กู่เย่ว์กว๋อ (แคว้นจันทราโบราณ)
ที่นั่นเป็น……..แคว้นเล็กๆ ที่เก่าแก่และลึกลับแห่งหนึ่ง มีประวัติยาวนานนับพันปี ถึงแม้เขตแดนจะเล็กมาก แต่ก็สืบทอดความเจริญรุ่งเรืองกันมาโดยมิได้ขาด
ฟังว่า……แคว้นกู่เย่ว์มีกองทัพศพมีชีวิตที่ไร้พ่ายจำนวนหนึ่งไว้ในครอบครอง……
ยังมีอีก แคว่นกู่เย่ว์มีสมบัติวิเศษอยู่อย่างหนึ่ง เป็นสิ่งวิเศษเร้นลับ ซุกซ่อนอยู่ในหุบเขา มันทำให้ผู้ครอบครองสามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ ทั้งยังสามารถควบคุมภูติผีวิญญาณร้ายต่างๆ ได้อีกด้วย
ทั้งยังเล่าลือกันว่า สาเหตุที่แคว้นกู่เย่ว์เจริญรุ่งเรืองมาโดยตลอดนั้น เป็นเพราะในช่วงเวลาที่ผู้นำแคว้นต่างๆ กำลังแตกแยก และแย่งชิงดินแดนกันนั้น เจ้าผู้ครองแคว้นอาศัยของวิเศษชิ้นนั้นบงการกองทัพให้ไปขุดสุสานลักสมบัติมาสะสมเอาไว้ในคลังหลวงของตน เมื่อกระทำต่อเนื่องจนวันคืนผ่านไปนานเข้า ก็สะสมเอาไว้ได้อย่างมากมาย จนกลายเป็นแว่นแคว้นที่มั่งมี
เมื่อเป็นเช่นนี้ ย่อมมีศัตรูอยู่ไม่น้อยที่คิดจะโจมตีช่วงชิง แคว้นกู่เย่ว์ แต่ที่น่าประหลาดก็คือ เหล่าศัตรูทั้งหลายนั้นสุดท้ายแล้วต่างก็ไม่มีจุดจบอันดี
ราวกับว่าโดนคำสาปเข้า แต่ละคนตกตายอย่างอเนจอนาถ
ท้ายที่สุด ในขณะที่ปฐมกษัตริย์ยังทรงหนุ่มแน่นนั้น ได้ทรงนำขุนพลเหล็กจำนวนหนึ่งแสนนายบุกไปยังแคว้นกู่เย่ว์กว๋อ หลังจากหลั่งเลือดในสนามรบอยู่สามเดือน ถึงได้สามารถบุกยึดแคว้นกู่เย่ว์ได้สำเร็จ ปราบปรามเจ้าครองแคว้น ทั้งยังฆ่าล้างชาวเมืองกู่เย่ว์กว๋อจนสิ้น
ในบรรดาพวกเขาไม่มีผู้ใดที่เคยได้ติดตามปฐมกษัตริย์ไปออกรบศึกครั้งนั้นจริงๆ เพียงแต่ได้ยินได้ฟังมาว่าโลหิตหลั่งไหลเป็นท้องธาร ทุกหนแห่งล้วนเงียบงันวังเวง แม้แต่พื้นดินยังถูกชะโลมจนแดงก่ำดุจเดียวกับเลือด
แม้ว่าผ่านไปหลายปีแล้วก็ยังไม่มีผู้ใดกล้ากลับไปดูสนามรบแห่งนั้นอีกเลย
เพราะว่า……กองทัพนับแสนที่ติดตามปฐมกษัตริย์ไปในครั้งนั้น ก็เหลือรอดกลับมาเพียงไม่ถึงร้อยคนเท่านั้น
หลังจากล้มล้างแคว้นกู่เย่ว์ได้แล้ว แคว้นตาโจวก็มิได้หยุดยั้งอยู่แค่นั้น แต่ว่าปราบปรามเหล่าแคว้นเล็กๆ ไปอีกนับสิบแคว้น จนสามารถขยายดินแดนของตนเองออกไปได้อีกเท่าหนึ่งเลยทีเดียว
และอาจเป็นเพราะการสู้รบขยายดินแดนนั้นยากลำมากเกินไป เป็นเหตุให้ปฐมกษัตริย์ทรงประชวรเรื้อรัง เมื่อแคว้นต้าโจวมั่นคงได้เพียงไม่กี่ปี ก็เสด็จสวรรคตไป
……………………………
เมื่อได้เห็นสภาพของเสียนไท่เฟยที่อยู่ตรงหน้า ทำให้เหล่าขุนนางเก่าแก่ทั้งหลายต่างอดไม่ได้ที่จะอยู่ๆ ก็นึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมาของแคว้นกู่เย่ว์ขึ้นมา
ศพมีชีวิต….นางใช่ว่ามีความสัมพันธ์ใดกับกองทัพศพมีชีวิตของแคว้นกู่เย่ว์กว๋อหรือไม่?
