ภาคที่ 1 บทที่ 127 เนินกลบวิญญาณ (1)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 127 เนินกลบวิญญาณ (1)

 

 

เมื่อมาถึงกองเศษหินผา ซูเฉินก็เริ่มคำนวณเวลาอย่างเงียบ ๆ

 

 

อีกไม่นานก็จะถึงเที่ยงคืนแล้ว

 

 

หลังเที่ยงคืนไปวันใหม่จะมาเยือน หรือก็คือวันที่ 22 ของเดือนที่ 7 ช่วงเวลาที่เนินกลบวิญญาณจะเปิดออก

 

 

ในที่สุดแสงดาวก็เริ่มส่องสว่างขึ้นในท้องฟ้า

 

 

นั่นคือซวนเจียวซิง (ซิง 星 – ดาว)

 

 

ดาวดวงนี้ปรากฏเฉพาะในวันที่ 22 ของเดือนที่ 7 วันนี้จึงถูกเรียกอีกอย่างว่า วันซวนเจียว

 

 

การปรากฏตัวของซวนเจียวซิงนั้นแม่นยำเสมอ

 

 

แม่นยำอย่างยิ่ง นาฬิกาบอกเวลาอาจเกิดข้อผิดพลาด แต่ซวนเจียวซิงไม่มีทางเป็นเช่นนั้น

 

 

ดังนั้นหากเวลาบนหน้าปัดนาฬิกาบอกเวลาชี้ว่ามันยังไม่ถึงวันซวนเจียว แต่กลับมีการปรากฏตัวของซวนเจียวซิง มันก็เท่ากับเป็นการบ่งบอกชัดเจนว่าวันนั้นมาถึงแล้ว – ดังนั้นพวกเขาจึงควรที่จะปรับอุปกรณ์บอกเวลาของตนเสียใหม่

 

 

เมื่อเห็นซวนเจียวซิงปรากฏขึ้น ซูเฉินก็ไม่ได้ลงมือเคลื่อนไหวในทันที แต่กลับเฝ้ารออยู่ครู่หนึ่ง

 

 

เมื่อเวลาผ่านไป แสงดาวของซวนเจียวซิงก็สว่างมากขึ้นเรื่อย ๆ

 

 

ฉากแปลก ๆ เริ่มเผยโฉมออกมาต่อหน้าของซูเฉิน

 

 

แสงดาวจากท้องฟ้าเริ่มโปรยปรายลงมาบริเวณไม่ไกลจากด้านหน้าซูเฉินนัก ก่อตัวเป็นวงกลมหมอกจาง ๆ ปกคลุมไปกว่าครึ่งหุบเขาเล็ก ๆ นี้ ด้ายจำนวนหนึ่งพันไขว้กันไปมาในวงกลมกลายเป็นค่ายกลที่ดูซับซ้อนอย่างมาก

 

 

หลังได้เห็นเช่นนั้น ซูเฉินก็ยืนยันอย่างเงียบ ๆ ว่าผู้อาวุซางพูดถูก ตามที่อีกฝ่ายคาดไว้ สถานที่แห่งนี้นั้นเต็มไปด้วยกับดักที่คดเคี้ยว ส่วนที่ใต้ดินก็มีค่ายกลขนาดใหญ่ซึ่งสามารถกระตุ้นพลังของดวงดาวได้กำลังได้รับการปกป้องอยู่ จุดที่แสงดาวตกลงมาคือที่ตั้งของรูปแบบที่ว่านี้ และก็มีแต่ต้องอาศัยแสงดาวเท่านั้น ที่ทำให้การก่อตัวของพลังต้นกำเนิดสามารถปรากฏขึ้นบนค่ายกลขนาดใหญ่ดั่งเช่นในตอนนี้ !

