ตอนที่ 264.2 (2) หวาดผวา

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล

Sign in Buddha’s palm 264 (II) หวาดผวา

เมื่อเหล่าบรรพชนกําลังจะหันกลับไปยังนิกายของตน

“นั่นคือ?”

บรรพชนในชุดคลุมสีแดงเลือดเหลือบสายตาไปเห็น ทันใดนั้น ม่านตาของเขาก็หดตัวลงในทันที

เมื่อบรรพชนคนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ เขาก็มองตามบรรพชนในชุดคลุมสีเลือดไปยังวิหารหมื่นพุทธทันที

ฉับพลัน

บรรพชนทั้งหลายต่างหน้าเปลี่ยนสี

เพราะพวกเขาตกใจที่ผู้ทรงสมณศักดิ์วัดเส้าหลินพุ่งเข้าใส่ตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณ

และฉากต่อมาก็ทําให้บรรพชนทั้งหลายต้องตกตะลึง ราวกับพวกเขาได้พบเจอภูตผี

“คนผู้นี้แข็งแกร่งเกินไปหรือไม่ เขาสร้างความสะเทือนให้กับตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณได้จริงๆ?”

“สั่นสะเทือนหรือ? ยิ่งกว่าสั่นสะเทือนอีก ข้ารู้สึกว่าตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณแทบจะทนไม่ไหวแล้ว แสงพุทธคุณก็เริ่มสลายหายไปแล้ว”

“น่ากลัว น่ากลัวเกินไปแล้ว”

เหล่าบรรพชนกลืนน้ําลายลงคอ หันหน้ามองกัน สีหน้าของแต่ละคนไม่สามารถปกปิดความตกใจเอาไว้ได้

ความน่ากลัวของซูฉินนั้นเกินขีดจํากัดจินตนาการของพวกเขาไปแล้ว

ระหว่างที่ออกกระบวนท่า พลังเลือดเนื้อปราณชีวิตก็พวย พุ่งท่ามกลางอากาศที่ร้อนระอุ มันสง่างามและน่าตกใจพอๆกับเทพโบราณ

“เป็นร่างกายที่น่าสะพรึงกลัวอะไรเช่นนี้ ข้ากลัวว่ามันเข้าใกล้ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่เต็มที่แล้วใช่หรือไม่?”

บรรพชนที่ดูเหมือนหญิงงามมีสีหน้าเคร่งเครียด กล่าวออกมาทีละคํา

สําหรับบรรพชนคนอื่นๆ พวกเขาต่างก็มีดวงตาที่ดูหนักอึ้ง ไม่ได้หักล้างประโยคเมื่อครู่ เพราะในความเห็นของพวกเขา ร่างกายของซูฉินนั้นใกล้เคียงกับร่างกายของเซียนเทพปฐพี่จริง

“ไม่น่าแปลกใจที่วิหารหมื่นพุทธใช้ตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณตั้งแต่ที่แรก…”

ท่าทีของบรรพชนแต่ละคนต่างครุ่นคิดเรื่องนี้

ในตอนแรกพวกเขายังมีข้อสงสัยอยู่บ้างว่าทําไมวิหารหมื่น พุทธจึงยอมให้ซูฉินมาถึงหน้าประตูโดยไม่ขัดขึ้น ทั้งยังป้องกันตนเองด้วยตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณโดยตรง..

ตอนนี้ดูเหมือนว่า วิหารหมื่นพุทธจะรู้ถึงความน่ากลัวของซูฉินอยู่แล้ว…….

“อา ถ้าร่างกายของบุคคลผู้นี้ใกล้เคียงกับเซียนเทพปฐพี จริงๆข้าเกรงว่าตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณจะหยุดเขาไม่ได้”

ใบหน้าของบรรพชนในชุดคลุมสีแดงเปลี่ยนไปเล็กน้อย

ในขณะที่พลังชีวิตและเลือดเนื้อของซูฉินกําลังเดือดพล่าน และชกหมัดสุดท้ายออกไป ก็ทําให้เกิดรอยร้าวที่ตัวตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณ

ในเวลาเดียวกัน

ภายในวิหารหมื่นพุทธ กลิ่นอายของบรรพชนหก บรรพชนเจ็ด และบรรพชนเก้าก็พวยพุ่งออกมา ทั้งสามลอยขึ้นไปบนฟ้าและใช้อาณาเขตสามแห่ง กักขังซูฉินไว้ภายใน

