ตอนที่ 775 ลดตำแหน่ง
“นี่ใต้เท้าซูกระทำสิ่งใดกัน!?”
“เร็วเข้า! รีบไปพยุงใต้เท้าซูขึ้นมา!”
“เป็นพวกเราที่ต้องขอบคุณใต้เท้าซูถึงจะถูก หากไม่มีใต้เท้าซู พวกเราคงตายไปนานแล้ว!”
…
คนรอบข้างอยากที่จะเข้าไปพยุงนางขึ้นมา ทว่าเป็นเพราะรูปโฉมของนางนั้นงดงามโดดเด่น จึงทำให้คนเหล่านั้นถึงกับตัวสั่น
“บุญคุณของผู้มีคุณ แม้เวลาผ่านไปพันปีข้าก็ขอจดจำ” ซูหลีกลับไม่ได้ปฏิเสธการช่วยเหลือจากพวกเขา หลังจากที่นางลุกขึ้นยืนได้แล้ว นางจึงเอ่ยประโยคนี้ออกด้วยใบหน้าที่ประทับใจ
“ขอเพียงใต้เท้าไม่เป็นไรก็ดีแล้วขอรับ!”
“ใช่แล้ว ใต้เท้าซูช่วยชีวิตพวกเขาเอาไว้จำนวนมาก อย่างไรก็ไม่อาจตายโดยเสียเปล่าเช่นนี้ได้!”
“ใช่ ถูกต้องแล้ว!”
อย่าว่าแต่ซูหลีเลย แม้แต่ไป๋ฉินกับเย่ว์ลั่วเมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ก็อดห้ามความตื้นตันใจเอาไว้ไม่อยู่ นางคิดถึงยามที่อยู่เจียงซี ซูหลีนั้นทนกลับความเหนื่อยล้าอยู่หลายคืน อีกทั้งนางยังกระทำทุกอย่างด้วยตนเอง หลังจากยุ่งเสร็จจึงคล้ายจะไม่สบายล้มพับไป
บัดนี้ดูเหมือนว่าสิ่งที่กระทำไปจะคุ้มค่ามาก
ชาวบ้านเหล่านี้เป็นคนที่รู้จักทดแทนบุญคุณมากที่สุด
“ใต้เท้าซูไม่ได้รับความลำบากอะไรใช่หรือไม่ ไยถึงได้ดูซูบผอมกว่าตอนอยู่ที่เจียงซีเสียอีก!”
“ใช่แล้ว พัศดีในคุกนั่นกลั่นแกล้งใต้เท้าซูหรือ” ชาวบ้านเหล่านี้ฟื้นคืนสติ แล้วเอ่ยถามสภาพของซูหลีต่างๆ นานา
ใบหน้าของซูหลีไม่มีความฝืนทนเลยแม้แต่น้อย นางตอบคำถามพวกเขาด้วยท่าทีอ่อนโยน
“รับราชโองการ…”
การปรากฏของซูหลี ทำให้สถานการณ์ที่ตึงเครียดตั้งแต่เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนลง
นางถึงขั้นสามารถเรียกชื่อบางคนได้ ชาวบ้านคนเมืองที่อยู่โดยรอบจำนวนมากเมื่อเห็นดังนี้ จึงมองทางซูหลีอย่างอดไม่ได้
แม้จะเป็นสตรี ทว่าสามารถเป็นขุนนางได้ โดยเฉพาะคนที่สามารถกระทำเรื่องอย่างซูหลีได้นั่น ก็คุ้มค่าแล้วที่จะมีคนสนับสนุน!
