ตอนที่ 346 พบหรงเฉิงเยี่ย / ตอนที่ 347 ระแวงสงสัย

บุปผาเคียงบัลลังก์

ตอนที่ 346 พบหรงเฉิงเยี่ย 

 

 

ถ้าหากจะส่งเสริมนางขึ้นมา สิ่งที่เหอจิ่นเซ่อต้องทำก็จะไม่ใช่แบบที่เหอเจี่ยนสุยหวังไว้แต่ต้น ที่จะให้เหอจิ่นเซ่อคอยดูแลนางบ้างขณะที่อยู่ในวัง แต่จะกลายเป็นสิ่งตรงกันข้ามกับการที่จะให้เซียงฉือได้อยู่ในวังอย่างสบายใจบ้าง 

 

 

เดิมเซียงฉือต้องการเข้ากองเย็บปักซึ่งนางก็เห็นดีด้วย เพราะกองราชเลขาของนางนั้นเป็นแดนอันตรายในเขตรั้วกำแพงนี้ เพียงย่างเข้าไปก็จะมีอันตรายนานาไม่ว่าก่อนหรือหลัง กับตนเองหรือเพื่อนฝูง ล้วนมีอันตรายในทุกที่ 

 

 

นางไม่คิดจะให้นางมาที่นี่แต่แรกอยู่แล้ว แต่พอเซียงฉือไร้สิ้นหนทางแล้วมาหานาง 

 

 

ทำให้เหอจิ่นเซ่อเกิดใจรักในความสามารถแล้วรั้งนางไว้ แต่ไม่คิดว่าฝ่าบาทจะหมายตานางอยู่เช่นกัน 

 

 

ความไม่น่าจะเป็นที่ยิ่งเพิ่มความไม่น่าจะเป็นเข้าอีกคงเป็นเช่นนี้ 

 

 

แต่ว่าหนทางข้างหน้ายังคงต้องก้าวเดินไป เหมือนดั่งเซียงฉือที่คุกเข่าอยู่ริมหน้าต่างในขณะนี้ นางร้องไห้โดยไม่หลั่งน้ำตา แต่ดวงตาที่บวมแดงกับแววตาแน่วแน่ของนางนั้น ทำให้เหอจิ่นเซ่อสำนึกเสียใจขึ้นมา 

 

 

ไม่น่าจะให้นางได้มาอยู่ที่นี่ในวันนี้เลย เพราะความสงสารนั้นไม่รู้ว่าจะกลายเป็นมือคู่ที่จะผลักนางลงสู่หุบเหวลึกหรือไม่ 

 

 

นางเกิดความสำนึกเสียใจ 

 

 

 

 

 

วันรุ่งขึ้นเซียงฉือกลับตำหนักเจิ้งหยางด้วยดวงตาบวมแดง 

 

 

เหอจิ่นเซ่อตั้งใจจะให้นางหยุดพักผ่อนอีกหนึ่งวัน แต่เซียงฉือปฏิเสธเจตนาดีของนางด้วยความเกรงใจอย่างยิ่ง 

 

 

ด้วยเหตุผลง่ายๆ ว่า เวลาที่นางยุ่งอยู่กับงานที่ทำข้างกายฝ่าบาท จะช่วยให้นางลืมความเจ็บปวดในใจได้ชั่วคราว 

 

 

ความยุ่งเหยิงสำหรับนางเป็นเหมือนยาบำรุงหัวใจขนานหนึ่ง ที่จะกระตุ้นให้นางกระปรี้กระเปร่าขึ้นเป็นร้อยเท่า 

 

 

ฮ่องเต้ตื่นบรรทมออกประชุมราชสำนักเช้าในท้องพระโรงแล้ว ตอนนี้ท้องฟ้าสว่างขึ้น ขันทีทั้งหลายพากันเดินเรียงเข้ามาเพื่อทำการปัดกวาดเช็ดถู เซียงฉือนั่งอยู่ตรงที่นั่งด้านข้างของฮ่องเต้ นางหยิบรายงานขึ้นฉบับหนึ่ง แต่ไม่สามารถซึมซับอักษรได้สักตัว 

 

 

นางฝืนตัวเองเกินไปหรือไม่ 

 

 

เป็นนานเซียงฉือก็ยังไม่อาจรวบรวมสมาธิได้และนางก็ไม่ฝืนตัวเองจึงปิดรายงานหนาๆ นั้นดังปัง 

 

 

พอเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นหรงเฉิงเยี่ย 

 

