ราชันเร้นลับ 457 : ข้อมูลจากวิญญาณมาร

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

ราชันเร้นลับ 457 : ข้อมูลจากวิญญาณมาร โดย Ink Stone_Fantasy

ลำดับ 0 นักบวชสีชาด…

เป็นของเส้นทางไหน?

เรามีโอกาสได้ทราบชื่อของโอสถลำดับ 0 อีกแล้ว…ในกรณีวิญญาณมารไม่ได้โกหก…

มันบอกว่า เจ้าของไพ่นักบวชสีชาดคนก่อนถูกแรงดึงดูดบางอย่าง นำพาให้เข้ามาในอาคารใต้ดินจนถึงแก่ความตาย…นี่คงเป็นกฎการดึงดูดระหว่างพลังพิเศษในเส้นทางเดียวกันใช่ไหม? ไม่สิ จักรพรรดิโรซายล์เคยกล่าวไว้ว่า เมื่อผู้วิเศษกลายเป็นลำดับสูง หากถือไพ่เย้ยเทพเส้นทางเดียวกันไว้ในมือ จะสามารถสัมผัสถึง ‘วัตถุดิบ’ สำหรับโอสถถัดไปได้อย่างเลือนราง…หรือในอีกความหมายหนึ่ง ภายในห้องนั้น ห้องซึ่งวิญญาณมารถูกผนึกไว้ มีตะกอนพลังลำดับสูงของเส้นทางเดียวกับนักบวชสีชาดอยู่…บางที อาจเป็นตะกอนพลังจากศพวิญญาณมารเอง…

…ไม่ผิดแน่ การ ‘หยั่งรู้’ ถึงตะกอนพลังต้องเป็นผลจากความช่วยเหลือของไพ่เย้ยเทพแน่นอน โดยอาศัยหลักการของกฎการดึงดูดระหว่างพลังพิเศษในเส้นทางเดียวกัน…

ภายในไม่กี่วินาที ไคลน์ครุ่นคิดหลายประเด็นในสมอง จึงค่อยหันไปมองชารอนเพื่อสำรวจว่าเธอมีท่าทีตอบสนองเป็นเช่นไร ทราบเกี่ยวกับไพ่เย้ยเทพและลำดับ 0 หรือไม่

อย่างไรก็ตาม สีหน้าชารอนมิได้แปรเปลี่ยน ใบหน้าขาวซีดกึ่งโปร่งใสยังคงเรียบเฉย ประหนึ่งว่าเมื่อครู่ วิญญาณมารเพียงฉายภาพไพ่ทาโรต์แสนธรรมดาให้ดู

แต่เราคงคาดเดาอะไรไม่ได้… ในกรณีของคนปรกติ เมื่อได้ยินเกี่ยวกับลำดับ 0 เป็นครั้งแรก คงผุดคำว่า ‘คืออะไร’ อยู่ในหัวแน่นอน จะไม่มีการแสดงออกทางสีหน้าหรือแววตา… ดังนั้น ถ้าไม่ใช่เส้นทางผู้ชม เราคงไม่มีวันตีความการตอบสนองของชารอนออก…

ไคลน์ถอนหายใจ

เมื่อเห็นทั้งคู่เงียบพร้อมกัน วิญญาณมารจ้องไคลน์สักพัก ก่อนจะสลายภาพฉายของไพ่นักบวชสีชาดไป

มันกลับไปมองชารอนด้วยดวงตาแดงก่ำ จากนั้นก็หัวเราะและกล่าวเสียงแหบพร่า

“หรือถ้าเจ้าไม่ต้องการเป็นครึ่งเทพของเส้นทางมนุษย์กลายพันธุ์ ข้ายังมีสูตรโอสถลำดับ 4 ของเส้นทางนรกให้เลือก เมื่อนำแรงกระหายท่วมท้นไปรวมกับจิตฆ่าฟันอันรุนแรงยากควบคุม นับว่าสอดคล้องกันอย่างสมบูรณ์แบบเลยไม่ใช่หรือ”

ชารอนเพิกเฉยการโน้มน้าวของวิญญาณมาร เพียงหันมาจ้องไคลน์ รอให้ชายหนุ่มเป็นฝ่ายมอบคำตอบ

