ้าพูดไม่ผิด” เขาเอ่ยพลางวางรายงานในมือลง “เดินเหนื่อยแล้วไหม? ข้าแช่เท้าให้เจ้านะ”

ประเด็นนี้เขา เขาไม่ยอมรับ ไม่ตอบ ไม่ถกเถียง

ถ้าเช่นนั้นระหว่างนางกับเขาก็ไม่มีสิ่งใดให้พูดกันได้แล้ว

คุณหนูจวินมองเขา สีหน้าฟื้นกลับมาเฉยเมย

……………………………………….

……………………………………….

สำหรับทหารแดนเหนือแล้ว เดินทางหนึ่งวันหนึ่งคืนล้วนเป็นเรื่องปกติ ไม่มีใครรู้สึกว่าเหนื่อย คนที่รู้สึกว่าเหนื่อยเหล่านั้นล้วนตายแล้ว เทียบกับความตาย มีชีวิตอยู่เหน็ดเหนื่อยหน่อยก็ยังเป็นสิ่งที่ดี

ราตรีมืดมิดแล้ว ท่ามกลางฤดูหนาวอันรกร้างกีบเท้าม้าเหยียบย่ำ คบไฟประหนึ่งงูตัวยาวลากยาวบนผืนดินกว้างไปจรดเมืองแห่งหนึ่ง

แดนเหนือเฝ้าระวังตรวจตราเข้มงวด แต่เมืองแห่งนี้เวลานี้กลับเปิดประตูเมืองกว้าง ขบวนคนแถวแล้วแถวเล่าขี่ม้าเร็วรี่เข้าไป แล้วก็มีขบวนคนขบวนแล้วขบวนเล่าขี่ม้าเร็วรี่ออกมา ทุกหนทุกแห่งเอะอะและโหวกเหวก

ขบวนคนถือคบไฟเพิ่งเข้าเมืองมาก็วิ่งตรงไปยังจวนหลังหนึ่ง ที่นี่ก็ประตูใหญ่เปิดกว้าง โคมไฟส่องสว่างประหนึ่งกลางวันเช่นกัน

แม่ทัพคนหนึ่งพลิกกายลงจากม้า เสื้อเกราะบนร่างส่งเสียงเกรียวกราว พร้อมกับที่เสียงนี้ดังขึ้นก็ก้าวยาวเดินไปด้านใน

ในเรือนมีขุนนางฝ่ายพลเรือนเดินผ่านเป็นระยะ นายทหารหน้าโถงที่ว่าการยืนตัวตรงเคร่งขรึม ในห้องบุรุษผู้สวมชุดแม่ทัพคนหนึ่ง แม้อายุห้าสิบปี เส้นผมขาวประปราย แต่มีกำลังวังชาเต็มเปี่ยมน่าเกรงขามยิ่ง

เวลานี้กลางคืนดึกแล้ว เขาก็ไม่มีความเหนื่อยล้าสักนิด แววตาใสกระจ่างมองแผนผังจำลองตรงหน้า พลางฟังแม่ทัพทั้งหลายข้างตัวเอ่ยชี้แจง

“ท่านปั๋ว” แม่ทัพก้าวเข้ามาในโถงแล้วคำนับ

ชิงเหอปั๋วเงยศีรษะมองเขา

“แม่ทัพเหวย” เขาพยักหน้าเอ่ย “ท่านมาเร็วนัก”

บุรุษที่ถูกเรียกว่าแม่ทัพเหวยคำนับอีกครั้ง

“ผู้น้อยไม่กล้าขัดขืนบัญชา” เขาเอ่ย

ชิงเหอปั๋วมองไปหาแม่ทัพอีกคนหนึ่ง

“ในเมื่อแม่ทัพเหวยมาแล้วก็ให้คนของเขาไปกองทหารหย่งจิ้ง เจ้าพาคนของเจ้าไปเจียวเหอ” เขาเอ่ย

