“ฮ่า ลองลิ้มรสฝ่ามือดอกบัวเพลิงบานของข้าดู”
ศิษย์ของนิกายดอกบัวเพลิงพุ่งเข้ามาหาหลินนาด้วยมือสองข้างที่ลุกเป็นลูกบอลไฟก่อนที่จะผลักฝ่ามือทั้งคู่เข้าสู่อกเธอ
“กุสุมาลย์พ้นพิสัยศิลป์: กลีบดอกไม้พิโรธ” หลินนาดึงกระบี่ออกจากฝักและกรีดเฉือนไปยังศิษย์ของนิกายดอกบัวเพลิง
เมื่อผู้ชมเห็นเช่นนั้น ดวงตาของพวกเขาต่างพากันเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ
“เธอกล้าที่จะแลกหมัดกันตรงๆกับคนที่มีระดับเหนือกว่าเธอถึงหนึ่งเขตเชียวรึ นั่นมิใช่บ้าคลั่งก็หยิ่งยะโสแล้ว”
ปกติแล้วเมื่อพลังการฝึกปรือของใครก็ตามต่ำกว่าคู่ต่อสู้ พวกเขาย่อมไม่คิดที่จะพยายามที่จะสู้ซึ่งหน้า ในเมื่อนั่นก็เหมือนกับการฆ่าตัวตาย แต่หลินนาพุ่งเข้าหาเขาด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยมบนใบหน้า
บูม
ทันทีที่ฝ่ามือของศิษย์ของนิกายดอกบัวเพลิงปะทะเข้ากับกระบี่ของหลินนา ก็เกิดการระเบิดออกอย่างรุนแรงระหว่างพวกเขา ก่อนที่จะส่งหนึ่งในนั้นปลิวไปยังขอบของเวที
“เป็นไปไม่ได้”
ไม่เพียงแต่ผู้ชม แต่กระทั่งโหวเวินเจีย ก็ยังร้องออกมาเสียงดังลั่นหลังจากที่เห็นศิษย์ของนิกายดอกบัวเพลิงพ่ายแพ้ในการแลกหมัดในเมื่อพวกเขาต่างคาดว่าหลินนาจะต้องเป็นคนที่ถูกส่งปลิวออกไป
“นี่เป็นไปได้อย่างไรที่คนในเขตสัมมาวิญญาณชนะการปะทะซึ่งหน้ากับคนที่อยู่ในเขตปฐพีวิญญาณ นั่นมิสมเหตุผล”
ถึงแม้ว่มันจะไม่ถึงขั้นเป็นไปไม่ได้ มีเพียงแต่ผู้ฝึกวิชาที่เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ที่สุดเท่านั้นที่จะสามารถบรรลุความสำเร็จดังกล่าวได้ ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาอย่างมากก็เพียงแค่หนึ่งหรือสองระดับต่ำกว่าเขตปฐพีวิญญาณ อย่างไรก็ตามหลินนาอยู่เพียงแค่ระดับที่ห้าของเขตสัมมาวิญญาณ เธอต่ำกว่าศิษย์นิกายดอกบัวเพลิงที่อยู่ในระดับหนึ่งเขตปฐพีวิญญาณถึงห้าระดับ
“ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยมีผู้มีพรสวรรค์ตรึงใจเช่นนั้น” กระทั่งเจ้าซีก็ยังประหลาดใจในเมื่อเขามั่นใจว่ากระทั่งตัวเขาเองก็ยังไม่สามารถที่จะทำในสิ่งที่หลินนาเพิ่งทำไปหากเขามีอายุและมีพลังการฝึกปรือเท่าเธอ
“บางทีซูหยางอาจจะมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้” ซีซิงฟางกล่าว
เจ้าซีมองดูเธอด้วยท่าทางประหลาดและกล่าวว่า “เจ้ารู้ไหมว่ามิใช่ทุกสิ่งในโลกนี้ที่หมุนรอบตัวเขา”
“ใครจักรู้ เห็นได้ชัดว่าเขามีกลิ่นอายเช่นนั้น”
เจ้าซีได้แต่เพียงแค่ส่ายหน้าด้วยจนคำพูด
“กุสุมาลย์พ้นพิสัยศิลป์: เกสรร่วงหล่น”
หลังจากที่ระเบิดศิษย์นิกายดอกบัวเพลิงปลิวออกไปแล้ว หลินนาพลันไล่ตามติดอีกฝ่ายไปทันทีโดยไม่เสียเวลา