จากคำพูดของวิญญาณมารเมื่อครู่ เราพอจะเดาได้ว่า เส้นทางมนุษย์กลายพันธุ์และเส้นทางนรกสามารถสับเปลี่ยนกันได้ในลำดับสูง… เข้าใจแล้วว่าทำไม โรงเรียนกุหลาบและนิกายบูชาโลหิตถึงได้มีการแสดงออกทางภายนอกคล้ายคลึงกันนัก…

หลังจากก้มหน้าตรึกตรองสองวินาที ไคลน์หันไปจ้องราฟเตอร์·พาวน์ชุ่มเลือด

“แล้วจะปลดผนึกแกได้ยังไง”

วิญญาณมารหัวเราะ

“ไม่ซับซ้อน จงตามหาทายาทสายเลือดแท้ของตระกูลเซารอน ไอน์ฮอร์น และเมดีซี จากนั้นก็นำเลือดของพวกมันตระกูลละสิบมิลลิลิตร เกินได้เล็กน้อย แต่ห้ามขาด ผสมเข้ากับน้ำมนต์และราดลงบนพื้นในห้องของข้า เมื่อจัดการเสร็จ ผนึกก็จะคลาย”

นี่มันไม่ง่ายและประหลาดไปหน่อยหรือ… ฟังดูไม่สมเหตุสมผล ถึงจะเป็นในแง่ของศาสตร์เร้นลับก็ตาม… ทำไมต้องเป็นทายาทสายเลือดแท้ของตระกูลเซารอน ไอน์ฮอร์น และเมดีซี? ยิ่งไปกว่านั้น เราไม่เคยได้ยินชื่อตระกูลสุดท้ายมาก่อน เซารอนคือราชวงศ์อินทิส และไอน์ฮอร์นคือราชวงศ์จักรวรรดิฟุซัค ทั้งสองเคยเป็นตระกูลเทวทูตจากยุคสมัย 4 คอยรับใช้ราชวงศ์ทรันซอสต์ รวมถึงยังเป็นผู้ชนะสุดท้ายของสงครามแห่งยุคสมัย 4 แต่ราชวงศ์กาสตีญ่ากับออกัสตัสก็เป็นผู้ชนะเหมือนกันไม่ใช่หรือ?

จริงสิ… เซารอนกับไอน์ฮอร์นยังจุดเชื่อมโยงกันอีกหนึ่งข้อ พวกมันต่างก็ครอบครองเส้นทาง ‘นักล่า’ เหมือนกัน!

เป็นเหตุผลให้ถูกเลือกสินะ… หรือว่า…! เส้นทางนักล่าก็คือเส้นทางนักบวชสีชาด?

ขณะลองคาดเดา ไคลน์ไม่ปกปิดสีหน้าเคลือบแคลง

“ฉันรู้จักเซารอนกับไอน์ฮอร์น แต่ไม่เคยได้ยินชื่อเมดีซีมาก่อน”

“ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น พวกมันชื่นชอบการซ่อนตัวในเงามืด เป็นตระกูลเทวทูตเสื่อมทราม แอบก่อตั้งองค์กรลับและคอยบงการโลกอยู่เบื้องหลัง” วิญญาณมารใช้น้ำเสียงเหยียดหยัน “องค์กรดังกล่าวมีชื่อว่า…

“กุหลาบไถ่บาป”

ทำไมเราถึงได้คุ้นหูนัก…

นึกออกแล้ว เดอะซันน้อยเคยเล่าว่า ภายในซากวิหารของพระผู้สร้างแท้จริงซึ่งทีมสำรวจของเมืองเงินพิสุทธิ์เพิ่งค้นพบเป็นแห่งล่าสุด ตรงมุมจิตรกรรมฝาผนังด้านในมีข้อความ ‘กุหลาบไถ่บาป’ เขียนไว้ ในตอนแรกถูกสันนิษฐานกันว่าเป็นชื่อของเมือง หรือไม่ก็ชื่อจิตรกร… แต่ความจริงแล้วเป็นชื่อขององค์กรลับซึ่งก่อตั้งโดยตระกูลเทวทูตเสื่อมทรามเองหรือ…

พวกมันเชื่อในพระผู้สร้างแท้จริง? มีความเกี่ยวข้องอย่างไรกับชุมนุมแสงเหนือ?

