ตอนที่ 331 จิตใจบิดเบี้ยว / ตอนที่ 332 ไม่ให้ติดรถ

เช่าท่านประธานมาปิ๊งรัก

ตอนที่ 331 จิตใจบิดเบี้ยว 

 

 

เหยียนเค่อกำหมัดแน่น สะกดความคิดที่อยากจะดึงตัวเธอขึ้นมาแล้วเช็ดม้านั่งให้ คว้าแก้วน้ำชาบนโต๊ะขึ้นมาดื่มแล้วขบคิดในใจ เขาควรจะเช็ดเก้าอี้ให้ก่อนที่เธอจะมานั่ง 

 

 

สวีอันหรานเห็นอากัปอาการของเหยียนเค่อ แต่เดาไม่ออกว่าในใจของเหยียนเค่อคิดอะไรอยู่กันแน่ 

 

 

ตอนที่ซย่าเสี่ยวมั่วถลกแขนเสื้อแล้ววางไว้บนโต๊ะ ในที่สุดเหยียนเค่อก็ทนไม่ไหวเปล่งเสียงออกมา  “เช็ดโต๊ะก่อนได้ไหม แล้วค่อยวางแขนลงไป” 

 

 

ตอนแรกสวีอันหรานยังนึกว่าเหยียนเค่อบอกตน จึงมองเหยียนเค่อปราดหนึ่ง แต่เหยียนเค่อยังคงเอามือเท้าศีรษะมองน้ำชาตรงหน้าของตน มีเพียงหัวคิ้วที่ขมวดเข้าด้วยกัน 

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วมองสวีอันหรานหยิบทิชชูเปียกขึ้นมาเช็ดโต๊ะ ไม่รู้สึกเลยแม้แต่นิดว่าเหยียนเค่อหมายถึงตน 

 

 

เหยียนเค่อโมโหจนเจ็บหน้าอก กล้าดีอย่างไรถึงมาเมินเขา! 

 

 

เมื่อสวีอันหรานเช็ดโต๊ะบริเวณของพวกเขาเสร็จแล้วก็กำลังจะยื่นผ้าขี้ริ้วไปให้ซย่าเสี่ยวมั่ว แต่ตรงหน้าของซย่าเสี่ยวมั่วกลับมี ‘ผ้าขี้ริ้ว’ ผืนหนึ่งโยนลงมาตรงหน้าเสียก่อน… 

 

 

ผ้าเช็ดหน้าปักสัญลักษณ์ AMANI ที่โดนความร้อนของน้ำเดือดแล้วจึงมีไอร้อนพวยพุ่งเล็กน้อย วางนอนแน่นิ่งอยู่บนโต๊ะ 

 

 

“รู้ตัวเองหน่อย” ในที่สุดเหยียนเค่อก็เงยหน้าขึ้น มองซย่าเสี่ยวมั่วที่เหมือนเด็กขโมยชุดพ่อมาใส่ก่อนจะพูดขึ้น 

 

 

น้ำเสียงเหวี่ยงๆ ทำเอาซย่าเสี่ยวมั่วตกใจกลัวจนตัวสั่น เบะปากแล้วหยิบผ้าขี้ริ้วมาเช็ดก่อนจะโยนไปไว้อีกด้าน 

 

 

สวีอันหรานหดมือที่ยื่นผ้าขี้ริ้วไปให้กลับมา เขาคิดไปเองอีกแล้ว 

 

 

เหยียนเค่อมองนิ้วมือสองนิ้วของเธอที่กดผ้าขี้ริ้วเอาไว้หลวมๆ แล้วถูไปมาเป็นวงกลม ก็เตือนตัวเองในใจ ‘นายทำเพื่อเสื้อผ้าของตัวเองเท่านั้นแหละ’ ก่อนจะชะโงกตัวไป ปัดมือของเธอที่วางไว้อยู่บนโต๊ะแล้วหยิบผ้าขี้ริ้วมาเช็ดให้เธอเอง 

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วกำแขนเสื้อตัวเองอย่างอดกลั้น มองเขาเช็ดโต๊ะไป ส่วนสวีอันหรานคอยไกล่เกลี่ยอยู่ข้างๆ “เสี่ยวมั่วทำกับข้าวตั้งสามอย่างแน่ะ คนอื่นจะได้ไปพักด้วย” 