 

เขากลับเมืองหลวงมาหลายวันแล้ว ตอนนี้จัดการหน้าตาเรียบร้อย บำรุงผิวพรรณดีแล้ว เส้นผมที่ยุ่งเหยิงรุงรังก็สระหวีเรียบร้อยมุ่นไว้ด้วยปิ่นหยกขาวอันหนึ่ง ริมฝีปากแดงปานบุปผา เขายืนย้อนแสงอยู่ข้างหน้าต่างมองดูเซียงฉือ อยู่ในทิศทางที่ทำให้เขาดูเป็นชายหนุ่มที่ดูดีที่สุดในโลกนี้พอดี 

 

 

เขาสวมชุดราชสำนัก ชุดสีครามของชินอ๋องแห่งแคว้นเซียวจิ่ง เป็นชุดพิธีการปักลายงูใหญ่พระราชทาน ทั้งยังเป็นงูเหลือมขนดที่สูงศักดิ์ที่สุดอีกด้วย จะเห็นได้ว่าฮ่องเต้ทรงรักใคร่ชิดเชื้อกับเขาเสมอมา 

 

 

เซียงฉือไม่เคยเห็นเขาแต่งกายเต็มยศเช่นนี้มาก่อนจึงมองอย่างพินิจพิจารณาหลายรอบ 

 

 

หรงเฉิงเยี่ยเอนพิงขอบหน้าต่างด้านข้างไม่สนใจนาง เขาเข้าเมืองหลวงครั้งนี้เพราะได้รับบาดเจ็บแต่ไม่ได้พูดออกมา ในตอนนี้เซียงฉือกำลังพิจารณาดูเขาซึ่งเขาก็ไม่คิดจะทำลายความสงบนั้น 

 

 

ดวงตาคู่นั้นของเชียงฉือภายใต้แสงทอผ่านถ้วยแก้วเปล่งประกายเป็นสีน้ำเงิน ชุดสีขาวเรียบๆ ใบหน้าเกลี้ยงเกลา นางดูบริสุทธิ์ดุจดังแมวเปอร์เซียเชื่องๆ ตัวหนึ่ง 

 

 

หรงเฉิงเยี่ยรับฟังเรื่องราวทางบ้านเซียงฉือจากเหอเจี่ยนสุย เขาเกิดมาก็เป็นองค์ชาย เรื่องราวสกปรกโสมมในหมู่เรือนใหญ่ๆ พวกนั้น มีหรือที่เขาจะไม่รู้ แต่ถึงแม้จะรู้แล้วจะทำอะไรได้ มีแต่จะเพิ่มความทุกข์ใจแก่เขาเท่านั้นเอง 

 

 

“เจ้ายังสบายดีอยู่ไหม” 

 

 

หรงเฉิงเยี่ยมองดูสายตานาง ดูเหมือนจะค่อยๆ จมลงไปตามแสงที่อ่อนลง ความเจ็บปวดที่ล้ำลึกนั้นเผาไหม้ดวงตาเขา ทำให้เขาอดไม่ได้ต้องถามออกไปอย่างห่วงใย 

 

 

เซียงฉือไม่ตอบ นางลุกขึ้นเดินไปข้างกายหรงเฉิงเยี่ยแล้วทำความเคารพต่อเหลียนชินอ๋องผู้นี้อย่างตั้งใจเต็มพิธีการ แตกต่างจากการคารวะในยามปกติ 

 

 

หรงเฉิงเยี่ยเห็นหน้านางขาวซีดราวกระดาษ แต่ดวงตานั้นกลับบวมแดงทำให้บังเกิดความสงสาร 

 

 

“ข้าราชสำนักสตรีกองราชเลขาอวิ๋นเซียงฉือถวายบังคมเหลียนชินอ๋อง ขอทรงพระเกษมสำราญเพคะ” 

 

 

ท่าทางเป็นงานเป็นการของนางทำให้หรงเฉิงเยี่ยรู้สึกขัดเขินขึ้นมา 

 

 

วันนี้เขากับเสด็จพี่เลิกประชุมราชสำนักแล้วก็นัดกันจะมาปรึกษางานกันที่นี่ แต่หรงจิงกลับถูกขุนนางใหญ่กลุ่มหนึ่งพัวพันไว้ 

 

 

เขาฟังแล้วเบื่อหน่ายจึงผละจากฮ่องเต้อย่างไม่ใส่ใจแล้วมายังตำหนักเจิ้งหยางก่อน คิดว่านั่งรอสักครู่ หรงจิงก็คงจะปลีกตัวออกมาได้แล้ว 