 

 

นี่เป็นความคิดสร้างสรรค์ของผู้ที่ตั้งกลไกป้องกัน ทุก ๆ พันปีมันจะดึงดูดแสงของซวนเจียวซิงลงมา ในช่วงเวลานั้น ตราบใดที่มีผู้เชี่ยวชาญค่ายกลทำตามกฎของค่ายกลได้ คนผู้นั้นก็สามารถปลดค่ายกลออกได้อย่างง่ายดาย และเปิดให้หลุมฝังศพนี้ได้พบแสงสว่างของดวงอาทิตย์อีกครั้ง

 

 

แน่นอนว่าซูเฉินนั้นไม่ได้เข้าใจรูปแบบของค่ายกลแต่อย่างใด ทว่าซางเจินได้บอกวิธีปลดล็อคกลไกทั้งหมดให้เขามาแล้ว

 

 

เมื่อเห็นค่ายกลนี้แล้ว ซูเฉินก็เดินผ่านมันตรงไปยังสถานที่ที่มีสัญลักษณ์สามเหลี่ยมลึกลับ และดึงบางอย่างออกมาจากแหวนต้นกำเนิดของเขา มันคือแท่งเหล็กกลวงแท่งหนึ่ง เด็กหนุ่มกำมันแน่ ก่อนจะแทงแท่งเหล็กลงไปบริเวณจุดตัดของสามเหลี่ยมจนกระทั่งแรงต่อต้านหายไป

 

 

ต่อมาซูเฉินก็มุ่งหน้าไปที่ค่ายกลอื่นต่อ แต่คราวนี้เขาดึงเหล็กแผ่นเล็ก ๆ ออกมาและฝังลงไปในดินแทน ก่อนจะตรงไปหาค่ายกลอื่นอีกครั้งและเทเลือดชนิดพิเศษลงไปบนพื้น …

 

 

เขาเดินวนไปวนมารอบค่ายกลทั้ง 36 จุดและปรับแต่งมันทั้ง 36 จุด ก่อนที่จะดึงเอาแผ่นรูปแบบต้นกำเนิดออกมาวางไว้ใต้ดินลึกไม่ถึงจั้งที่จุดกึ่งกลาง

 

 

เปิดใช้งาน !

 

 

แสงลึกลับทอประกายขึ้นมาจากพื้นดิน เมื่อแสงกระทบลงบนรูปแบบการก่อตัวของพลังต้นกำเนิด ค่ายกลแต่ละอันก็เริ่มปลดปล่อยแสงอันทรงพลังออกมา

 

 

แสงเหล่านั้นส่องประกายเจิดจ้ามากขึ้นเรื่อย ๆ

 

 

เมื่อซูเฉินเห็นเช่นนั้น เขาก็เริ่มที่จะกังวลเล็กน้อย ความสับสนวุ่นวายขนาดนี้จะดึงดูดผู้อื่นเข้ามาหรือไม่?

 

 

ในที่สุดแสงประกายเจิดจ้านี้ก็เริ่มจางหายไป

 

 

และในทันใดนั้น พื้นดินก็เริ่มสั่น

 

 

การสั่นสะเทือนของมันรุนแรงเสียจนทำให้ซูเฉินเกือบจะเชื่อว่านั่นคือแผ่นดินไหว หากไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าภูเขารอบ ๆ ตัวเขานั้นยังคงดูเป็นปกติดี และมีเพียงพื้นรอบ ๆ เท้าของเขาเท่านั้นที่สั่นสะเทือน

 

 

ต่อมา ซูเฉินก็เห็นว่า ณ ที่ใจกลางของค่ายกลใหญ่ที่เขาวางแผ่นรูปแบบต้นกำเนิดเอาไว้ ได้เกิดรอยยุบขนาดใหญ่ขึ้นอย่างลึกลับ หลุมสีดำสนิทได้ปรากฏขึ้นมาอย่างเงียบเชียบ

 

 

หลังจากที่เห็นช่องทางเข้าเปิดออก ซูเฉินไม่ได้เข้าไปในทันทีแต่อย่างใด เขากลับหยิบขวดยาออกมาดื่ม จากนั้นก็หยิบผ้าชนิดพิเศษออกมาห่อตัวให้แน่นตั้งแต่หัวจรดเท้า แม้แต่ดวงตาของเขาก็ถูกปิดไว้ด้วยแผ่นผลึกแก้วอย่างสมบูรณ์ ก่อนที่ซูเฉินจะเข้าไปด้านใน

 

 

ที่เนินกลบวิญญาณนั้นมีดอกซากวิญญาณขึ้นอยู่ พวกมันเป็นต้นกำเนิดของพิษร้ายแรง

 

 

แม้ว่าอารามนิรันดร์จะให้ยาแก้พิษแก่เขามาแล้ว แต่ซูเฉินก็ไม่คิดที่ฝากความหวังทั้งหมดไว้กับอีกฝ่าย

