ครั้นมาถึงหน้าประตูวัง ทั้งคู่ก็ลงจากรถม้า
หย่งคังโหวกำลังสนทนากับใต้เท้าเหวินจากสำนักโหราศาสตร์ที่หน้าประตูวัง เมื่อเห็นฉินเจิงกับ
เซี่ยฟางหวา สองคนนั้นก็ก้าวขึ้นมาทักทายทันใด
“ท่านอ๋องน้อย พระชายาน้อย ในที่สุดพวกเจ้าก็กลับมาแล้ว” หย่งคังโหวประสานมือต่อทั้งคู่
“นายท่านโหวดูซีดเซียวนัก” ฉินเจิงพินิจหย่งคังโหวแวบหนึ่ง ก่อนมองไปยังคนข้างๆ แล้วเลิกคิ้วกล่าว “ใต้เท้าเหวินไฉนถึงได้ดูซีดเซียวกว่านายท่านโหวเสียอีก เป่ยฉีระดมกำลัง หรือว่าช่วงนี้สำนักโหราศาสตร์ก็ไม่ว่างเช่นกัน จึงเป็นกังวลไปตามๆ กัน”
ใต้เท้าเหวินประสานมือ เขาเคารพท่านอ๋องน้อยผู้นี้อย่างยิ่ง รีบเอ่ยขึ้นว่า “หลายวันก่อน ฝ่าบาททรงเห็นปรากฏการณ์ดวงดาวแปลกๆ โดยบังเอิญ จึงเรียกข้าไปสอบถาม หลายวันนี้ข้าจึงวุ่นกับการตรวจสอบตำราโบราณ ความจริงแล้วนั้น…”
“โอ้” ฉินเจิงเลิกคิ้ว “เขาก็เห็นปรากฏการณ์ดวงดาวแปลกๆ นั่นด้วยรึ”
ใต้เท้าเหวินชะงัก มองฉินเจิงแล้วเอ่ยขึ้น “หรือว่าท่านอ๋องน้อยก็เห็นมันด้วย”
“เห็นแล้ว” ฉินเจิงพยักหน้าตอบ
ใต้เท้าเหวินก้าวขึ้นมาสองก้าวทันใด ขยับเข้าใกล้ฉินเจิง “กระหม่อมทราบดีว่าท่านอ๋องน้อยมีพรสวรรค์และความรู้เรื่องปรากฏการณ์ดวงดาวที่คนทั่วไปยากบรรลุถึง ในเมื่อท่านอ๋องน้อยได้เห็นมันแล้วเช่นกัน มิทราบว่าถอดความได้หรือไม่”
“ถอดความได้แล้วอย่างไร มิได้แล้วอย่างไร ก็แค่ปรากฏการณ์บนท้องฟ้าเท่านั้น” ฉินเจิงจูงเซี่ยฟางหวาเดินเข้าไปด้านใน พลางเอ่ยอย่างไม่สะทกสะท้าน
ใต้เท้าเหวินนิ่งชะงัก ก่อนรีบก้าวขึ้นมาหาฉินเจิง “ท่านอ๋องน้อยอย่าพูดเช่นนี้เลย การเกิดปรากฏการณ์ดวงดาวแปลกประหลาดมีผลต่อใต้หล้ามาตั้งแต่โบราณกาล ปรากฏการณ์แปลกประหลาดเช่นนี้ต้องบอกเหตุล่วงหน้าใดเป็นแน่…”
“เจ้าคุยกับหย่งคังโหว หรือหย่งคังโหวถอดความได้” ฉินเจิงหยุดเท้าแล้วมองเขา
“ในจวนหย่งคังโหวมีตำราโบราณเกี่ยวกับปรากฏการณ์ดวงดาวอยู่เล่มหนึ่ง ข้าถอดความปรากฏการณ์ครั้งนี้มิได้ จึงอยากขอยืมมาศึกษาดูว่าจะพบความคืบหน้าหรือไม่ จะได้ให้คำตอบกับฝ่าบาทได้” ใต้เท้าเหวินรีบตอบทันที
ฉินเจิงชำเลืองไปยังหย่งคังโหวแวบหนึ่ง
“มีอยู่เล่มหนึ่ง ข้ากำลังจะไปหาให้ใต้เท้าเหวิน มิรู้ว่าจะมีใจความสรุปเกี่ยวกับปรากฏการณ์แปลกๆ นี้หรือไม่” หย่งคังโหวรีบกล่าว