หรือบางที ปีนั้นอาจจะมีปลาที่เล็ดลอดหว่างแหออกไปได้?
ผู้ที่รู้เรื่องราวเหล่านี้ คงเหลือเพียงขุนนางเก่าแก่แค่สองสามคนเท่านั้น ผู้คนอื่นๆ ที่เหลือต่างก็แตกตื่นหวาดกลัวศพมีชีวิตด้วยกันทั้งนั้น
โดยเฉพาะเหล่าพระสนมทั้งหลาย เมื่อพวกนางต่างก็คิดว่าตนเองเคยยืนเคียงข้างปีศาจเช่นนี้อยู่ในเรือนด้วยกันตั้งนาน หัวใจของทุกผู้ต่างก็สั่นสะท้านขึ้นมา
เสียนไท่เฟยช่างรู้จักเสแสร้งนัก!
นางหลอกลวงฉางซุนฮองเฮา หลอกลวงอดีตฮ่องเต้ หลอกพวกนางทุกๆ คน!
หากไม่ใช่เพราะว่าวันนี้ความจริงถูกเปิดเผยออกมา พวกนางเองยังไม่รู้เลยว่าจะถูกปิดบังเอาไว้อีกนานเท่าใด
บนเก้าอี้กุ้ยเฟย สีพระพักตร์ของฝ่าบาทกลับไม่มีวี่แววประหลาดใจใดๆ พระองค์สงบเยือกเย็น ทอดพระเนตรมองเสียนไท่เฟยอย่างเงียบๆ “จับตัวไว้ ขังในคุกหลวง เราจะสอบสวนด้วยตนเอง”
“ฝ่าบาทพะยะค่ะ ยังจะมีเรื่องอันใดต้องสอบสวนกันอีก นางเป็นปีศาจ สมควรจับเผาทั้งเป็นไปเสียเดี๋ยวนี้ ” รองมหาเสนาฯ รีบกราบทูล ” ตัวอันตรายเช่นนี้หากปล่อยเอาไว้วันหนึ่ง ก็เพิ่มความอันตรายขึ้นอีกหนึ่งส่วน “
ประเด็นสำคัญก็คือเขาหวาดเกรงว่าเสียนไท่เฟยจะหันมาแก้แค้นเขา ใครจะไปรู้ว่าปีศาจเช่นนี้จะแก้แค้นผู้คนด้วยวิธีเช่นไรบ้าง
หากว่าเขาเกิดโดนควักหัวใจดูดโลหิตขึ้นมาบ้างละ…..พอคิดถึงตรงนี้รองมหาเสนาฯ ก็หลังเหงื่อเย็นๆ ออกมาบ้าง
จีเฉวียนกวาดพระเนตรมองมาที่เขาครั้งหนึ่ง ทำให้รองมหาเสนาฯ ตระหนกจนต้องหุบปากไป
ยามที่พระองค์หันกับมองทอดพระเนตรมองดูเสียนไท่เฟยอีกครั้ง ถึงได้เห็นว่า นางกลับยิ้มออกมา ใบหน้าที่ซีดขาว เต็มไปด้วยบาดแผลนั้นยิ้มอย่างสยดสยองอย่างยิ่ง
“หม่อมฉันมีฝีมือสู้ผู้อื่นไม่ได้ วางหมากพลาดไปตาหนึ่ง ก็ได้แต่ยอมรับความพ่ายแพ้แล้ว “
นางยืนอยู่ที่เดิม ทรงผมถูกพวกวิญญาณรุมทึ้งจนหลุดลุ่ย เส้นผมปลิวจนยุ่งเหยิง ดวงเนตรที่ลึกล้ำนั้นเผยประกายลึกลับที่เฉียบคมกว่าเดิม
“แต่ว่าฝ่าบาท อย่าได้ทรงลืมไปว่า ที่หม่อมฉันสามารถกลายเป็นนางกำนัลของพระมารดาพระองค์ได้ และยังได้รับความโปรดปรานจนกลายเป็นสนมคนโปรดของอดีตฮ่องเต้ ตระกูลตู๋กูเองก็มีส่วนไม่น้อย”