 

 

แต่เขาไม่คิดว่าจะมาพบกับเซียงฉือแบบนี้ ตอนเขาเข้าประตูมา หลังจากขันทีส่งเสียงแหลมป่าวแจ้งแล้วไม่มีใครออกมาคารวะต้อนรับ เขายังคิดว่าเซียงฉืออยู่ในระหว่างพักผ่อน แต่ไม่คิดว่าพอก้าวเข้ามาในตำหนักฉินเจิ้ง ก็เห็นนางนั่งตัวตรงเรียบร้อยอยู่ตรงนั้น ถือรายงานอยู่เล่มหนึ่งสองตามองดูอย่างเหม่อลอย 

 

 

หากเป็นยามปกติ เขาคงเข้าไปเคาะกระโหลกนาง แล้วมองดูท่าทางโมโหโทโสของนาง ล้อนางเล่นสักคำสองคำ 

 

 

แต่เมื่อคืนเหอเจี่ยนสุยเมาสุราแล้วพลั้งเล่าเรื่องทั้งหมดแก่เขา 

 

 

ในตอนนั้นเขาเป็นห่วงเซียงฉือมาก 

 

 

เขายอมรับว่าตนเองเป็นสุภาพบุรุษ วันนั้นที่พบเซียงฉือครั้งแรก ท่าจ้องมองของนางยังคงปรากฏเด่นชัด เขารู้ว่าเซียงฉือต้องฝืนใจแค่ไหน แต่เขารู้ระบบในวังอย่างดียิ่ง และยังมีพี่ชายของเขาคนนั้นอีก 

 

 

เมื่ออวิ๋นเซียงฉือเข้าวังแล้วก็ไม่มีหวังที่จะได้ออกไป จะมามัวทำให้สหายที่เปี่ยมล้นความรู้ของตนคนนั้นรอคอยตลอดชีวิต เสียเวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์ได้อย่างไร 

 

 

คำพูดของเขาเซียงฉือต่อต้านอย่างหนัก แต่ไม่รู้อะไรกระทบใจนางเข้าในตอนนั้น ทำให้นางถอดกำไลที่เหอเจี่ยนสุยมอบให้ออกมา 

 

 

เมื่อเห็นสายตาซึมค้างของอวิ๋นเซียงฉือ ใจเขาสั่นขึ้นน้อยๆ นางเป็นหญิงสาวที่ทำให้คนรู้สึกสงสารจริงๆ 

 

 

เซียงฉือย่อกายอยู่ข้างกายเขา หรงเฉิงเยี่ยมัวแต่คิดส่วนเซียงฉือก็ไม่ได้ลุกขึ้น เมื่อเขาค่อยๆ เรียกสติกลับมาเกิดรู้สึกผิดต่อนางจึงรีบประคองนางขึ้น 

 

 

“ลุกขึ้นเถิด” สามคำนี้ยังไม่ทันออกจากปาก หรงเฉิงเยี่ยก็ได้ยินเสียงหรงจิงดังขึ้นที่เบื้องหลัง 

 

 

หรงจิงพอย่างเท้าเข้ามาก็เห็นหรงเฉิงเยี่ยกับเซียงฉือกำลังฉุดดึงกันอยู่ที่หน้าตำหนักฉินเจิ้ง เขาขมวดคิ้วแล้วรีบพูดโพล่งขึ้น 

 

 

“น้องข้า สนใจข้าราชสำนักสตรีของข้าหรือ” 

 

 

น้ำเสียงหรงจิงฟังคลุมเครือ ถึงจะไม่สบายใจยิ่งแต่ยังคงพูดหยอกเล่นออกมาได้ หรงเฉิงเยี่ยกับเซียงฉือรีบโค้งกายทำความเคารพหรงจิง 

 

 

น้ำเสียงที่หรงจิงพูดเมื่อครู่เซียงฉือฟังแล้วรู้สึกไม่สู้ดีนัก แต่นางก็ไม่พูดอะไร ไม่ว่าจะยอมรับหรือปฏิเสธ นางล้วนไม่พูด 

 

 

นางเพียงมองหรงจิงด้วยดวงตาแดงก่ำ 

 

 

“ขอฝ่าบาททรงพระเกษมสำราญเพคะ” 

 

 

เซียงฉือย่อกายกล่าวคำทักทาย แต่หรงเฉิงเยี่ยได้ยินคำพูดของหรงจิงแล้วเกิดความตระหนก ก่อนจะหันกลับไปหัวเราะขึ้นมา 

