ภาคที่ 5 บทที่ 31 ต้อนรับปีใหม่น่ายินดี

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

ฮ่องเต้สรวลฮ่าฮ่าแล้ว

“เจ้าพูดเช่นนี้ ผ่านไปนานปานนี้แล้ว ข้าก็ไม่รู้สึกว่าโกรธเช่นนั้นแล้วจริงๆ” พระองค์ดำรินิดหนึ่งก็ตรัสขึ้น แล้วถอนพระปัสสาสะอีกครั้ง “ไม่ว่าพูดอย่างไร คอนนั้นเขาก็ทำสงครามมเพื่อประเทศนานปีปานนั้น บางทีอาจเป็นข้าตรงไหนทำไม่ดีทำให้เขาไม่พอใจ ขอเพียงเขายอมกลับมา…”

“ฝ่าบาท” หวงเฉิงร้องขึ้นมาคล้ายรีบร้อนอยู่บ้าง ก้าวเข้ามาคำนับ

ฮ่องเต้สรวลอีกครั้ง

“รู้ รู้ ข้าไม่พูดแล้ว” พระองค์ตรัส “กฎหมายบ้านเมืองเหล่านี้ตกทอดมาจากบรรพชน ข้าไม่อาจทำเป็นเด็กเล่น”

“ฝ่าบาททรงพระปรีชา”

ครั้งนี้หวงเฉิงกับหนิงอวิ๋นเจาลุกขึ้นค้อมกายคำนับเอ่ย

“แต่ ข้าก็ยังหวังว่าจะไม่ต้องพบเขาอีกแล้ว” ฮ่องเต้สรวลตรัส แล้วมองหวงเฉิงทีหนึ่ง

ประโยคนี้สำหรับหนิงอวิ๋นเจาแล้วเป็นการตอบรับประโยคที่ว่าข่าวดีนั่นของเขา หนิงอวิ๋นเจาก็หัวเราะตามด้วยแล้ว

แต่สำหรับหวงเฉิงแล้วย่อมมีความหมายอีกชั้นหนึ่ง

พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท จูซานไม่มีทางรอดกลับมาแน่นอน

เขาค้อมกายคำนับไม่เอ่ยวาจาอีก

“หิมะด้านนอกคล้ายตกหนักกว่าเดิม” ในพระเนตรของฮ่องเต้เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “หิมะต้องฤดูปีหน้าคงบริบูรณ์ ปีนี้ฉลองปีใหม่ดีๆ ได้แล้ว”

พูดถึงตรงนี้ก็คิดถึงอะไรได้สีหน้าเคร่งขรึมอีกหน

“ระวังภัยพิบัติด้วย อย่าให้ชาวบ้านที่ประสบภัยจากหิมะตกหนักต้องระหกระเหินเร่ร่อน”

หวงเฉิงค้อมกายคำนับ

“ฝ่าบาทโปรดวางพระทัย” เขาเอ่ย เงยหน้าพร้อมแย้มรอยยิ้ม “กำลังจะทูลข่าวดีเรื่องหนึ่งกับฝ่าบาทพอดี เต๋อเซิ่งชางแห่งซานซีบริจาคเงินล้านตำลึงใช้จัดการภัยหิมะฤดูหนาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งจัดการแจกจ่ายไปถึงผู้อพยพแดนเหนือตามที่ต่างๆ แล้ว”

ฮ่องเต้สีพระพักตร์ยินดีอย่างคิดไม่ถึง

“นั่นเป็นข่าวดีจริงๆ” พระองค์ลุกขึ้นยืนเอ่ยตรัส ถอนพระปัสสาสะอย่างพึงพอใจอีกหน “เต๋อเซิ่งชางนี่เป็นตระกูลผู้สั่งสมบุญจริงๆ”