ในขณะที่สถานการณ์กำลังคึกคัก พลันได้ยินเสียงเช่นนั้นดังขึ้นด้วยความห่วงใยนาง
กลุ่มคนเงียบเสียงลงเป็นอันดับแรก จากนั้นเหล่าชาวบ้านที่อยู่กันเป็นกลุ่มๆ ก็พากันถอยลงออกถนนสายนี้ และให้ซูหลีเดินไปเบื้องหน้า
ซูหลีอ้ำอึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นจึงผงกศีรษะให้แก่เหล่าชาวบ้านที่อยู่รอบข้าง แล้วเดินไปยังทิศทางที่เสียงนั้นดังขึ้น
เมื่อเดินเข้าไปใกล้ๆ จึงพบว่าคนที่ออกมาแถลงพระราชโองการ นั่นก็คือหวงเผยซาน
“หวงกงกง” หลังจากซูหลีผงะไปครู่หนึ่ง นางจึงก้มศีรษะให้เขาเล็กน้อย
“ใต้เท้าซู รีบรับพระราชโองการเถิด” หวงเผยซานยิ้มตาหยีมองซูหลี แล้วเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา
“กระหม่อมน้อมรับบัญชา” ซูหลีคุกเข่าลงอย่างว่าง่าย
“ด้วยโองการแห่งฟ้า ฮ่องเต้จึงทรงมีพระบัญชา บัดนี้ซูหลี เซ่าซือขั้นหนึ่งระดับล่าง เป็นสตรีปลอมเป็นบุรุษเข้ามาคลุกคลีในราชสำนัก สร้างความวุ่นวายให้กับกฎของราชสำนัก โกหกหลอกลวงองค์จักรพรรดิ ไม่เห็นกฎเกณฑ์ธรรมเนียมจารีตในสายตา…” ทันทีที่เปิดพระราชโองการ หวงเผยซานก็อ่านโทษต่างๆ ของซูหลีด้วยท่าทีเกียจคร้าน
ซูหลีที่คุกเข่าก้มหน้าก้มตาอยู่นั้น เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้สีหน้าจึงวูบไหวเล็กน้อย
ทว่ากลับไม่ใช่ความรู้สึกกังวลใจ
หากคำพูดนี้พูดก่อนหน้านี้ ซูหลีคงไม่มีความมั่นใจอะไรมากนัก ทว่าหลังจากมีชีวิตอยู่ในห้องขังพิเศษอยู่หลายวัน ซูหลีจึงเข้าใจความหมายที่ฉินเย่หานต้องการจะบอกแก่นาง
นั่นก็คือให้นางทำใจให้สบาย ดังนั้นนางก็ทำใจให้สบายตามเขาบอก
“…แต่แม้จะกระทำผิดหลายข้อ ทว่ามีคุณูปการดีช่วยเหลือองค์จักรพรรดิและราษฎร เห็นแก่คุณูปการที่เคยกระทำมา อีกทั้งยังมีคุณูปการจัดการอุทกภัยทั้งเจียงซี ฮ่องเต้ทรงรับสั่งให้ใช้คุณูปการนี้ทดแทนโทษ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปลดขั้นเป็นเซ่าซือไท่จือขั้นสอง ลดเบี้ยหวัดครึ่งปี ดังนี้…”
ข้อมูลในคำพูดประโยคนี้นั้นมีมากเกินไป ซูหลีฟังแล้วอดที่จะมีสีหน้าเปลี่ยนไปมิได้
นี่คือการลงโทษจริงหรือ ซูหลีนั้นมึนงงไปหมดแล้ว
ตอนที่ 776 ฮ่องเต้ผู้ทรงปรีชาญาณ
ได้ยินเพียงว่าลดตำแหน่งขุนนาง จากตำแหน่งขุนนางขั้นหนึ่ง เปลี่ยนเป็นขุนนางขั้นสอง ทว่าด้านหน้ายังมีคำเพิ่มอีกคำหนึ่ง คือ ไท่จื่อเซ่าซือ
บัดนี้ฮ่องเต้ไม่มีแม้แต่ทายาท จะมีไท่จื่อ[1]ที่ไหนกัน
ไม่ว่าจะเพิ่มคำสองคำนี้หรือไม่ก็ไม่มีข้อแตกต่างอะไรนัก ล้วนเป็นเซ่าซือ ทว่าเมื่อตริตรองอย่างถี่ถ้วนแล้ว ความหมายโดยนัยนั้นมีกว้างมาก
ฮ่องเต้ทรงต้องการจะบอกทุกคนใต้หล้าว่า ซูหลีเป็นคนของเขา อีกไปกว่านั้นต่อไปจะเป็นขุนนางผู้ช่วยขององค์รัชทายาท
ใครคิดจะจัดการกับซูหลี ก็คงต้องประเมินอำนาจของตนเองให้ดีเสียก่อน
เมื่อเปรียบกันแล้ว แค่ลดตำแหน่งเพียงขั้นหนึ่งเท่านั้น จึงกลายเป็นเรื่องที่ไม่ควรจะกล่าวถึง
มิหนำซ้ำที่ทำให้ทุกคนคิดไม่ถึงก็คือ หลังจากฮ่องเต้ทรงรับรู้ถึงตัวตนความเป็นสตรีแล้ว ยังทรงให้นางเป็นขุนนางต่อไป
สตรีเป็นขุนนาง นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกของราชวงศ์นี้
แม้ตำแหน่งไท่จื่อเซ่าซือฟังดูแล้วจะไม่มีอำนาจแก่นแท้อะไร ทว่าก็ยังเป็นขุนนาง สตรีได้รับการแต่งตั้งเป็นขุนนางนั้น เดิมเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อเป็นอย่างมาก
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงขุนนางใหญ่ขั้นสองแล้ว!
เรื่องจะมีอำนาจหรือไม่ เรื่องนี้ล้วนมีแต่ฮ่องเต้ที่เป็นผู้ตัดสิน
“ใต้เท้าซู น้อมรับบัญชาเถิด” หวงเผยซานยิ้มอย่างเบิกบานให้หลังจากปิดพระราชโองการฉบับนั้นลง แล้วมองซูหลีปราดหนึ่ง
ซูหลีรีบดึงสติกลับมาแล้วเอ่ยเสียงดังว่า “กระหม่อมขอบพระทัยที่ฝ่าบาททรงมีเมตตาพ่ะย่ะค่ะ!”