 

 

หลังจากแน่ใจแล้วว่าปลอดภัย ซูเฉินก็ยกตะเกียงผลึกแก้วขึ้นและก้าวเข้าไปในหลุม ตะเกียงผลึกแก้วอันเก่าของซูเฉินนั้นแตกเป็นเสี่ยง ๆ ไปแล้ว อันในมือนี้เขาได้รับมันมาจากผู้เข้าสอบคนอื่น

 

 

หลุมนั้นลึกมาก ซูเฉินต้องใช้เวลามากทีเดียวกว่าจะเดินลงไปถึงจุดล่างสุด อย่างไรก็ตามสิ่งที่ปรากฎให้เห็นอยู่ตรงหน้าของเขา คืออุโมงค์คดเคี้ยวสีดำสนิท

 

 

หลังจากเดินไปตามอุโมงค์อยู่พักหนึ่ง ในที่สุดซูเฉินก็หลุดออกมาและได้พบว่าเขามาถึงห้องโถงกว้างแล้ว

 

 

เด็กหนุ่มไม่ได้เข้าไปในห้องโถงใหญ่ทันที แต่เขากลับเอาแผ่นรูปแบบต้นกำเนิดออกมาและโยนเข้าไปข้างใน

 

 

ทันทีที่แผ่นรูปแบบต้นกำเนิดเข้าไปในห้องโถงใหญ่ แสงสีแดงสุกใสก็ได้ส่องออกมา

 

 

นั่นหมายความว่าพลังต้นกำเนิดในห้องนี้ มีความเข้มข้นมากจนถึงระดับดาราแดง

 

 

สิ่งนี้บ่งชี้ถึง 2 สิ่ง

 

 

ประการแรก การไหลเวียนของพลังต้นกำเนิดในเนินกลบวิญญาณนั้นดียิ่งและกลไกส่วนใหญ่ยังคงทำงานอยู่ พวกมันไม่ได้พังหรือสลายไปเพราะกาลเวลา แน่นอนสิ่งนี้สามารถเห็นได้จากการก่อตัวของพลังต้นกำเนิดที่ด้านหน้าทางเข้า เพราะหากสถานที่แห่งนี้ผุพังลงไปแล้ว การก่อตัวของพลังต้นกำเนิดที่ด้านหน้าก็ย่อมจะสูญเสียประสิทธิภาพไปนานแล้วเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าสถานที่แห่งนี้ได้รับเตรียมการอย่างเหมาะสม ทำให้เนินกลบวิญญาณยังคงอยู่ดีแม้จะผ่านมากาลเวลามาหลายหมื่นปี

 

 

ประการที่สอง พลังต้นกำเนิดของสถานที่แห่งนี้ มีความหนาแน่นเพียงพอที่จะถูกจัดอยู่ในระดับดาราแดง

 

 

ระดับของพลังต้นกำเนิดที่ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดครอบครองสามารถแบ่งออกได้เป็น ม่วง ดำ น้ำตาล แดง น้ำเงิน เขียวและเหลือง พลังต้นกำเนิดที่ความหนาแน่นอยู่ในระดับของดาราแดง เทียบได้กับพลังต้นกำเนิดของผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดด่านสู่พิสดาร

 

 

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือกลไกที่นี่รุนแรงจนสามารถสังหารผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดด่านสู่พิสดารได้

 

 

เมื่อครู่นั่นคือแผ่นตรวจจับ หลังจากที่แสดงผลเสร็จเรียบร้อยแล้วมันจะทำลายตัวเอง

 

 

หลังจากได้ค้นพบข้อมูลทั้ง 2 นี้ ซูเฉินก็ยิ่งระมัดระวังมากขึ้น

 

 

รูปสลักหิน 2 แถวตั้งตระหง่านอยู่ในห้องโถงใหญ่ พวกมันทั้งหมดเป็นนักรบในชุดเกราะสีแดง มีดาบยาวสีเลือดพาดห้อยอยู่ที่เอว ซูเฉินเคยได้ยินมาว่ามีผู้ฝึกยุทธ์ประเภทหนึ่งในช่วงราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์ พวกเขามีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันในนามนักดาบหลอมโลหิต พวกมันเป็นซากศพที่ได้รับการขัดเกลาด้วยเทคนิคสายเลือดลับเฉพาะ และในเวลาเดียวกันมันก็เป็นผลพลอยได้จากการทดลองที่ล้มเหลวในการระหว่างการวิจัยเกี่ยวกับเครื่องมือสกัดสายเลือดด้วยเช่นกัน

