Dual Cultivation บทที่ 385: วันที่สามของการแข่งขัน

“โอ อาาา-” จิงชีครางเสียงดังลั่นขณะที่มือใหญ่จับสะโพกเธอไว้มั่น ขณะที่ร่างท่อนล่างของเธอถูกล่วงละเมิดด้วยแท่งที่ทั้งแกร่งและยาวทะลวงเข้าไปในถ้ำของเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า

 

ในเวลานั้นหญิงสาวเก้าคนมองดูจากด้านข้าง ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความปรารถนาและตื่นเต้น

 

ชั่วขณะหลังจากนั้น ซูหยางก็ปล่อยมือจากจิงซีและยอมให้ร่างที่สิ้นเรี่ยวแรงของเธอล้มลงไปบนเตียงที่อ่อนนุ่ม

 

อย่างไรก็ตามก่อนที่จิงซีจะทันได้พัก ซูหยางก็แตะนิ้วของเขาลงไปบนหน้าผากของเธอ ส่งผ่านข้อมูลตรงเข้าไปยังหัวของเธอ

 

“อย่าเพิ่งฝึกฝนปราณหยางในร่างเจ้าแต่จงทำตามวิชาที่ข้าเพิ่งให้กับเจ้าไป” ซูหยางกล่าวกับเธอก่อนที่จะหันไปดูหญิงสาวคนถัดไป

 

วินาทีถัดไปหญิงสาวอีกคนก็เข้าสู่อ้อมกอดของเขาก่อนที่จะรู้สึกถึงแก่นกายแข็งแกร่งของเขาเข้าสู่ร่าง

 

ซูหยางดำเนินการฝึกกับเหล่าศิษย์จนเกือบตลอดคืนขณะที่บรรยายให้พวกเธอเกี่ยวกับวิชาที่เขามอบให้กับพวกเธอ

 

“สมกับเป็นซูหยางทุกครั้งที่เขาแนะนำสิ่งใหม่ๆให้กับพวกเรา มันต้องเป็นอะไรที่หากไม่ใช่มีค่ามากก็ต้องเป็นอะไรที่ชวนให้ตื่นตระหนก”  ซุนจิงจิงพึมพัมอยู่บนเตียงด้วยเสียงที่หมดแรงหลังจากที่ซูหยางปล่อยให้พวกเธออยู่ตามลำพังเพื่อพัก

 

“ด้วยวิชาใหม่นี้ ข้ารู้สึกว่าข้าสามารถที่จะสู้กับทั้งโลกได้ด้วยตัวข้าเอง” ฟางซีหลานลูบท้องของเธอที่เต็มไปด้วยปราณหยางระอุอุ่นอย่างอ่อนโยน

 

“ถ้าวิชานี้ถ่ายทอดให้กับผู้คนทั่วไป ข้ามีความรู้สึกว่าผู้ฝึกวิชาอีกมากมายย่อมยินดีที่จะลองฝึกวิชาคู่” ศิษย์อีกคนพูด

 

“วิชานี้ใช้งานได้ดีที่สุดเฉพาะผู้หญิงใช่ไหม ข้าสงสัยว่าซูหยางไปเรียนวิชานี้มาจากไหน”

 

“ข้ามีความรู้สึกว่าเราคงมิมีวันได้รู้”

 

“ความรู้สึกนั่นมิเลวเลย ข้ารักชายที่ลึกลับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีวิชาบนเตียงแบบนี้”

 

“อย่างไรก็ตามในเมื่อเรามิอาจฝึกปราณหยางในร่าง ข้าสงสัยว่าเราจะท้องหลังจากนี้หรือไม่” ศิษย์คนหนึ่งพลันถาม

 

ทั้งห้องพลันเงียบลงทันที

 

อีกชั่วขณะฟางซีหลานก็กล่าวขึ้นว่า “ใจเย็น เจ้ามิท้องรวดเร็วปานนี้หรอก มันต้องใช้เวลาเป็นอาทิตย์ถ้าเจ้ามิดูดซับปราณหยาง แต่ปราณหยางในร่างของพวกเราจักเหือดแห้งไปหมดในวันพรุ่งนี้”

 

“ถ้าเป็นข้า ข้ามิถือที่จะอุ้มท้องลูกของเขา” ซุนจิงจิงพลันกล่าวขึ้น ทำให้ทุกคนที่นั่นต่างพากันมองดูเธอด้วยดวงตาเบิกกว้าง

 

“โอ ใช่ ข้ามิเคยกล่าวเรื่องนี้กับพวกเจ้า แต่ข้าตัดสินใจว่าข้าต้องการที่จะสืบเชื้อสายของเขาเอาไว้” เธอกล่าวขณะที่ลูบท้องของตนเองด้วยความเสน่หา

 

“เจ้าพูดกับเขาแล้วรึ” ศิษย์คนหนึ่งถาม

 

“ยังไม่” ซุนจิงจิงส่ายหน้า และเธอก็พูดต่อว่า “แต่ข้าวางแผนไว้หลังจากที่การแข่งขันนี้จบ”

 

“เจ้าคิดว่าเขาจะยอมรับไหม” อีกคนถามเธอ

 

“ข้าจักรู้ได้เองเมื่อข้าถามเขาแล้ว” ซุนจิงจิงกล่าว “ถึงแม้ว่าพวกเรามิอาจจะอยู่ด้วยกัน ข้าก็จักพึงพอใจกับเพียงแค่มีลูกกับเขา”

 

เหล่าศิษย์ต่างพากันสบตากัน

 