เสียงขอบพระทัยในความเมตตาดังกังวานและมีความเอาจริงเอาจังเป็นพิเศษ
ใบหน้าของหวงเผยซานเต็มไปด้วยรอยยิ้ม หลังจากนางลุกขึ้นยืน หวงเผยซานจึงส่งพระราชโองการให้แก่นาง นอกจากนี้ยังมี…
“ใต้เท้าซู นี่เป็นชุดขุนนางและตราประทับใหญ่ของท่าน” หวงเผยซานหยิบชุดขุนนางจากขันทีผู้น้องที่อยู่ด้านข้างส่งให้กับซูหลี
ซูหลีได้ยินดังนั้นถึงกับอึ้งค้าง
นี่เป็นชุดขุนนางชุดใหญ่ ยังคงเป็นสีฟ้าที่คุ้นเคย เพียงแต่ผืนผ้าปักบอกระดับขั้นของขุนนางนั้นเปลี่ยนไป จากขั้นหนึ่งกลายเป็นผืนผ้าปักขั้นสอง ทว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด ที่สำคัญที่สุดก็คือ…
นี่เป็นชุดอาภรณ์แบบกระโปรงของสตรี!
บนชุดขุนนางยังมีมงกุฎรัดผมสีทองวางไว้! ทั้งมงกุฎและชุดกระโปรงล้วนเป็นชุดขุนนาง เกรงว่านี่คงจะเป็นครั้งแรกที่เกิดขึ้นในราชวงศ์ต้าโจว
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว นี่เป็นสิ่งที่มีคุณค่ามาก
นี่ไม่เพียงแต่ยอมรับตัวตนความเป็นสตรีของนาง อีกทั้งทางฝ่ายขุนนางก็ยินยอมให้สตรีเป็นขุนนางด้วย
แม้ซูหลีจะเป็นคนแรก ชุดขุนนางที่เป็นกระโปรงแบบนี้ก็เป็นครั้งแรกที่ปรากฏต่อสายตาของผู้คนเช่นกัน
“ใต้เท้าซูลองดูเถิดว่าเหมาะสมหรือไม่ หากมีส่วนใดรู้สึกว่าไม่เหมาะสมนัก ก็สามารถบอกข้าได้ ข้าจะให้คนในกรมวังแก้ไข้ให้!” หวงเผยซานมองนางด้วยรอยยิ้มเบิกบานใจ
นางดึงสติกลับมาอย่างรวดเร็ว ดวงตาทั้งคู่วูบไหวอย่างรุนแรง ผ่านไปครู่นางถึงเอ่ยว่า “ฮ่องเต้ผู้ทรงปรีชาญาณ!”
ขณะที่นางเอ่ยคำพูดประโยคนี้ออกมา น้ำเสียงมีความแหบแห้งเล็กน้อย คล้ายกับว่าก่อนหน้านี้นางไม่ได้ใส่ใจตำแหน่งขุนนางในราชสำนักนัก ทว่าหลังจากได้รับการยอมรับอย่างแท้จริงแล้ว รู้สึกสะเทือนใจอย่างแท้จริงมิปาน
คำพูดที่ว่าฮ่องเต้ผู้ทรงปรีชาญาณ ล้วนพูดออกมาจากใจของนาง!
“ฮ่องเต้ผู้ทรงปรีชาญาณ!”
“ฮ่องเต้ผู้ทรงปรีชาญาณ!”
“ฮ่องเต้ผู้ทรงปรีชาญาณ!!!”
เมื่อนางนำพูด ชาวบ้านที่อยู่รอบข้างต่างก็พากันส่งเสียงเอ่ยคำพูดประโยคนี้ออกมา คำพูดประโยคที่ ฮ่องเต้ผู้ทรงปรีชาญาณ! ดังกึกก้องติดต่อกันอย่างต่อเนื่อง ทำให้ฉินเย่หานที่อยู่ภายในห้องทรงอักษรนั้นได้ยิน
ฉินเย่หานยืนอยู่ที่ตรงหน้าต่างห้องทรงอักษร มุมปากพลันยกขึ้นเล็กน้อย เพียงโค้งเล็กๆ ที่มุมปาก
แต่กลับถูกโจวเว่ยเห็นเข้าเช่นนี้ โจวเว่ยผงะเล็กน้อย จากนั้นจึงยกมือขยี้ที่ดวงตาของตน เขาใช้เวลาเพียงครู่หนึ่งจากนั้นจึงลืมตาขึ้นดูอีกครั้ง ก็ไม่เห็นรอยยิ้มมุมปากที่แสนเยียบเย็นของฉินเย่หานเมื่อครู่นี้แล้ว
โจวเว่ย “…”
เมื่อครู่เขาฝันไปหรือ
——
[1] ไท่จื่อ เป็นชื่อตำแหน่ง หมายถึงตำแหน่งองค์รัชทายาท