 

 

รูปสลักหินทั้ง 12 ตรงหน้าเด็กหนุ่มคือนักดาบหลอมโลหิต แม้ว่าพวกมันจะดูเหมือนรูปปั้นหิน ทว่าทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่เป็นนักดาบหลอมโลหิตที่มีเลือดเนื้อผู้ถูกปิดผนึกเอาไว้ในรูปสลักหิน ด้วยวิธีการปิดผนึกแบบพิเศษ ถ้าหากว่ามีบุคคลภายนอกเข้ามาโจมตี ผนึกของนักดาบหลอมโลหิตทั้ง 12 นี้จะถูกทำลาย ก่อนที่พวกมันจะตื่นขึ้นและเปิดฉากการโจมตีใส่ผู้บุกรุก

 

 

ทว่าในตอนนี้ซูเฉินไม่ได้กังวลเกี่ยวกับเรื่องนั้นแม้แต่น้อย เขาดึงเหรียญสีดำออกมาและติดไว้บนตัว จากนั้นก็ค่อย ๆ เดินไปทีละก้าว ซึ่งนักดาบหลอมโลหิตเหล่านั้นก็ไม่ได้ทำการเคลื่อนไหวใด ๆ

 

 

นี่เป็นเหรียญตราที่อารามนิรันดร์ได้สร้างขึ้นเลียนแบบตราที่ผู้สร้างเนินกลบวิญญาณเคยทำเอาไว้ นักดาบหลอมโลหิตเหล่านั้นถูกควบคุมโดยเหรียญตรานั้นและจะไม่เข้ามาโจมตี น่าเสียดายที่ซูเฉินไม่รู้วิธีใช้ เขาจึงไม่สามารถควบคุมพวกมันได้ แต่ถ้าให้ดีที่สุด ไม่ทดลองใช้เลยจะดีกว่า เพราะพวกมันสามารถสร้างปัญหาให้กับเด็กหนุ่มได้อย่างง่ายดาย แม้แต่อารามนิรันดร์ก็ไม่ได้วางแผนที่จะไปยุ่งกับพวกมัน

 

 

หลังห้องโถงใหญ่ เป็นประตูหินขนาดใหญ่

 

 

ซูเฉินไม่ได้เปิดประตูหิน เขานั่งลงยอง ๆ ทิ้งระยะจากประตู และมองหาไปรอบ ๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะพบแผ่นหินที่เคลื่อนย้ายได้ในที่สุด ซูเฉินยกแผ่นหินออกและดึงที่จับทรงกลม ทำให้ประตูหินค่อย ๆ เปิดออก ในเวลาเดียวกับที่ประตูหินเปิดออก เด็กหนุ่มก็ได้ยินเสียงกลไกขยับอยู่ที่ด้านหลังของประตู

 

 

ซูเฉินรู้ว่านี่เป็นเสียงของกลไกในประตูที่ปิดตัวลง

 

 

หากเขาไม่รู้เกี่ยวกับกลไกเบื้องหลังประตูมาก่อน เขาคงตรงเข้าไปแล้วผลักประตูเลย ซึ่งซูเฉินก็คงจะเสียชีวิตอย่างน่าอนาถเป็นแน่

 

 

ด้านหลังประตูหินเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ มันกว้างใหญ่และโอ่อ่ากว่ามากเมื่อเทียบกับห้องหินด้านหลังเขา ด้านบนของห้องโถงฝังไว้ด้วยไข่มุกราตรีที่สดใส ทำให้โถงสว่างไสวราวกับเป็นยามกลางวัน ดูเหมือนว่าไข่มุกเหล่านี้จะได้รับการปกป้องจากการกัดกร่อนจากช่วงเวลา 7,000 ปีอย่างสมบูรณ์ พวกมันยังคงเหมือนเดิมเหมือนในอดีต และแม้แต่อากาศในห้องโถงขนาดใหญ่นี้ก็ยังคงสดชื่นมากทีเดียว

 

 