“บรรพชนหก บรรพชนเจ็ด และบรรพชนเก้า”

“วิหารหมื่นพุทธจ่ายออกในราคามหาศาลจริงๆ ครั้งนี้ ส่งบรรพชนมาถึงสามคนพร้อมกัน”

บรรพชนทั้งหลายต่างจดจําตัวตนบรรพชนหก บรรพชน เจ็ด และบรรพชนเก้าได้

“เหตุผลที่ผู้ทรงสมณศักดิ์แห่งวัดเส้าหลินสามารถสร้าง ความสั่นสะเทือนให้กับตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณได้ทั้งหมด เป็นเพราะร่างกายของเขาที่ใกล้เคียงกับเซียนเทพปฐพี”

“แต่บัดนี้ทั้งบรรพชนหก บรรพชนเจ็ด และบรรพชนเก้า จากวิหารหมื่นพุทธได้ร่วมมือกัน ใช้อาณาเขตเข้าปราบปรามจนผู้ทรงสมณศักดิ์แห่งวัดเส้าหลินไม่สามารถใช้ประโยชน์จากกายเนื้อได้ ”

เหล่าบรรพชนเมื่อเห็นฉากนี้ก็โล่งใจเล็กน้อย

ต้องบอกว่าบรรพชนทั้งสามจากวิหารหมื่นพุทธตอบสนองได้รวดเร็วและเลือกวิธีการที่เหมาะสมที่สุดในการจัดการกับซูกิน

“บางทีอาจจะเก็บคนผู้นี้ไว้ได้…”

บรรพชนที่พูดคนสุดท้าย ยังไม่ทันจะได้พูดจนจบ

ก็เห็นซูฉินค่อยๆ เหยียดมือขวาออก และกดนิ้วทั้งห้าลงมา พลังฟ้าดินเข้าห่อหุ้มฝามือจนกลายเป็นสีทองอร่าม รัศมีพลังอันน่ากลัวขยายออก ควบแน่นจนมีรูปลักษณ์เป็นองค์ยูไลทองคํา เหลือบมองลงมายังวิหารหมื่นพุทธ

ในทันที พลังอาณาเขตของบรรพชนหก บรรพชนเจ็ด และบรรพชนเก้าแห่งวิหารหมื่นพุทธก็พังทลายลง

ช่วงเวลาต่อมา

ที่ชายขอบของทะเลทรายตะวันตก

กลุ่มบรรพชนที่เฝ้าดูการต่อสู้จากระยะไกลไม่สามารถตอบสนองอะไรได้อีกแล้ว

เพราะด้วยรูปลักษณ์ขององค์ยูไลทองคํา ผืนฟ้าผืนดินกลายเป็นยุ่งเหยิง กลิ่นอายกระจายทั่ว และพื้นที่ที่เคยเป็นวิหารหมื่นพุทธนั้นเหมือนกับจะหายไปจากการรับรู้ของพวกเขาในทันที

เงียบดังป่าช้า

บรรพชนทั้งหลายเงียบกริบ อดไม่ได้ที่จะแสดงความหวาดกลัวออกมาผ่านแววตา

เมื่อครู่ ร่างองค์ยูไลสีทองจู่ๆก็ปรากฏขึ้น ชี้มือขึ้นฟ้า อีกมือเอื้อมพสุธา ช่างน่ากลัวจนถึงขีดสุด แม้ว่าเหล่าบรรพชนจะอยู่ห่างไกลมาก และเหลือบตามองไปเห็นเพียงชั่วแวบเดียว จิตใจของพวกเขาก็สั่นรัวราวระเบิดลง ไม่ต้องพูดถึงวิหารหมื่น พุทธที่ประจันหน้าอยู่กับอานุภาพขององค์ยูไลทองคําเลย

ผ่านไปสักพัก บรรพชนคนหนึ่งก็พูดด้วยน้ําเสียงสั่นๆว่า “เรายังต้องร่วมมือกันจัดการผู้ทรงสมณศักดิ์จากวัดเส้าหลินอีกไหม เพื่อถามไถ่ความลับจากเขา…”

ไม่มีบรรพชนคนใดตอบคําถามนี้ แม้แต่บรรพชนที่เป็นผู้เสนอความคิดก็นิ่งเงียบ

บรรพชนที่เหลือเหลือบมองหน้ากัน ไม่กล้าพูดถึงหัวข้อนี้ อีกต่อไป