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วไม่ได้เข้าใจความหมายพิเศษในคำพูดนี้ เอาแต่จ้องไปที่อาหารบนโต๊ะเขม็งแล้วกลืนน้ำลาย  “ฉันไม่เหนื่อยแล้วล่ะ ก็แค่หิว” 

 

 

สวีรั่วชีไม่คิดเช่นนั้น เหยียนเค่อก็คิดว่า ต่อให้สวีอันหรานยื่นบันไดไปให้เธอ เธอก็จะกระโดดลงมาอยู่ดี 

 

 

สวีอันหรานยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน “งั้นเรากินข้าวกันเถอะ” ทำดีไม่ได้ดีจริงๆ ต่อไปนี้เขาจะไม่เข้าไปสอดตรงกลางระหว่างซย่าเสี่ยวมั่วกับเหยียนเค่อแล้ว 

 

 

ตอนกินข้าว ตะเกียบของเหยียนเค่อไม่ได้แตะอาหารที่ซย่าเสี่ยวมั่วทำเลยแม้แต่อย่างเดียว ล้วนแต่ยื่นมืออ้อมจานอาหารที่อยู่ตรงหน้าของตน 

 

 

“อาหารจานนี้สลับกันหน่อยไหม” สวีอันหรานพูดออกไปแล้วก็รู้สึกว่าตนช่างยุ่งไม่เข้าเรื่อง เงียบอยู่นานก็ไม่มีใครสนใจ ขณะกำลังจะหยิบตะเกียบขึ้นมากินข้าวต่อ เหยียนเค่อก็ยกผัดผักจานหนึ่งขึ้นมา 

 

 

สวีอันหรานรีบยื่นมือไปรับ แล้วยกจานกะหรี่ไก่ที่ซย่าเสี่ยวมั่วทำไปสลับกับเขา ซย่าเสี่ยวมั่วก็ยื่นมือเข้ามาช่วยสลับจานอาหารให้ด้วย 

 

 

สวีรั่วชีมองเหยียนเค่อที่เอาแต่ทำหน้านิ่งกับซย่าเสี่ยวมั่วที่เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ดิ่ง ก่อนจะก้มหน้าก้มตากินข้าวของตัวเองต่อ เธอจะรอดูว่าสองคนนี้จะง้องอนกันไปถึงเมื่อไร 

 

 

หลังจากซย่าเสี่ยวมั่วสลับจานอาหารแล้ว มองจานผัดผักตรงหน้าเรียงรายกันเป็นแถบก็รู้สึกเสียใจขึ้นมาทีหลัง ร้อง ‘เหอะ’ ขึ้นมาเบาๆ 

 

 

สวีรั่วชีเตะขาเธอใต้โต๊ะ เจ็บจนซย่าเสี่ยวมั่วเกือบจะร้องออกมา 

 

 

“เธอทำอะไรเนี่ย!” ซย่าเสี่ยวมั่วกดเสียงต่ำ ปักตะเกียบไว้แล้วหันไปมองเขา 

 

 

“ไม่ชอบขี้หน้า” สวีรั่วชีตอบอย่างคนเอาแต่ใจ คีบใบคื่นช่ายขึ้นมาวางบนในจานของเธอ “กินให้เยอะหน่อยแล้วฉันจะชอบเธอ” 

 

 

“ตัดสินคนจากหน้าตา!” ซย่าเสี่ยวมั่วโซ้ยข้าวเข้าปากอย่างอัดอั้นใจ 

 

 

สวีรั่วชีแสยะยิ้ม “ถ้าฉันตัดสินคนจากหน้าตาละก็ ฉันคงไม่ได้มารู้จักกับเธอหรอก” 

 

 

“…” ซย่าเสี่ยวมั่วที่ได้รับบาดเจ็บอย่างหนักหยุดพูดลงทันที จนเหยียนเค่อทนไม่ไหว เลื่อนจานอาหารในฝั่งของตนไปไว้ตรงหน้าเธอ 

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วมองเขาอย่างตกตะลึง นี่คือช่วงเวลาที่เจรจากันอย่างสันติได้แล้วเหรอ 

 

 