หลังจากครุ่นคิดสักพัก ไคลน์ตัดสินใจถาม

“เกี่ยวกับพระผู้สร้างแท้จริง?”

วิญญาณมารพลันเงียบงัน ก่อนจะซักถามเสียงต่ำ

“เจ้ารู้จักกุหลาบไถ่บาป?”

“เคยบังเอิญได้ยินชื่อ” ไคลน์เล่าความจริง

หลังจากครุ่นคิดสักพัก วิญญาณมารกล่าวด้วยรอยยิ้มแฝงเลศนัย

“คาดไม่ถึงเลยว่า เจ้าจะซ่อนความลับไว้มากขนาดนี้”

เลิกพูดเรื่องนี้สักทีได้ไหม…

ขณะพยายามยับยั้งตัวเองไม่ให้หันไปมองชารอน ไคลน์จำเป็นต้องปั้นหน้าเคร่งขรึม

วิญญาณมารมองสลับระหว่างชายหญิงพลางหัวเราะ

“กุหลายไถ่บาปเกี่ยวพันอย่างลึกซึ้งกับเหตุการณ์กำเนิดพระผู้สร้างแท้จริง พวกเจ้าต้องคาดไม่ถึงแน่ว่าเคยมีคนใหญ่คนโตบางส่วนเป็นสมาชิกองค์กร แต่ตอนนี้พวกมันถอนตัวออกมานานแล้ว หากไล่ตามเบาะแสของพระผู้สร้างแท้จริงไปเรื่อยๆ สักวันเจ้าต้องได้พบกับกุหลาบไถ่บาปแน่นอน”

ฟังดูคล้ายสภานักสิทธิ์แห่งสนธยา แต่เป็นเหรียญคนละด้านกัน… ไคลน์คาดเดา

เมื่อเห็นว่าวิญญาณมารไม่เปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติม ชายหนุ่มอมยิ้มแฝงเลศนัย

“แกคิดว่าพลังอย่างพวกเราจะทำเรื่องใหญ่ขนาดนั้นสำเร็จจริงหรือ?”

วิญญาณมารเงียบงันราวสามวินาที

“หรือบางที พวกเจ้าอาจลองเสี่ยงโชคในหมู่บ้านบินซีดูก็ได้”

“หมู่บ้านบินซี? อยู่แถวไหน?”

แต่ไม่ว่าไคลน์จะยิงคำถามสักเท่าไร วิญญาณมารก็ไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลมากกว่านี้

เมื่อไม่เห็นความคืบหน้า ชายหนุ่มตัดสินใจเปลี่ยนคำถาม

“ท่ามกลางยุคสมัยที่สี่ จักรพรรดิมืด จักรพรรดิโลหิต และจักรพรรดิรัตติกาลต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงตำแหน่งลำดับ 0 ใช่ไหม?”

หลังจากได้ยินคำถาม วิญญาณมารออกอาการชะงักชัดเจน ก่อนจะยอมมอบคำตอบด้วยรอยยิ้ม

“ตอนแรกเคยเป็นเช่นนั้น แต่ทุกสิ่งเปลี่ยนไปหลังจากอลิสต้า·ทูดอร์กลายเป็นบ้า”

มันถามเมื่อความแน่ใจ

วิญญาณมารพยักหน้ารับ

“อลิสต้า·ทูดอร์? หมายถึงจักรพรรดิโลหิต? “ถูกต้อง โลกเคยมีจักรพรรดิโลหิตเพียงผู้เดียวเท่านั้น และชื่อของมันคือ ไอ้คนวิปลาส อลิสต้า·ทูดอร์ หึหึ…ทายาทของพวกทูดอร์ล้วนสืบทอดความบ้าคลั่งและนิสัยระยำต่ำช้าของมันมาด้วย ทั้งเจ้าเล่ห์ ขี้ระแวง คดโกง และระมัดระวัง แต่ในบางสถานการณ์กลับโง่เขลาจนน่าทึ่งได้เช่นกัน” วิญญาณมารใช้นิ้วชี้หน้าราฟเตอร์·พาวน์พลางเล่าต่อ “เจ้านี่คือตัวอย่าง แต่เมื่อครู่คงได้รับบทเรียนไปแล้ว หลังจากนี้คงทำตัวสงบเสงี่ยมไปอีกพักใหญ่…ข้าเองก็ไม่แน่ใจว่าเจ้านี่เป็นทายาททูดอร์คนสุดท้ายจริงหรือไม่ เพราะงั้นอย่าเพิ่งฆ่ามันทิ้งเสีย ยังมีสมบัติมูลค่ามหาศาลของอลิสต้าอีกหลายชิ้น ทั้งหมดจำเป็นต้องใช้โลหิตของทายาททูดอร์สายเลือดแท้ในการเข้าถึง”