“อาาา”
ศิษย์นิกายดอกบัวเพลิงซึ่งสามารถฝืนยืนจนมั่นคงได้หลังจากถูกผลักปลิวออกไปไม่สามารถที่จะป้องกันตนอย่างเต็มที่จากการโจมตีอันรวดเร็วของหลินนาและใช้ถูกฟันเข้าที่อกครึ่งคมกระบี่
โชคยังดีสำหรับเขา ซึ่งมีเกราะป้องกันรอบสนามแข่งขันซึ่งป้องกันกระบี่ไม่ให้ตัดร่างของเขาเป็นสองส่วนเปลี่ยนเขาให้กลายเป็นเลือดเนื้อเลอะเลือน อย่างไรก็ตามถึงแม่ว่าร่างของเขาจะยังอยู่ครบ แต่ศิษย์ของนิกายดอกบัวเพลิงยังคงได้ประสบกับแรงกระแทกจากการโจมตีที่กระทบกระเทือนไปถึงอวัยวะภายในอย่างรุนแรงและบดขยี้กระดูกสองสามซี่ จนทำให้เขากระอักเลือดออกมา
“ข้ายังมิได้จัดการเจ้าเด็ดขาดเลย” หลินนาไม่ยอมให้ศิษย์คนนั้นได้ตั้งตัวและเข้าไปร่ายรำท่วงท่าของกุสุมาลย์พ้นพิสัยศิลป์ต่ออีกฝ่ายต่อไป
หลังจากดิ้นรนต่อไปอีกไม่กี่นาที ในที่สุดศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็ยอมแพ้รอบนี้ไปในเมื่อเขาไม่สามารถที่จะเคลื่อนไหวต่อไปได้อีกเนื่องจากความเจ็บปวดบนร่าง
“ฮึ่ม เมื่อมาคิดว่าเจ้าต้องการสู้กับศิษย์พี่ชายในขณะที่เจ้าอยู่ในแค่ระดับนี้ช่างโอหังนัก เจ้าอยู่ได้มิถึงแม้สักวินาทีหากเผชิญกับเขา”
ศิษย์นิกายดอกบัวเพลิงกัดฟันด้วยความโกรธ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาและลงไปจากเวทีอย่างช้าๆเพื่อรับการรักษาอาการบาดเจ็บ
“ข้าขอโทษ ท่านผู้นำนิกาย ข้าประมาทเธอมากเกินไป”
ศิษย์คนนั้นก้มหัวให้กับโหวเยินเจียซึ่งส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว
“อย่าโทษตัวเอง กระทั่งข้าเองก็ยังประมาทเธอ ตามจริงแล้วนอกจากซูหยาง ข้าก็อดที่จะประมาทพวกเธอมิได้”
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ โหวเยินเจียก็กล่าวกับเหล่าศิษย์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า “ตราบใดที่เจ้ายังอยู่บนเวที ข้าต้องการให้พวกเจ้าถือเสียว่าคู่ต่อสู้ของพวกเจ้า มิว่าพวกเธอเป็นใคร ให้เหมือนกับว่าพวกเธอเป็นซูหยางและต่อสู้กับพวกเธอด้วยทุกอย่างที่เจ้ามี ให้การต่อสู้รอบแรกของเราเป็นการพ่ายแพ้ครั้งเดียวในวันนี้”
“ขอรับท่านผู้นำนิกาย”
เหล่าศิษย์ตอบด้วยเสียงชัดเจน
ในเวลานั้นอีกด้านหนึ่ง หลินนาก็ลงจากเวทีไปแล้วเช่นกันในเมื่อเธอใช้พลังของเธอไปจนหมดก่อนหน้านั้นและไม่สามารถที่จะสู้รอบถัดไปได้
“ข้ามิสนใจว่าเจ้าทำได้อย่างไร แต่นี่ทำให้ข้าหน้าเปลี่ยนสีด้วยความประทับใจ หากเป็นเช่นนี้ต่อไปตำแหน่งแรกในการแข่งขันย่อมมิใช่เป็นเพียงแค่ความฝัน” โหลวหลานจีชมเธอ
หลินนาหน้าแดงและกล่าวขณะที่ลูบท้อง “ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณศิษย์พี่ชาย”