“กินข้าวห้ามพูด” น้ำเสียงเยียบเย็นของเหยียนเค่อดังขึ้น 

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วก้มหน้าเงียบๆ ที่แท้ก็แค่อยากให้เธอหยุดพูดเท่านั้นสินะ เธอคงคิดมากไปเอง 

 

 

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 332 ไม่ให้ติดรถ 

 

 

“ฉันไปล่ะ” เหยียนเค่อกินข้าวเสร็จก็จะกลับทันที “ตอนกลางคืนมีประชุมอีก” 

 

 

“นายจะเก๊กเป็นพนักงานดีเด่นไปทำไมหา” สวีอันหรานโอบไหล่เขาแล้วกดให้นั่งลง “เมื่อก่อนเที่ยวเก่งกว่าใครเลยนี่ ตอนนี้ก็เที่ยวที่นี่ให้สนุกก่อนเถอะ” 

 

 

“ไม่ล่ะ” เหยียนเค่อปรายตามองมือของเขาที่พาดอยู่บนไหล่ของตน สวีอันหรานลดมือลงเจื่อนๆ ลืมไปว่าเหยียนเค่อไม่ชอบให้คนอื่นมากอดมาโอบเป็นที่สุด 

 

 

“เดี๋ยวไปด้วยกันนี่แหละ เราไม่ได้มาตั้งนานแล้วนะ” สวีอันหรานตัดสินใจใช้ความรู้สึกให้เขาซาบซึ้ง ใช้เหตุผลพูดให้เขาเข้าใจ 

 

 

บ้านแห่งนี้เป็นอสังหาริมทรัพย์ของเสิ่นจิ้งเฉิน แต่อุตสาหกรรมนั้นอยู่ในนามของเหยียนเค่อ หลังจากกลับจากต่างประเทศ ทุกครั้งกลุ่มพวกเขาก็จะมารวมตัวสังสรรค์กันที่นี่ หรือไม่ก็ไปที่ศาลามัวเมาของฉินซื่อหลาน คิดๆ แล้วก็นานแล้วเหมือนกันที่ไม่ได้เข้ามาที่นี่ 

 

 

“คนไม่ครบแล้วจะมาทำไม” เหยียนเค่อไม่มีอารมณ์จะอยู่ต่อ หันกลับไปก็นึกอะไรขึ้นได้ จึงเอ่ยกับซย่าเสี่ยวมั่วที่นั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ข้างๆ “ซักผ้าเสร็จแล้วส่งคืนให้ฉันด้วย” 

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วรู้สึกว่าตนรองรับความโมโหมาตลอดทั้งวัน เขาดึงเธอลงน้ำไปเองแท้ๆ ทำไมถึงกล้าพูดได้อย่างเต็มปากแบบนี้กันล่ะ 

 

 

“เมื่อก่อนนายไม่เห็นงกแบบนี้เลย!” ซย่าเสี่ยวมั่วขบฟัน แม้กระทั่งเสื้อผ้าก็ต้องส่งคืนเขาด้วย 

 

 

“ตอนนี้บอกว่าเราสองคนไม่ติดค้างกันอีกไม่ใช่หรือไง” 

 

 

“นายรู้ตัวแล้วเหรอ” ซย่าเสี่ยวมั่วโมโหจนสบถเหอะออกมา คนที่บอกว่าเราสองคนไม่ติดค้างกันอีกคือเขา คนที่จู่ๆ ก็โผล่มาตอนนัดบอดก็คือเขา ตอนนี้คนที่จะมาขอเสื้อผ้าคืนก็คือเขาอีก สรุปว่าใครเข้ามาข้องเกี่ยวกับใครก่อนกันแน่ 

 

 

สวีอันหรานเองก็ทนดูต่อไปไม่ไหวแล้ว “พวกนายอย่าเถียงกันเลย ก็เพื่อนกันทั้งนั้นไม่ใช่เหรอ” 

 

 

“ฉันกับเขาน่ะเหรอ?” ทั้งคู่เถียงกลับขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียง 

 

 

สวีอันหรานเจอคำถามนั้นก็ชะงักไป พยักหน้าอย่างุนงง “ก็ใช่น่ะสิ” 

 

 