วิญญาณมารเว้นวรรค พลางยิ้ม

“เอาแบบนี้เป็นไง ถ้าเจ้าปลดผนึกสำเร็จ ข้าจะเล่าเรื่องราวสมัยยุคสมัยที่สี่จากประสบการณ์ส่วนตัวให้ฟัง ไม่สิ… พูดให้ถูกคือ ข้าจะเล่า ‘ประวัติศาสตร์’ ของยุคสมัยที่สี่ในมุมมองของประสบการณ์ส่วนตัว”

เมื่อสิ้นเสียง ดวงตาราฟเตอร์·พาวน์พลันอับแสงกะทันหัน

ร่างกายของมันชักกระตุกเล็กน้อย ก่อนจะล้มลงไปนอนกองบนพื้นและแน่นิ่ง

หลังจากยืนจ้องสักพัก ชารอนขยับตัวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว

ฟ้าวววว!

สายลมกระโชกเกรี้ยวกราดเกิดขึ้นจากความว่างเปล่า หอบพัดพาเศษดินหินจำนวนมากลอยไปกลบทางเข้าอุโมงค์ของราฟเตอร์·พาวน์จนมิดชิด

เมื่อจัดการเสร็จ ท่ามกลางความมืด ไคลน์กับชารอนเดินออกจากถนนวิลเลียมส์และอ้อมไปอีกหนึ่งบล็อก

ขณะชายหนุ่มเช่ารถม้าเพื่อเดินทางกลับ ร่างกายกึ่งโปร่งใสของชารอนปรากฏบนเบาะห้องโดยสารฝั่งตรงข้ามเช่นเคย

เธอจ้องมองชายหนุ่มไม่กะพริบตาพร้อมกับซักถามเสียงล่องลอย

“คุณจะช่วยมันปลดผนึกไหม”

“ไม่” ไคลน์ไม่ลังเล “แล้วคุณล่ะ”

ชารอนส่ายหัว เป็นนัยว่าเธอเองก็ไม่

ไคลน์ถอนหายใจและยิ้ม

“เจ้านั่นตายมานานกว่าสองพันปีแล้ว ตอนนี้เป็นเพียงวิญญาณมารชั่วร้าย จุดจบเดียวคือการถูกส่งกลับโลกวิญญาณเท่านั้น แผนของผมก็คือ ไว้ผมกลายเป็นผู้วิเศษลำดับสูงเมื่อไร พวกเราจะร่วมมือกันจัดการมัน ให้มันได้พบกับอิสระอันแท้จริง”

แม้ว่าอีกฝ่ายจะหลอกล่อด้วยประวัติศาสตร์ยุคสมัยที่สี่ ไพ่นักบวชสีชาด และของรางวัลน่าสนใจอีกมาก แต่ไคลน์ก็ยังไม่มั่นใจว่าวิญญาณมารมีเจตนาดี

ชายหนุ่มยังไม่ลืมภาพอันน่าสยดสยองของซากศพบนเก้าอี้พนักสูง ศพดังกล่าวคือวิญญาณมาร กำลังนั่งในสภาพก้มหน้า และเมื่อศพผงกศีรษะขึ้น ใบหน้าของมันเผยให้เห็นความเน่าเปื่อยผุพังอันน่าสะพรึง

ชารอนพยักหน้ารับแผ่วเบาจนแทบไม่สังเกตเห็น เป็นอากัปกิริยา ‘เห็นด้วย’ ในแบบประหยัดพลังงาน

คนสวย คุณจะไม่ถามสักหน่อยหรือ ว่าผมมีโอกาสกลายเป็นผู้วิเศษลำดับสูงมากน้อยเพียงใด และไปเอาความมั่นใจมาจากไหน?