” เจ้าหุบปาก! ” ตู๋กูจุนกระชับดาบในมือไว้แน่น ในความทรงจำของเขา ทุกคนในบ้านต่างดีต่อเสียนไท่เฟยอย่างยิ่ง โดยเฉพาะท่านปู่ แทบจะดูแลนางเป็นดั่งบุตรสาวคนหนึ่งเลยทีเดียว
หากไม่ใช่เพราะบุตรชายของนางอี้อ๋องทรยศหักหลังน้องเล็ก ตระกูลตู๋กูของพวกเขาจะต้องช่วยประคองอี้อ๋องขึ้นครองราชย์อย่างสุดกำลังไปแล้ว
นางไม่รู้จักสำนึกบุญคุณบ้างก็แล้วไป กลับลอบลงมือทำร้ายน้องเล็ก กระทั่งวันนี้ยังคิดจะลากตระกูลตู๋กูของพวกเขาลงน้ำไปด้วย!
ท่านปู่ช่างตาบอดไปเสียแล้ว ถึงได้ดีต่อนางเช่นนี้!
เสียนไท่เฟยกลับไม่เกรงกลัวเขา รอยยิ้มของนางยิ่งทียิ่งน่าขนลุก “อ้อ ใช่สิ ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ผู้คนทั้งต้าโจวต่างก็รู้กันเป็นอย่างดี “
พูดแล้ว นางก็ชี้นิ้วออกไปยังตู๋กูซิงหลันที่หลบอยู่ด้านหลังจีเฉวียน “ไทเฮาพระองค์นี้ สูญเสียบิดามารดาไปแต่เยาว์วัย ข้าดูแลนางมาประหนึ่งบุตรสาวแท้ๆ มาโดยตลอด แต่ว่าข้าเป็นศพเดินได้ เช่นนั้นไทเฮาที่มีศพเดินได้เลี้ยงดูมาจนโต จะเป็นตัวอะไรละ? “
ตู๋กูซิงหลังรู้สึกว่านางช่างรู้จักยุยแยงดีนัก มาจนถึงขั้นนี้แล้ว ยังไม่ลืมที่จะหาเรื่องแทงนางต่อหน้าจีเฉวียนและผู้คนสักหลายๆ แผล
บางครั้งคำพูดเมื่อกล่าวออกมาอย่างชัดแจ้ง กลับกลายเป็นไร้ความหมาย
คำชี้นำที่กระตุ้นความคิดผู้คนเช่นนี้ต่างหากถึงจะน่ากลัวที่สุด
คำพูดของเสียนไท่เฟยหลายคำนี้ เป็นที่ชัดเจนเลยว่าต้องการจะยุแยงความสัมพันธ์ของเจ้าฮ่องเต้สุนัขกับตระกูลของนาง ฝังเมล็ดพันธุ์แห่งความหวาดระแวงเอาไว้ในใจของผู้คน
และเพราะว่านางกำลังแอบอยู่ด้านหลังของจีเฉวียน จึงรู้สึกได้ถึงกระแสเย็นยะเยือกจากตัวของเขาในทันที
เจ้าฮ่องเต้สุนัขเดิมทีก็เคียดแค้นตระกูลตู๋กูอยู่เป็นทุนเดิม เมื่อถูกไท่เฟยสะกิดแผลเช่นนี้ ไหนเลยจะไม่คิดมากได้อีก
ผู้คนทั้งหลายต่างก็ได้แต่สูดลมหายใจเข้าไป ผู้ใดก็ไม่กล้ายื่นศีรษะออกไปก่อน
ผ่านไปอีกครู่ใหญ่ถึงได้เห็นว่าฮ่องเต้ทรงคลายบ่าไหล่ลง ตรัสตอบอย่างเยือกเย็นว่า “ไทเฮานั้น นางเป็นดั่งเซียนหญิง “
ตู๋กูซิงหลัน “??? “
อะไรนะ? นางพึ่งได้ยินอะไรออกไป? เจ้าฮ่องเต้สุนัขกำลังชื่นชมนางหรือ?