แม่ทัพผู้นั้นขานรับ

แม่ทัพเหวยที่อยู่ด้านข้างอยากจะพูดก็หยุดไป

“แม่ทัพเหวยเร่งเดินทางลำบากแล้ว ไปพักผ่อนเถอะ” ชิงเหอปั๋วเอ่ยขึ้นทั้งที่ไม่เงยศีรษะ

แม่ทัพเหวยเอ่ยขอบคุณ แต่ยังคงยืนอยู่ไม่ขยับ

แม่ทัพทั้งหลายในห้องบ้างพูดคุยกันเสียงเบาบ้างมองชิงเหอปั๋ว คล้ายไม่รู้สึกตัวว่าในห้องคนเพิ่มมาอีกคนหนึ่ง

เม่ทัพเหวยยืนอยู่ตรงนี้สีหน้าปั้นยาก คบไฟฉายส่องใบหน้าของเขาเดี๋ยวสว่างเดี๋ยวมืดไม่นิ่ง

เขาย่อมรู้ว่านี่หมายความว่าที่นี่ไม่ต้อนรับเขา เท้าของเขายับหมุนจะเดินไปด้านหลัง แต่ครู่ต่อมาเขาก็ยังหยุดวูบหนึ่ง

“ท่านปั๋ว” เขากัดฟันทีหนึ่งเอ่ยขึ้น

ชิงเหอปั๋วมองไปทางเขา แม่ทัพคนอื่นก็ล้วนมองไปหาเขาด้วย คล้ายทุกคนตกตะลึงที่เขายังอยู่ที่นี่

“แม่ทัพเหวยยังมีเรื่องอันใดหรือ?” ชิงเหอปั๋วเอ่ยถาม

“ท่านปั๋ว พักนี้การโยกย้ายกำลังพลถี่อยู่บ้าง” แม่ทัพเหวยเอ่ยขึ้น “ข้าได้ยินว่ากำลังพลส่วนหนึ่งล้วนจัดสรรใหม่”

“ใช่แล้ว นี่เป็นการวางกำลังป้องกันใหม่หลังท่านปั๋วพิเคราะห์แล้ว ไม่ใช่บอกพวกเจ้าแล้วหรือ?” แม่ทัพคนหนึ่งเอ่ยขึ้นท่าทางติดจะยโสแล้วขมวดคิ้ว “ทำไม โยกย้ายแม่ทัพทหารยังต้องการเหตุผลอะไรหรือ?”

แม่ทัพบัญชา นายทหารเชื่อฟัง ย่อมไม่อาจถามหาเหตุผลได้

ชิงเหอปั๋วยกมือห้ามแม่ทัพผู้นั้น

“แม่ทัพเหวยมีความเห็นอย่างไร?” เขาเอ่ยถาม

“ท่านปั๋ว ผู้น้อยคิดว่าเวลานี้ไม่เหมาะจัดการป้องกันใหม่ขนาดใหญ่บ่อยเช่นนี้” แม่ทัพเหวยเอ่ย “โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานที่สำคัญซึ่งเกี่ยวข้องกับการป้องกันด่านชายแดน กำลังพลที่นี่ล้วนคุ้ยเคยกับชาวจินอย่างที่สุด เปลี่ยนการป้องกันกะทันหันเช่นนี้ เกรงว่าทุกคนล้วนไม่สะดวก…”

คำพูดของเขายังเอ่ยไม่จบก็ถูกแม่ทัพคนหนึ่งขัดแล้ว

“ไม่สะดวกอะไร?” เขาเลิกคิ้วเอ่ย “ไม่สะดวกพวกเจ้าชำนาญลู่ทางแอบขี้เกียจรึ?”

แม้นิสัยอดกลั้น แต่ไม่มีแม่ทัพยินดีได้ยินคำว่าแอบขี้เกียจสองคำ นี่หยามหมิ่นประหนึ่งด่าพวกเขาว่าไอ้ขี้ขลาด

“ผู้บัญชาการมณฑลจาง” แม่ทัพเหวยตวาด “นี่ท่านหมายความว่าอย่างไร?”