โหลวหลานจียิ่งรู้สึกทึ่งกับวิชาที่ซูหยางได้สอนพวกเธอเมื่อวานนี้มากยิ่งขึ้นหลังจากที่เห็นผลลัพธ์
“เจ้าต้องสอนวิชานี้ให้ข้าคืนนี้มิเช่นนั้นข้าจักมิปล่อยให้เจ้าหลับจนกว่าเจ้าจะทำเช่นนั้น” เธอกระซิบที่ข้างหูเขา
ซูหยางไม่ได้กล่าวอะไรและเพียงแค่ยิ้มให้กับเธอ
หลังจากนั้นชั่วขณะซื่อตงก็เรียกร้องให้มีการแข่งขันรอบที่สอง
“โปรดส่งนักสู้คนต่อไปของพวกท่านขึ้นมา”
ไม่นานหลังจากนั้นศิษย์คนอื่นที่ระดับหนึ่งเขตปฐพีวิญญาณจากนิกายดอกบัวเพลิงก็ตรงมาที่ใจกลางเวที
อีกนาทีถัดไปหลังจากที่เดาตัวเลขกันอีกรอบ นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็ส่งนักสู้คนถัดไปขึ้นไปบนเวที
ร่างที่บางเพรียวพลันก้าวขึ้นไปบนเวที
“นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยตัดสินใจส่งนักสู้คนต่อไปออกมาแล้ว ซุนจิงจิง ซึ่งอยู่ที่ระดับหนึ่งเขตปฐพีวิญญาณเช่นเดียวกัน”
ทันทีที่ซุนจิงจิงปรากฏตัวบนเวที ความสวยของเธอก็ต้องตาเกือบทุกคู่ในที่แห่งนั้น แม้ว่าศิษย์ทุกคนจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจะเป็นสาวสวยสุดยอด แต่ก็ยังมีบางอย่างที่พิเศษเฉพาะในหน้าตาของซุนจิงจิงและกลิ่นอายที่ทำให้เธอเหมือนดูดีกว่าคนอื่น
“ซุนจิงจิงรึ ถ้าข้าจำมิผิด เจ้าหญิงน้อยของตระกูลซุนจากภูมิภาคตะวันตกก็ใช้ชื่อเดียวกันนี้เช่นกัน”
ผู้ชมสองสามคนจดจำชื่อของเธอได้
อย่างไรก็ตามบางคนก็ปฏิเสธคำอ้างนั้น
“เจ้าบ้าไปแล้วรึ ทำไมเจ้าหญิงนั่นจึงเป็นศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย พวกเธอต้องเป็นคนละคนกันอย่างแน่นอน”
“แต่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็ตั้งอยู่ที่ภูมิภาคตะวันตกเช่นเดียวกันซึ่งตระกูลซุนล้วนเคลื่อนไหวอยู่ที่นั่น…”
“ข้าจะบอกเจ้าว่ามีโอกาสเป็นศูนย์ที่ตระกูลซุนจะยอมให้เจ้าหญิงของพวกเขากลายเป็นโสเภณีในสถานที่เช่นนั้น ยิ่งไปกว่านั้นครั้งสุดท้ายที่ข้าได้ยินเธอยังคงอยู่ที่เขตปฐมวิญญาณ ตระกูลซุนเป็นที่รู้จักในเรื่องความร่ำรวยและเส้นสายกับพ่อค้าทั่วโลก มิใช่พรสวรรค์ในการฝึกวิชา ดังนั้นมิมีทางที่เด็กสาวคนนี้ซึ่งอยู่ที่เขตปฐพีวิญญาณจะเป็นคนเดียวกับเจ้าหญิงจากตระกูลซุน”
“ข้าเดาว่าเจ้าพูดถูก…”
ในเวลานั้น บนเวที ซุนจิงจิงสั่นสะท้านเล็กน้อยจากความตื่นเต้น
“ข้าสงสัยว่าตระกูลของข้ากำลังมองดูข้าอยู่ในตอนนี้หรือไม่” เธอคิดสงสัยอยู่ในใจขณะที่เธอค่อยตรงไปยังใจกลางเวที
“แม้ว่าพวกเขาจักปฏิเสธข้าในการเลือกที่จะติดตามท่านปู่อย่างหนัก แต่ก็เพราะว่าการตัดสินใจนั้นที่ทำให้ข้าได้มายืนอยู่ที่นี่ในตอนนี้…”
ไม่นานหลังจากนั้นครั้นเมื่อซุนจิงจิงอยู่ที่กลางเวทีแล้ว ซื่อตงก็ยกมือขึ้นและกล่าวว่า “รอบที่สอง เริ่มได้”