ไคลน์รำพัน

โดยไม่คิดจมอยู่กับบทสนทนาเดิมนาน ชายหนุ่มเปลี่ยนคำถาม

“ลำดับ 4 ถัดจากวิญญาณอาฆาตคือหุ่นกระบอกจริงใช่ไหม?”

ชารอนหงึก

“คุณมีสูตรโอสถและวัตถุดิบบ้างหรือยัง”

หลังจากครุ่นคิด ไคลน์ถามอย่างเป็นห่วง

ชารอนส่ายหน้าครึ่งจังหวะ

ชายหนุ่มยิ้มรับ

“ผมจะช่วยสอบถามให้ในชุมนุมของผม”

ชารอนไม่เปลี่ยนสีหน้าหรือโทนเสียง

“ขอบคุณ”

ขณะมองออกไปนอกหน้าต่าง ไคลน์พึมพำ

“ผมจะลงใต้สักพัก เป็นการลาพักร้อน”

มันยิ้มและกล่าวต่อไป แบบเดียวกับเมื่อครั้งสนทนากับนักกฎหมายเยอร์เก้น

“ขออวยพรปีใหม่ล่วงหน้าให้คุณและมาริค สุขสันต์วันปีใหม่”

หลังจากนิ่งไปสองวินาที ชารอนเม้มปากพร้อมกับเปล่งเสียงล่องลอย

“สุขสันต์วันปีใหม่”

หญิงสาวหายไปจากรถม้าโดยสมบูรณ์

เมื่อได้เห็นเด็กชายตัวเล็กหลังแท่นบูชา เมื่อได้ยินเสียงแหบแห้งแต่อ่อนเยาว์ เดอร์ริครู้สึกราวกับตนกำลังเผชิญหน้ากับอสุรกายชั่วร้ายในตำนาน มันเกือบหักห้ามใจตัวเองไม่อยู่ และสับขวานเฮอร์ริเคนเข้าจามหน้าอีกฝ่าย

จากประสบการณ์ตลอดชีวิตของเดอร์ริค มันเชื่อว่า หากมีใครสามารถดำรงชีวิตในความมืดได้เป็นเวลานาน มันผู้นั้นย่อมไม่มีทางเป็นมนุษย์ หรือต่อให้ก่อนหน้านั้นเคยเป็น แต่ก็คงไม่ใช่อีกต่อไปหลังจากถูกความมืดกัดกร่อนอย่างต่อเนื่อง!

ดวงตาของนักล่าปีศาจ โคลิน สว่างขึ้นเล็กน้อย มือขวายังกำดาบแน่นถนัด ริมฝีปากขยับเปล่งเสียงซักถาม

“เจ้ามาทำอะไรในนี้”

หลังจากได้ยินคำถาม เด็กชายผมเหลืองอ่อนผู้เรียกตัวเองว่าแจ็ค เริ่มทำสีหน้าเจ็บปวดพลางมอบคำตอบ

“พวกเรากำลังตามหาดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์”

“ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์?”

โคลินทวนคำ

“ถูกต้อง” ขณะกล่าว แจ็คหันไปมองเทวรูปของชายห้อยหัวบนกางเขนดำ “พวกเขาบอกกับผมว่า ถ้าเดินตามทิศทางการมองของรูปปั้นไปเรื่อยๆ ผมจะได้พบกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์”

“พวกเขา…ยังมีพวกพ้องคนอื่นอีก?”

โคลินรีบกวาดสายมองรอบตัวอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหันกลับมาถาม

“แล้วพวกเขาอยู่ไหน”

เมื่อได้ยินคำถาม สีหน้าแววตาของเด็กชายแจ็คพลันเหม่อลอย

ทันใดนั้น แจ็คเลื่อนมือขึ้นมาจับคอตัวเองพร้อมกับกล่าวด้วยสีหน้าบิดเบี้ยวกึ่งไม่ได้สติ

“ผมหิว…หิวจังเลย…”

……………………