 

 

“ฝ่าบาทมิสู้ประทานข้าราชสำนักสตรีคนนี้แก่กระหม่อมเถิดพ่ะย่ะค่ะ ตำหนักกระหม่อมยังขาดคู่ที่ดีที่จะมาเป็นเพื่อนต่อกลอนกับกระหม่อม ดีดพิณชมจันทร์ให้ฟังคงจะมีความสุขไม่น้อย กระหม่อมจะได้ไม่ต้องมารบกวนเสด็จพี่ที่นี่อยู่ทุกเมื่อเชื่อวันด้วย” 

 

 

หรงเฉิงเยี่ยพูดเช่นนี้เซียงฉือก็ตกใจ แต่แล้วหันกลับไปไม่สนใจเขา แต่หรงจิงกลับใช้หยกมรกตแปดเนตรที่กำอยู่ในมือเคาะลงบนศีรษะเขาทีหนึ่ง 

 

 

“ถ้าเจ้าคิดจะตบแต่งชายาจริงๆ ละก็ ในเมืองหลวงมีสาวน้อยวัยเหมาะสมตั้งมากมาย ไม่ว่าคนไหนพอแต่งเข้าไปแล้วก็เป็นเพื่อนร่ายกลอนดีดพิณชมจันทร์กับเจ้าได้ทั้งนั้น เจ้าต้องจำไว้ว่า ตั้งแต่นางเป็นข้าราชสำนักสตรีของข้าแล้ว ชาตินี้ก็ไม่อาจจะออกนอกประตูวังนี้ไปได้” 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 347 ระแวงสงสัย 

 

 

ถึงจะเป็นคำพูดล้อเล่นของหรงเฉิงเยี่ย แต่เขาก็มีเจตนาจะลองใจของหรงจิง 

 

 

แต่คำพูดเล่นของเขาถูกหรงจิงตอบกลับอย่างเคร่งขรึม เขาจึงไม่กล้าพูดต่อ ทำเป็นไม่ใส่ใจฮาเฮผ่านไป 

 

 

ดวงตาเซียงฉือแดงดุจผลเหอเถา[1] หรงจิงมองเห็น อีกทั้งยังเห็นความหมองซีดไปทั้งตัวของนาง 

 

 

ถึงหรงเฉิงเยี่ยจะพูดเล่น แต่ท่าทางเช่นนี้ของเซียงฉือ ทำให้เขากังวลใจ 

 

 

“ถ้ายังไม่หายป่วยไม่ต้องฝืนลุกขึ้นมารับใช้หรอก ข้าก็ไม่ใช่คนไร้น้ำใจสักหน่อย” 

 

 

หรงจิงนั่งลงที่ด้านหนึ่งของกระดานหมาก ส่วนหรงเฉิงเยี่ยเพียงมองดูสีหน้าของเขา แล้วรีบนั่งลงยังฝั่งตรงข้าม 

 

 

หรงจิงถอดชุดมังกรที่สวมตอนออกราชสำนัก สวมเพียงชุดตัวในสีขาวลายดิ้นมังกรแล้วคลุมด้วยชุดคลุมลายเมฆสีม่วงอ่อน คาดเข็มขัดหยกขาวนั่งตัวตรง 

 

 

“เป็นพระกรุณาที่ทรงห่วงใยเพคะ หม่อมฉันหายดีแล้ว หากฝ่าบาทไม่มีพระประสงค์สิ่งใด หม่อมฉันขอออกไปก่อนเพคะ” 

 

 

คำพูดของหรงจิงกับหรงเฉิงเยี่ยที่เซียงฉือได้ยินเมื่อครู่ยิ่งทำให้เซียงฉือเจ็บปวดทุกข์ใจ 

 

 

ฮ่องเต้ที่เซียงฉือรับใช้อยู่นี้เป็นฮ่องเต้ที่หมั่นเพียรมีคุณธรรม แต่สำหรับนางแล้วช่างห่างไกลยิ่งนัก สูงส่งยิ่งนัก ระยะห่างของนางกับเขาเพิ่มมากขึ้นทุกที แล้วยังความเกรงกลัวนั่นอีก 

 

 

หรงจิงได้ยินดังนั้นรู้สึกถึงความผิดปกติของจิตใจเซียงฉือ เมื่อวานจู่ๆ เหอจิ่นเซ่อก็มาขอลางานให้นาง ถึงจะบอกว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่เขาก็ได้บอกว่าจะให้หมอหลวงไปตรวจเซียงฉือ แต่ถูกเหอจิ่นเซ่อปฏิเสธ 