ฉินเจิงโบกมือปัดแล้วบอกกับทั้งสองคน “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็พาใต้เท้าเหวินไปหาเถอะ หากถอดความได้ก็มาบอกข้าด้วย ข้าเองก็สงสัยในปรากฏการณ์ดวงดาวเคลื่อนที่กระจัดกระจายนั่นเช่นกัน”
“แสดงว่าท่านอ๋องน้อยที่ได้เห็นมันกับตาก็มิเข้าใจเช่นกันหรือ” ใต้เท้าเหวินชะงัก
“เจ้าคิดว่าข้าเป็นเทพรึ” ฉินเจิงเหลือบตามองใต้เท้าเหวินแวบหนึ่ง ก่อนจูงเซี่ยฟางหวาเข้าไปในวัง
ใต้เท้าเหวินหยุดเท้า หันกลับไปมองหย่งคังโหว
หย่งคังโหวเห็นทั้งคู่เข้าไปในวังแล้วและเดินจากไปไกลแล้ว เขาถอนหายใจยาวเหยียด “ท่านอ๋องน้อยกับพระชายาน้อยเพิ่งกลับมา ฝ่าบาทก็ทรงส่งคนไปตามพวกเขาเข้าวังแล้ว ดูท่าเหตุการณ์ในวันนั้นจะไม่ซ้ำรอยอีก ท่านอ๋องน้อยกับฝ่าบาทคงสามัคคีกันได้แล้ว”
“สามัคคีกันได้ก็ดีแล้ว” ใต้เท้าเหวินรีบกล่าว
“หากฝ่าบาทกับท่านอ๋องน้อยสามัคคีกันได้ ย่อมเป็นการดีต่อหนานฉิน” หย่งคังโหวตบบ่าใต้เท้าเหวิน “ไปกันเถิดใต้เท้าเหวิน กลับไปหาตำราที่ว่ากัน”
ใต้เท้าเหวินพยักหน้า ก่อนมุ่งหน้าไปยังจวนหย่งคังโหวกับหย่งคังโหว
ฉินเจิงกับเซี่ยฟางหวาเข้าวังมาก็ตรงไปยังห้องทรงอักษร
ภายในวังเงียบสงบอย่างยิ่ง นอกจากทหารองครักษ์คุ้มกันวังหลวง ก็เห็นเพียงขันทีน้อยไม่กี่คน บนทางเดินแม้แต่นางข้าหลวงยังพบได้น้อยมาก
ฉินเจิงกวาดตามองรอบหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น “ไม่ได้สงบแบบนี้มาหลายปีแล้ว”
“หลังอดีตฮ่องเต้สวรรคต ฝ่าบาทก็กวาดล้างวังหลวง ปลดปล่อยคนกลุ่มหนึ่งออกไปจากวัง ส่วนคนที่มิได้ออกจากวังก็ย้ายไปอยู่ที่ราชอุทยานปัจฉิม ที่นี่จึงเงียบสงบมาก” เซี่ยฟางหวาตอบ
“เขาคิดว่ากวาดล้างวังหลังแล้วอย่างไร ของที่มิใช่ของเขาย่อมมิใช่ของเขาวันยังค่ำ” ฉินเจิงแค่นเสียงในลำคอ
เซี่ยฟางหวาบีบมือเขา “ในเมื่อทำเพื่อหนานฉิน ล้วนมีเป้าหมายเดียวกัน ต่างคนอย่าได้ไม่ยอมลดละกันเลย กว่าจะเก็บกวาดเรื่องยุ่งยากพวกนี้ได้ เป็นฉินอวี้ย่อมไม่ง่าย”
ฉินเจิงหึงหวงขึ้นมาในบัดดล ขยับเข้าใกล้นาง “แล้วเป็นข้าง่ายหรือไม่ เจ้าอยู่ข้างใคร”
“ข้างเจ้าสิ” เซี่ยฟางหวายิ้มขำ
ใบหน้าฉินเจิงปลอดโปร่งขึ้นเล็กน้อย
ทั้งคู่มาถึงห้องทรงอักษร ขณะที่เสี่ยวเฉวียนจื่อจะอ้าปากรายงาน ฉินเจิงก็จูงเซี่ยฟางหวาเดินเข้าไปด้านในแล้ว เสี่ยวเฉวียนจื่อนิ่งชะงัก ทว่ายังคงตะโกนรายงาน “ฝ่าบาท ท่านอ๋องน้อยกับพระชายาน้อยมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฉินอวี้กำลังเขียนอักษรโดยวางมือบนโต๊ะหยก ได้ยินการเคลื่อนไหวก็หยุดพู่กัน เงยหน้ามองมา พบว่าสองคนนั้นเดินเข้ามาแล้ว สายตาเขาหยุดลงบนใบหน้าฉินเจิง น้ำเสียงค่อนข้างเข้ม “กลับมาได้แล้วรึ”