“ฉันกับเขาจะเป็นอะไรกันก็ได้ แต่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลยก็คือ ‘เพื่อน’” ความจริงในคำพูดของซย่าเสี่ยวมั่วมีความเห็นแก่ตัวแฝงอยู่นิดหน่อย แต่เรื่องราวเป็นเช่นนี้จริงๆ พวกเขาสองคนไม่ได้เป็นเพื่อนอะไรกันสักหน่อย 

 

 

เหยียนเค่อเองก็ไม่ได้โต้กลับ เป็นการยอมรับคำพูดของเธอไปโดยปริยาย “ฉันไปก่อนล่ะ” 

 

 

สวีอันหรานอยากจะค้างกับสวีรั่วชีที่นี่สักคืน แล้วทีนี้จะทำยังไงกับซย่าเสี่ยวมั่วดีล่ะ 

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วเห็นสีหน้าของพวกเขาแล้วก็รู้ว่าตนเป็นส่วนเกินโดยไม่รู้ตัว จึงควักโทรศัพท์ออกมาอย่างจำใจ “ฉันเรียกแท็กซี่กลับก็ได้” 

 

 

สวีรั่วชีเอามือเท้าแก้ม “ทำไมต้องเปลืองเงินด้วยล่ะ เมื่อกี้มีโอกาสที่สามารถติดรถได้มาวางอยู่ตรงหน้า แต่เธอกลับปฏิเสธมันเสียอย่างนั้น” 

 

 

“เป็นคนมันต้องมีศักดิ์ศรี” 

 

 

“งั้นเธอก็กลับเองแล้วกัน ฉันขอไม่ส่งนะ” สวีรั่วชีโบกมือลา ไม่แม้แต่จะมาส่งเธอขึ้นรถเลย ปล่อยให้ซย่าเสี่ยวมั่วผู้มีศักดิ์ศรีช่วยเหลือตัวเอง 

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วหิ้วเสื้อผ้าอันเปียกชุ่มของตัวเอง เดินก้าวเข้าไปที่ห้องโถงข้างหน้าอย่างสง่าผ่าเผยแล้วก็เริ่มซอยเท้าวิ่งหาร่างของเหยียนเค่อไปทุกทิศ 

 

 

อย่างน้อยเธอก็ต้องการให้ใครสักคนนำทางเธอออกไปจากที่นี่นะ แถมทั้งสองคนก็ออกไปทางเดียวกันด้วย แบบนี้จะได้ไม่กระอักกระอ่วนมากนัก 

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วหันหัวไปรอบๆ เพื่อมองหา เมื่อเดินไปถึงหน้าประตูแล้วหมุนตัวก็เห็นเหยียนเค่อยืนอยู่ตรงขอบประตู ทำเอาเธอตกใจจนแทบหวีดร้องออกมา 

 

 

เหยียนเค่อมองใครบางคนที่ทำความผิดไว้ปราดหนึ่ง เดินไปข้างหน้าโดยไม่ส่งเสียงใด 

 

 

นี่เขาตั้งใจมายืนรอฉันโดยเฉพาะเลยเหรอ ซย่าเสี่ยวมั่วลูบหน้าอกอย่างเสียขวัญ ก่อนจะเดินตามหลังเขาไป 

 

 

เหยียนเค่อไม่สามารถละเลยเสียงฝีเท้าที่ดูโซซัดโซเซอยู่ด้านหลังและเสียงถอนหายใจฮึดฮัดของ ซย่าเสี่ยวมั่วที่ดังขึ้นเป็นระยะ 

 

 

“เธอช่วยเดินให้มันดีๆ หน่อยได้ไหม” เหยียนเค่อหันตัวกลับไปพูดอย่างรำคาญ 

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วที่ขาซ้ายเหยียบขากางเกงข้างขวาพอดีจึงหน้าคะมำไปข้างหน้า 

 

 

เหยียนเค่อจะปรี่เข้าไปรับตัวเธอโดยอัตโนมัติ ตอนที่ยกมือขึ้นมาก็ห้ามตัวเองให้วางมันลง แล้วถอยหลังไปหนึ่งก้าว 

 

 

ดังนั้น ซย่าเสี่ยวมั่วจึงคุกเข่าลงตรงหน้าเขาอย่างสวยงาม