ผนังห้องแกะสลักเต็มไปด้วยลวดลายลึกลับที่ดูเหมือนภาพตกแต่ง ในความเป็นจริง พวกมันทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งของรูปแบบต้นกำเนิดใต้ดิน พวกมันตัดขาดจากโลกและรักษาสภาพอากาศกับกาลเวลาเอาไว้ เพื่อให้ทุกอย่างภายในที่แห่งนี้ได้รับการปกป้องจากผลกระทบของกาลเวลาที่ผ่านไปนับ 7,000 ปี

 

 

ทว่าในขณะที่ซูเฉิน ‘เปิดใช้งาน’ สุสาน ผนึกของของรูปแบบต้นกำเนิดก็ได้หายไป ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปสถานที่แห่งนี้จะไม่ถูกตัดขาดอีกต่อไป

 

 

ทั้ง 2 ด้านของห้องโถงมีรูปแกะสลักยักษ์ขนาดใหญ่ 4 ตัว แต่ละตนสูงกว่า 3 จั้ง สวมชุดเกราะสีดำสง่างามและโดดเด่นทั้งตัว

 

 

นี่คือหุ่นเชิดปีศาจต้นกำเนิดที่รู้จักกันดี

 

 

หุ่นเชิดปีศาจต้นกำเนิดทั้ง 4 นี้ ล้วนเป็นหุ่นเชิดปีศาจต้นกำเนิดระดับกองพล

 

 

กองทัพของทั้ง 7 อาณาจักรได้ถูกแบ่งออกเป็น หน่วย หมู่ กองร้อย กองพัน กองพล กองทัพหลัก และกองทัพใหญ่ 10 คนเป็นหมู่รบ 30 คนเป็นหน่วยรบ 100 คนเป็นกองร้อย 300 คนเป็นกองพัน 1,000 คนเป็นกองพล 3,000 คนเป็นกองทัพหลัก และ 10,000 คนเป็นกองทัพใหญ่

 

 

หุ่นเชิดปีศาจต้นกำเนิดระดับกองพล หมายความว่าหุ่นเชิดนี้สามารถต่อกรกับกองพลทหารทั่วไปได้ ตามมาตรฐานความแข็งแกร่งทางทหารที่ถูกกำหนดไว้โดยราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์ ณ ช่วงเวลานั้น ในระดับกองพันทั่วไปจะมีผู้เชี่ยวชาญ 1 คนที่อยู่ในด่านทะลวงลมปราณ 15 คนในด่านกลั่นโลหิต 300 คนในด่านก่อเกิดลมปราณ และผู้ฝึกยุทธ์อีก 700 คน

 

 

เพื่อที่จะสามารถต่อสู้กับกองพลดังกล่าวได้ อย่างน้อยก็ต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารขั้นปลาย

 

 

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือหุ่นเชิดปีศาจต้นกำเนิดระดับกองพล มีความสามารถในระดับเดียวกันกับผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารขั้นปลาย

 

 

มีหุ่นเชิดปีศาจต้นกำเนิดระดับกองพลที่สมบูรณ์สี่ตัวที่นี่ ไม่น่าแปลกใจเลยที่ผลจากแผ่นตรวจจับจะออกมาเป็นแสงสว่างสีแดงจ้า

 

 

ช่างน่าเสียดายที่แม้ว่าหุ่นเหล่านี้จะทรงพลัง แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเก็บมันไว้ในแหวนต้นกำเนิด เนื่องจากความเข้มข้นและปริมาณพลังต้นกำเนิดของพวกมันนั้นสูงเกินไป แหวนต้นกำเนิดทั่วไปจึงไม่สามารถทนได้ ประกอบกับน้ำหนักที่ออกจะเกินไปหน่อย พื้นดินคงจะสั่นไหวหากพวกมันได้ก้าวเดิน พวกมันไม่เหมาะที่จะนำออกไป ดังนั้นอารามนิรันดร์จึงไม่มีความตั้งใจที่จะไปวุ่นวายกับพวกมัน แต่ให้ความสนใจกับสิ่งประดิษฐ์ที่สามารถขับเคลื่อนเจ้าหุ่นวิเศษทั้ง 4 ตัวนี้ได้แทน

 

 

แกนพลังงานแห่งซาร์คระดับเครื่องมือ

 

 