ฉินเจิงเหลือบมองเขา จูงเซี่ยฟางหวาเดินไปยังตั่งตัวเตี้ยด้านข้าง กึ่งเอนกายอย่างเกียจคร้าน แล้วตอบว่า “ข้าก็มิได้อยากกลับมา กลัวว่าเจ้าจะร้อนใจจนกระโดดจากกำแพงเสียก่อน จึงได้แต่ยอมกลับมา”
“เจ้ารู้ด้วยรึว่าข้าร้อนใจ” ฉินอวี้แค่นเสียงเย็น
ฉินเจิงชี้ขนมบนโต๊ะเขา “ยกมา”
“เจ้าสั่งเรา” ฉินอวี้วางพู่กันลง มองเขาด้วยสายตาเย็นชา
ฉินเจิงแค่นหัวเราะ “เพิ่งจะกี่วันเอง มาดของฮ่องเต้ก็ค้ำคอแล้วรึ” พูดจบ เขาก็ชี้มาที่เซี่ยฟางหวา “นางหิวแล้ว”
ฉินอวี้กำลังจะเถียง แต่เมื่อได้ยินประโยคต่อมาก็มองไปยังเซี่ยฟางหวา
เซี่ยฟางหวามองทั้งสองด้วยรอยยิ้มขำ “พบหน้ากันเป็นอันต้องเถียง” พูดจบก็ส่ายหน้าให้ฉินอวี้ “ไม่ต้องฟังเขา ข้าไม่หิว”
ฉินอวี้พินิจมองนางแวบหนึ่ง ก่อนลุกขึ้นยืนแล้วยกจานขนมมายังเบื้องหน้านาง ขมวดคิ้วกล่าว “ไฉนถึงผอมเสียแล้ว”
เซี่ยฟางหวากล่าวขอบคุณ รับจานมาวางบนโต๊ะตัวเตี้ยด้านข้าง แล้วส่ายหน้าตอบ “เจ้าต่างหากที่ผอม แม้ยามนี้มีกิจราชสำนักมากมาย ค่อนข้างลำบากไม่น้อย แต่ต้องดูแลสุขภาพด้วย รากฐานบ้านเมืองมิใช่เป็นเรื่องแค่วันสองวัน หากเจ้าเหนื่อยเสียก่อน ฉีเหยียนชิงคงดีใจ”
“ช่วงนี้ข้ายุ่งสักหน่อยก็ไม่เป็นไร พื้นฐานร่างกายแข็งแรงมากอยู่แล้ว ทรมานสักหน่อยก็มิได้เกรงกลัว แต่เจ้าเถอะ ร่างกายเป็นเช่นไรบ้าง ช่วงนี้ยังกินยาตรงเวลาหรือไม่” ฉินอวี้คลายสีหน้าอ่อนโยนลง
“บำรุงอยู่ตลอด ดีขึ้นมากแล้ว” เซี่ยฟางหวาพยักหน้า
ฉินอวี้พยักหน้า กำชับอีกหน “อย่าได้ประมาทเกินไป”
“เข้าใจแล้ว” เซี่ยฟางหวายิ้มมองเขา ก่อนพึมพำขึ้น “เหมือนคนแก่ก็มิปาน”
ฉินอวี้ทั้งโมโหทั้งหัวเราะ ทันใดนั้นก็ยกขาเตะฉินเจิง “ดูแลสตรีของเจ้าให้ดี เจ้าดูสิว่านางผอมขนาดไหนแล้ว”
ฉินเจิงโดนเตะครั้งหนึ่งทว่ามิได้โกรธแต่อย่างใด และมิได้เตะคืนด้วย “รู้แล้ว ภรรยาข้ามิต้องให้เจ้าเป็นกังวลแทน” หยุดชั่วครู่แล้วปรายตามองฉินอวี้ เลิกคิ้วกล่าว “คนเป็นฮ่องเต้ล้วนพูดมากเหมือนเจ้าหรือไม่”
ฉินอวี้หมุนตัวกลับมา เอ่ยอย่างแค้นเคือง “มิใช่ครอบครัวเดียวกันย่อมเข้ากันมิได้ดังคาด”
“ข้าชอบประโยคนี้” ฉินเจิงชอบใจยกใหญ่ ยิ่งเห็นว่าฉินอวี้เริ่มมีน้ำโห เขาก็อารมณ์ดีขึ้นมาทันที “พูดมาเถอะ รีบเรียกพวกเราเข้าวังมาถึงเพียงนี้ มีเรื่องใด”