“นี่ข้าหมายความว่าอย่างไร” ผู้บัญชาการมณฑลจางยิ้มหยัน “ความหมายของข้าคือไม่จำเป็นให้เจ้ามาสอนท่านปั๋วว่าคุมทัพวางทัพอย่างไร เมื่อครั้งท่านปั๋วจัดการกับชาวจินที่แดนเหนือ เจ้ายังเลี้ยงม้าอยู่เลย”

แม่ทัพเหวยหน้าแดง

“ผู้น้อยไม่ได้หมายความเช่นนั้น” เขาเอ่ยขึ้น ตัวเป็นแม่ทัพจึงไม่ถนัดพูดจา

ชิงเหอปั๋วมองเขา

“แม่ทัพเหวยไม่ยินดีโยกย้ายหรือ?” เขาเอ่ยถาม

“ท่านปั๋ว ผู้น้อยไม่ใช่ไม่ยินดีโยกย้าย เพียงแค่การโยกย้ายแม่ทัพและกำลังพลของท่านปั๋วครั้งนี้ไม่เหมือนเพื่อวางการป้องกัน แต่เพื่อ…” แม่ทัพเหวยเอ่ย กัดฟันทีหนึ่งก็ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว “ถอนกำลังป้องกัน กระจายทหาร กระจายอำนาจ”

บรรยากาศในห้องฉับพลันหนักอึ้ง สีหน้าชิงเหอปั๋วค่อยๆ เย็นชาขึ้นเช่นกัน

วาจาเอ่ยมาถึงตรงนี้แล้ว แม่ทัพเหวยก็ไม่หวาดกลัวอีกต่อไปแล้ว

“…นอกจากนี้พักนี้แม่ทัพจำนวนหนึ่งยังถูกลงโทษถูกจับถูกปลดจากตำแหน่ง ท่านปั๋ว คนเหล่านี้แล้วก็พวกเราที่ถูกโยกย้ายเหล่านี้ล้วนมีจุดหนึ่งคล้ายคลึงกัน ในใจทุกคนก็ล้วนรู้ชัด” เขาหน้าแดงเอ่ย

ชิงเหอปั๋วขานอ้ออย่างไม่ยินดียินร้ายทีหนึ่ง

“ในใจพวกเจ้ารู้ชัดอะไร?” เขาเอ่ย

แม่ทัพเหวยเหงยหน้ามองเขา

“ท่านปั๋ว ท่านหวั่นเกรงที่พวกเราเป็นคนในสังกัดของเฉิงกั๋วกง ต้องการกดขี่พวกเรา พวกเราก็เข้าใจได้” เขากัดฟันเอ่ย “แต่ขอได้โปรดอย่าเป็นเวลานี้ ไม่เช่นนั้นทำฝีเข็มยุ่งเหยิงขึ้นมา จะปล่อยให้ชาวจินมีโอกาสให้ฉวย”

สิ้นเสียงเขา แม่ทัพทั้งหลายในห้องฉับพลันฮือฮา

“เหวยซุ่นชิ่ง มารดาเจ้าพูดเหลวไหลอะไร?”

“มารดา คำพูดเหลวไหลจิรงๆ”

ทุกคนพากันด่าทอ ยิ่งมีคนโมโหก้าวเข้าไปคว้าแม่ทัพเหวย

“เฉิงกั๋วกงปกครองทหารเช่นนี้รึ? นี่ก็คืออำนาจทหารชื่อเสียงเลื่องลือของพวกเจ้ารึ? ไม่เชื่อฟังคำสั่งโยกย้าย แล้วยังกล้าดูหมิ่นเบื้องบนอีก” เขาเอ่ยด่า

ในโถงที่ว่าการกลายเป็นอื้ออึงวุ่นวาย

“หุบปากให้หมด” ชิงเหอปั๋วอ้าปากเอ่ย ห้ามเสียงโวยวายของทุกคน เขามองไปหาแม่ทัพเหวย “เจ้าพูดไม่ผิด การโยกย้ายวางการป้องกันครั้งนี้ของข้า เพื่อกดแม่ทัพคนสนิทคนในสังกัดเฉิงกั๋วกงเหล่านี้อย่างพวกเจ้าจริงๆ”