เนื่องจากความหายากของพวกมัน แกนพลังงานแห่งซาร์คระดับเครื่องมือจึงมีค่ามากกว่าหุ่นเชิดปีศาจต้นกำเนิดเสียอีก

 

 

ซูเฉินที่ติดเหรียญตราจึงไม่ถูกหุ่นเชิดปีศาจต้นกำเนิดโจมตี เขาเดินตรงไปด้านหลังของหุ่นทั้ง 4 และเปิดกลไกด้านหลังส่วนล่างของหุ่นตามวิธีที่ซางเจินสอน ก่อนที่มันจะเผยให้เห็นอุปกรณ์ขนาดใหญ่พอ ๆ กับโม่หิน

 

 

นี่คือแกนพลังงานแห่งซาร์ค อุปกรณ์พลังงานที่ทรงพลัง

 

 

แหวนต้นกำเนิดของซูเฉินไม่สามารถเก็บแกนพลังงานแห่งซาร์คทั้ง 4 นี้ไว้ได้ แต่เด็กหนุ่มก็ไม่ได้รีบร้อน สายตาของเขาย้ายไปยังด้านบนสุดของของห้องโถงนี้

 

 

ที่นั่นมีฐานที่ถูกสร้างขึ้นจากทองคำดำ ส่วนแท่นบัวก็สร้างจากหยกเมฆา เหนือระเบียงมีผลึกหกด้าน 3 อันหมุนไปมาอย่างช้า ๆ อยู่กลางอากาศ หากได้ลองมองเข้าไปใกล้ ๆ ก็จะพบได้ว่ามีบางอย่างอยู่ในผลึกใสเหล่านั้น สิ่งเหล่านี้คือผลึกแห่งสูญ

 

 

ผลึกแห่งสูญคือวัตถุที่มีคุณสมบัติพิเศษเป็นความว่างเปล่า ด้วยพลังงานเชิงพื้นที่อันทรงพลัง มันสามารถแยกพื้นที่ออกไปสร้างเป็นพื้นที่อิสระได้ สาเหตุที่เนินกลบวิญญาณไม่ได้รับผลกระทบจากกาลเวลาที่ผ่านไปเลยนั่นก็เป็นเพราะผลึกแห่งสูญได้แยกสถานที่แห่งนี้ออกจากโลกภายนอก จนถึงตอนที่ซูเฉินได้ทำให้รูปแบบต้นกำเนิดทำงาน ทุกอย่างจึงถูกปลดออก

 

 

เมื่อมาถึงหน้าผลึกแห่งสูญ ซูเฉินก็ดึงแผ่นรูปแบบต้นกำเนิดออกมาจากแหวนต้นกำเนิดของเขา จากนั้นก็ค่อย ๆ วางลงบนฐานทองคำดำ

 

 

ผลึกแห่งสูญเป็นวัตถุพิเศษที่มีคุณสมบัติของพื้นที่ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะคว้าจับมันด้วยมือเปล่า ทั้งยังไม่สามารถเก็บเข้าไปในแหวนต้นกำเนิดได้ ซูเฉินทำได้เพียงแค่ใช้แผ่นรูปแบบต้นกำเนิดค่อย ๆ ดึงมันออกมาอย่างช้า ๆ

 

 

ในขณะที่แผ่นรูปแบบต้นกำเนิดเริ่มส่องแสงเป็นประกาย แก่นผลึกแห่งสูญทั้ง 3 ก็ค่อย ๆ เข้ามาใกล้ ๆ แผ่นรูปแบบต้นกำเนิด และแม้ว่าพวกมันจะอยู่ห่างออกไปเพียงแค่เอื้อมมือ แต่พวกมันก็ใช้เวลาบินผ่านอากาศราวกับว่ามันเป็นระยะทางหลายหมื่นลี้ ก่อนที่ในที่สุดพวกมันจะมาหยุดลงบนแผ่นรูปแบบต้นกำเนิด สำหรับผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจจะทราบว่าสิ่งเหล่านี้คือแก่นผลึกแห่งสูญ ในขณะที่คนที่ไม่รู้จักคิดว่าพวกมันเป็นเพียงแค่ไข่มุกราตรี

 

 