 

 

เขาเป็นฮ่องเต้มีความขี้สงสัยอยู่แล้ว วันนี้กลับเข้าตำหนักมาก็เห็นเซียงฉือกับหรงเฉิงเยี่ยหยอกเอินกันอยู่ เมื่อวานหรงเฉิงเยี่ยก็เข้าวัง เขาอดไม่ได้ต้องคิดถึงความเกี่ยวพันกันของเรื่องนี้ 

 

 

หรงเฉิงเยี่ยเป็นน้องชายแท้ๆ ของเขา ตลอดมาทั้งคู่สนิทสนมกันเป็นพิเศษและเขาก็ไว้ใจหรงเฉิงเยี่ย แต่ข้าราชสำนักสตรีในวังถึงจะมีตำแหน่งราชการ ทว่าแต่โบราณมาก็ถือเป็นผู้หญิงของฮ่องเต้ที่สามารถจะร่วมหลับนอนและกลายเป็นสนมนางในได้ตลอดเวลา หรงจิงเป็นคนรู้จักควบคุมเรื่องบนเตียงเป็นอย่างดี มิเช่นนั้นคงไม่ได้มีเพียงองค์หญิงสององค์เท่านั้น 

 

 

ขุนนางทั้งหลายในราชสำนักมักเบาะแว้งกันเรื่องที่เขาไม่มีรัชทายาท พวกขุนนางทัดทานถึงกับทูลขอให้เขาปฏิบัติให้ทั่วถึง ขยายเชื้อพันธุ์ทายาทให้มากๆ อย่างไรเสียการไร้ผู้สืบสกุลถือเป็นความอกตัญญูใหญ่หลวงที่สุดในความอกตัญญูสามประการ 

 

 

ตอนนี้เขามีอายุยี่สิบหกปีเพิ่งเข้าสู่วัยฉกรรจ์ ส่วนตัวเขาเองนั้นไม่ได้รีบร้อน เพราะตลอดมาเขามีแผนการของตนเองอยู่ 

 

 

แต่พวกขุนนางทัดทานเหล่านั้นจับประเด็นนี้ไม่ยอมปล่อย วันนี้ไม่เพียงแต่ถกกันไปรอบหนึ่งตอนประชุมแล้ว หลังเลิกประชุมยังตามมาเตือนเขาอีก ทำให้เขาเบื่อหน่ายอย่างยิ่ง 

 

 

พอเพิ่งก้าวเข้าตำหนักก็เห็นกิริยาของหรงเฉิงเยี่ยกับอวิ๋นเซียงฉือ ถึงจะเป็นท่าทางที่ไม่จริงจังอะไร แต่เขารู้สึกว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่นั้นไม่ธรรมดา 

 

 

ว่ากันตามเหตุผล ทั้งหรงเฉิงเยี่ยกับอวิ๋นเซียงฉือก็ไม่ได้ติดต่อกันมากนัก แต่เหตุใดกิริยาท่าทางของทั้งคู่จึงดูคุ้นเคยกันยิ่ง เขาเข้าใจหรงเฉิงเยี่ย รู้ว่าเขาไม่ใช่คนที่จะเปิดใจได้ง่ายๆ 

 

 

หรงจิงคิดความเป็นไปได้มากมาย เขากังวลใจ ถึงแม้เรื่องนี้จะไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ในใจหรงจิงแล้ว หรงเฉิงเยี่ยเป็นน้องชายที่เขารักที่สุด ส่วนอวิ๋นเซียงฉือเป็นข้าราชสำนักสตรีข้างกายเขา ถ้าหากคนทั้งคู่จะมีอะไรกันจริงๆ เช่นนั้นแล้วเขาควรกล้ำกลืนฝืนทน หรือจะไม่สนใจความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องแล้วระเบิดโทสะออกมา 

 

 

“เสด็จพี่ ก้าวนี้คิดนานจังพ่ะย่ะค่ะ สงสัยวันนี้เสด็จพี่จะโค่นกระหม่อมจริงๆ เพื่อไม่ให้กล้ามาต่อกรด้วยอีกเป็นแน่” 

 

 

หรงเฉิงเยี่ยพูดติดตลกหัวเราะร่า 

 

 

 

 

 

[1] ผลเหอเถา หรือ ลูกวอลนัท