” เจ้าฟังไม่ผิด เขาบอกว่าเจ้าเป็นเซียนหญิง” วิญญาณทมิฬที่นั่งชมงิ้วอยู่บนบ่าของนางมาโดยตลอด ทำสีหน้าขื่นขมออกมา “แต่ว่าเจ้าอย่าได้ลิงโลดไป ตามประวัติศาสตร์ในมิติของโลกก่อน ‘เซียนหญิง’ บางครั้งก็ใช้เปรียบเทียบแทนสตรีในหอโคมเขียวอยู่เหมือนกัน ไม่แน่ว่าในมิติของโลกใบนี้ก็อาจเป็นเช่นเดียวกัน เจ้าฮ่องเต้สุนัขนั่นอาจจะหลอกด่าเจ้าอยู่ก็ได้นะ “
ตู๋กูซิงหลัน “………” เจ้าไม่พูดอะไรก็ไม่มีใครหาว่าเจ้าเป็นใบ้หรอกนะ จริงๆ เลย
แต่ว่าจีเฉวียนกลับตรัสต่อไป เขาหันกลับไปทอดพระเนตรมองดูสตรีตัวน้อยที่อยู่ด้านหลัง คลี่ยิ้มกล่าวว่า “ความคิดของไทเฮานั้นเรียบง่าย สายตาการดูคนก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ไม่รู้จักหลอกลวงผู้คน เพียงแต่สะสวยงดงาม เจ้ายังคิดหวังให้คนเช่นนางฉลาดเฉลียวมีไหวพริบได้ด้วยหรือ? “
วิญญาณทมิฬ “เขาบอกว่าเจ้ามันไม่มีสมอง ตาก็บอด เป็นได้แค่แจกันดอกไม้ใบหนึ่ง “
ตู๋กูซิงหลันอยากจะเด็ดหัวมันทิ้งนัก
ผู้คนทั้งหลายต่างก็ต้องประหลาดใจ ไยฝ่าบาทไม่ทรงกริ้วตามที่ควรจะเป็น? “
แต่ว่าเมื่อคิดๆ ดูแล้ว ที่รับสั่งไปก็นับว่ามีเหตุผลอยู่ ไทเฮาผู้นี้นอกจากความงามเลิศล้ำแล้ว ที่เหลือก็ไม่มีอะไร
แต่ว่าไม่ว่าจะฟังดูอย่างไร พระดำรัสของฝ่าบาทเมื่อครู่ ทั้งอารมณ์และน้ำเสียง แล้วยังพระพักตร์ที่แย้มสรวลงดงามนั่นอีก ดูแล้วก็น่าจะเป็นความโปรดปรานเป็นแน่
” ท่านย่าน้อยย่อมไม่ใช่ปีศาจ ท่านย่าน้อยเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ลงมาเกิด! ซุ่นเอ๋อร์นับว่าให้หน้านาง ทั้งยังยกนิ้วโป้งให้อย่างชื่นชม
เสียนไท่เฟยถึงกลับกล่าววาจาใดไม่ออก ถึงยามนี้นางถึงได้เข้าใจแล้วว่าตนเองมองตู๋กูซิงหลันต่ำไป สตรีผู้นี้ ไม่เพียงแต่ทำให้เย่วเอ๋อร์หลงใหลแทบเป็นแทบตาย แม้กระทั่งจีเฉวียนก็ยังถูกนางสยบเอาไว้แล้ว