ด้วยแก่นผลึกแห่งสูญทั้ง 3 นี้รวมกับรูปแบบต้นกำเนิดที่เขาเตรียมไว้ แผ่นรูปแบบต้นกำเนิดนี้จึงได้กลายเป็นแผ่นรูปแบบต้นกำเนิดที่สามารถบรรจุสิ่งของได้อย่างสมบูรณ์ พื้นที่ภายในและความทนทานของมันมากเกินพอที่จะเก็บแกนพลังงานแห่งซาร์คทั้ง 4 ไว้ภายในได้

 

 

หลังจากเก็บแกนพลังงานแห่งซาร์คทั้ง 4 ไว้ในแผ่นรูปแบบต้นกำเนิดแล้วซูเฉินก็ถอนหายใจ

 

 

สำหรับฐานทองคำดำและแท่นบัวหยกเมฆา ซูเฉินก็ได้เก็บพวกมันเอาไว้ในแหวนต้นกำเนิดของเขา ตามข้อตกลง สิ่งใดที่ไม่อยู่ในคำร้องของอารามนิรันดร์ ซูเฉินสามารถเก็บเอาไปเองได้

 

 

แม้ว่าของทั้ง 2 สิ่งนี้จะไม่ได้มีมูลค่าพิเศษอะไร แต่เนื่องจากพวกมันเป็นวัตถุดิบที่ค่อนข้างมีค่ามากและนับเป็นโบราณวัตถุ ผนวกกับรูปแบบที่ชัดเจนของราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นพวกมันจึงมีมูลค่ามหาศาลหากสามารถขายออกไปได้

 

 

หลังจากดูแลจัดการเรื่องทั้งหมดนี้แล้ว ซูเฉินก็ถอนหายใจยาว ๆ

 

 

จนถึงตอนนี้ทุกอย่างก็จบลงตามที่ซางเจินได้กล่าวไว้ และไม่มีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นแต่อย่างใด

 

 

สิ่งที่เหลืออยู่คือขั้นตอนสุดท้าย

 

 

ซูเฉินจ้องมองไปที่ผนังด้านหลังของห้องโถงขนาดใหญ่

 

 

จนถึงตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ซูเฉินได้ค้นพบ ไม่ว่าจะเป็นแกนพลังงานแห่งซาร์คหรือแก่นวิญญาณว่างเปล่า พวกมันก็ยังไม่ใช่สมบัติที่แท้จริงของเนินกลบวิญญาณ การมีอยู่ของพวกมันก็เพียงเพื่อปกป้องดินแดนแห่งนี้เท่านั้น

 

 

เบื้องหลังกำแพงนั้น ซ่อนสมบัติที่แท้จริงของเนินกลบวิญญาณเอาไว้ – ดอกซากวิญญาณ

 

 

ในขณะเดียวกัน ที่แห่งนั้นก็เป็นสถานที่ที่มีโอกาสเกิดอุบัติเหตุมากที่สุดเช่นกัน

 

 

เพราะหากต้องการให้ดอกซากวิญญาณเติบโต มันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะแยกดอกซากวิญญาณออกจากโลกภายนอก ดังนั้นถึงแม้ว่าผู้พิทักษ์ของเนินกลบวิญญาณจะอยู่ในพื้นที่ตัดขาด แต่สถานที่ที่ใช้เก็บรักษาดอกซากวิญญาณนั้น มันก็ได้ผ่านกาลเวลาไปกว่า 7,000 ปีแล้วจริง ๆ

 

 

ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นหลังจากผ่านไปถึง 7,000 ปี แม้แต่ซางเจินและคนอื่น ๆ ก็ไม่สามารถเตรียมพร้อมสำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นล่วงหน้าได้

 

 

ทันทีที่กำแพงนั้นเปิดออก ซูเฉินจะต้องแบกรับความเสี่ยงและอันตรายทั้งหมดด้วยตัวของเขาเอง !

 

 

เด็กหนุ่มหายใจเข้าลึก ๆ จากนั้นก็เปิดใช้งานผู้พิทักษ์แห่งเม็กซ้อนทับกันไปมากกว่า 10 ชั้น ก่อนที่จะกดกลไกเพื่อเปิดกำแพงออก

 

 

กำแพงด้านหลังเปิดออกท่ามกลางเสียงดังสนั่น

 

 

ทันใดนั้นกระแสแห่งความมืดก็ทะลักเข้ามาในห้องและพัดตรงเข้าใส่ซูเฉิน