“โชคดี น้องจิงจิง แม้ว่าชายคนอื่นอาจจะมิเห็นด้วย แต่ซูหยางมิใช่ชายทั่วไป ยิ่งไปกว่านั้นมิเหมือนกับพวกเราที่เหลือ เจ้าเพียงกอดกับชายเพียงคนเดียว เขาเป็นชีวิตของเจ้า ใช่ไหม ข้าคิดว่าเขาคงมิถือกับการที่เจ้าจะมีลูกให้เขา” ฟางซีหลานกล่าวกับเธอด้วยรอยยิ้ม

 

แม้ว่าเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ที่ชายคนหนึ่งจะยอมให้หญิงที่เป็นศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยอุ้มท้องลูกของตนเองเนื่องจากพวกเธอมักจะมีคู่นอนหลายคนในชีวิต ซุนจิงจิงเป็นข้อยกเว้นในนิกาย ในเมื่อเธอสามารถก้าวเข้ามาเป็นศิษย์ในโดยไม่มีคู่เพราะว่าปู่ของเธอผู้อาวุโสซุน

 

เหล่าศิษย์ต่างพากันอยู่ในห้องตลอดทั้งคืนเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องซูหยางเหมือนกับกลุ่มเพื่อนๆระหว่างการนอนหลับ

 

เช้าวันถัดมา ศิษย์ทั้งหมดต่างพากันมารวมตัวกันที่หน้าโรงเตี๊ยมและเตรียมตัวที่จะจากไปสู่การแข่งขัน

 

“สาวๆรู้สึกกันอย่างไรบ้าง” โหลวหลานจีถามพวกเธอ

 

“รู้สึกดีกว่าที่ข้าเคยรู้สึก ท่านผู้นำนิกาย”

 

“นั่นเป็นสิ่งดีที่ได้ยิน ข้าหวังว่าความมั่นใจนี้จะคงอยู่แม้ว่าขณะที่พวกเรายืนอยู่บนเวที”

 

ไม่นานหลังจากนั้นนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็มุ่งหน้าสู่โคลีเซียม

 

ระหว่างทางสู่โคลีเซียมพวกเธอก็ได้พบกับหวังชูเหรินซึ่งแน่นอนว่าอยู่กับนิกายดอกบัวเพลิง

 

นิกายดอกบัวเพลิงก็สังเกตเห็นพวกเธอเช่นกัน และหวังชูเหรินก็ตรงเข้ามาหาพวกเธอด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า

 

“ข้าได้หวังไว้ว่าพวกเราจะสามารถอยู่ด้วยกันอย่างน้อยจนถึงวันสุดท้ายการแข่งขัน แต่อนิจจา…” หวังชูเหรินกระซิบให้กับซูหยาง

 

“ใครจะรู้ เจ้าอาจจะชนะก็ได้”

 

“เก็บคำพูดท่านไว้เถอะ พวกเราล้วนรู้ผลลัพธ์อยู่แล้ว”

 

ในเวลานั้นศิษย์จากนิกายดอกบัวเพลิงก็จ้องมองซูหยางพร้อมกับหรี่ตาที่เต็มไปด้วยความดุร้ายและโกรธแค้น พวกเขาทุกคนยังจำวันที่ซูหยางต่อสู้กับพวกเขาทั้งนิกายด้วยตัวคนเดียว ตามจริงศิษย์ครึ่งหนึ่งที่นั่นได้ลิ้มลองกำปั้นของซูหยางมาแล้วและร่างกายของพวกเขาก็สั่นสะท้านทันทีหลังจากที่เห็นหน้าเขา ราวกับว่าร่างกายของพวกเขากลัวอีกฝ่ายโดยสัญชาตญาณ

 

“ใจเย็น.. ใจเย็น… พลังของเขานั้นเพียงแค่ยืมมาจากสมบัติ…”

 

“นั่นมิใช่พลังที่แท้จริงของเขา… ทั้งหมดนั่นล้วนปลอมแปลง.. อย่ากลัว…”

 

“อย่าถูกหลอก… อย่าถูกหลอก… จริงๆแล้วเขาอ่อนแอ… เขาอ่อนแอจริงๆ…”

 

โหวเยินเจียคิ้วกระตุกโดยไม่อาจข่มกลั้นเมื่อเขาได้ยินศิษย์ของตนเองพึมพัมกับตัวเอง พยายามที่จะชักจูงตนเองไม่ให้กลัวซูหยาง เห็นได้ชัดว่าพวกเขาต่างได้รับความบอบช้ำจากเหตุการณ์ในวันนั้น

 

“ไปกันเถอะ” โหวเยินเจียกล่าวกับพวกเขาเสียงดัง และเหล่าศิษย์ต่างพากันติดตามเขาไปด้วยความยินดีที่ได้ห่างจากซูหยาง

 

“พวกเขาเป็นอะไรไป พวกเขาดูเหมือนตัวสั่นเพราะอะไรบางอย่าง” หนึ่งในเหล่าศิษย์สังเกตเห็นพฤติกรรมแปลกประหลาดของอีกฝ่าย

 

“ข้าก็สังเกตเห็นเช่นกัน พวกเขาดูเหมือนจะเป็นกังวล ราวกับว่าพวกเขากำลังเผชิญหน้ากับสัตว์ร้ายที่ทรงพลัง”

 

“พวกเขาต้องกลัวศิษย์พี่หญิงและศิษย์พี่ชายของพวกเราแน่นอนหลังจากที่เป็นความสามารถของพวกเธอวานนี้” ศิษย์รุ่นเยาว์คนหนึ่งกล่าวด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ

 

“คุยกันพอแล้ว พวกเราก็มุ่งหน้าไปโคลีเซียมกันเถอะ” โหลวหลานจีกล่าวกับพวกเขาก่อนที่จะเดินไป