“ไม่ผิดต่อน้ำพระทัยของฝ่าบาทที่ทรงพระอักษรมอบป้ายให้” หวงเฉิงอมยิ้มเอ่ย

ฮ่องเต้พยักพระพัตร์ ยกพระหัตถ์ส่งสัญญาณให้ขันที

“ใครมานี่ซิ ข้าจะพระราชทานอักษรคำว่ามงคลให้เต๋อเซิ่งชางเป็นการชมเชย” พระองค์ตรัส

เรื่องฮ่องเต้มีน้ำพระทัยพระราชทานรางวัลตัดผ่านหิมะที่ตกหนักขึ้นทุกทีมาถึงตระกูลฟางที่หยางเฉิงอย่างรวดเร็วที่สุด

ตระกูลฟางจุดประทัดตีฆ้องร้องป่าวอยู่ครึ่งวันไม่พัก กั้นด้วยม่านประตูหนา ในห้องที่อบอุ่นดั่งฤดูใบไม้ผลิ ฟางเฉิงอวี่สวมหมวกหนามองอักษรคำว่ามงคงตัวหนาสีแดงที่วางอยู่บนหัวโต๊ะอย่างจริงจัง ตราประทับของฮ่องเต้บนนั้นเด่นสะดุดตาเป็นพิเศษ

ผู้ดูใหญ่เกามองอักษรคำว่ามงคลตัวนี้ด้วย แต่บนหน้ากลับไม่มีรอยยิ้มสักนิด

“นี่พระราชทานมงคลที่ไหน” เขาเอ่ยพึมพำ “นี่มันเร่งให้ไปตาย”

เขาพูดพลางมองไปหาฟางเฉิงอวี่

“นายน้อย เมื่อครู่ความหมายของคำพูดที่คนของทางการส่งมาเอ่ย ท่านก็ฟังออกสินะขอรับ? ท่านว่าจะทำอย่างไร?”

ฟางเฉิงอวี่สีหน้าจดจ่อ คล้ายไม่ได้ยินคำพูดของเขา ผู้ดูแลใหญ่เกาไม่อาจไม่เพิ่มเสียงขึ้น

“อ้อ เจ้าว่าอะไรนะ?” ฟางเฉิงอวี่ยื่นมือปลดหมวกลง หลังจากก็ปลดหมวกลงเอาที่ปิดหูขนปุยสองชิ้นออก แล้วจึงมองไปหาผู้ดูแลใหญ่เกาเอ่ยถามขึ้น

ผู้ดูแลใหญ่เกามองเขาแล้วอับจนวาจาอยู่บ้าง

คิดว่าฟางเฉิงอวี่ร่างกายอ่อนแอดังนั้นจึงสวมหมวกในห้อง กลับคิดไม่ถึงว่าที่แท้เขาทำเพื่อปิดหู

ถ้าเช่นนั้นถ้อยคำที่ขุนนางทั้งหลายผู้มามอบอักษรมงคลพระราชทานของฮ่องเต้จากเมืองไท่หยวนเอ่ย สักประโยคเขาก็ไม่ได้ฟังเลยสิ?

“หนวกหูเกินไปแล้ว” ฟางเฉิงอวี่ยิ้มนิดๆ “อีกอย่าง ขุนนางพวกนั้นพูดมาพูดไปล้วนอีหรอบนั้น ขอแค่ยิ้มพยักหน้าก็พอแล้ว”

“นายน้อย แต่พยักหน้าครั้งเดียวนี่ จ่ายล้านตำลึงเงินออกไปแล้วนะขอรับ” ผู้ดูแลใหญ่เกาถอนหายใจเอ่ย “บอกว่ายืมใช้ แต่ข้าว่าพวกเขาไม่คิดจะคืนสักนิด”

ฟางเฉิงอวี่ขานอ้อ

“ไม่คิดก็ไม่คิดสิ อย่างไรก็ใช้มาจัดการประชาชนผู้ประสบภัย ไม่ได้ใช้ส่งเดช” เขาเอ่ยแล้วมองอักษรคำว่ามงคลอีกหนพลางยิ้มนิดๆ “ไม่แน่อาจเปลี่ยนเป็นคำว่าโชคดีคำหนึ่งกลับมาได้อีก”

นั่นมีประโยชน์อันใดเล่า พวกเขาเป็นพ่อค้า สิ่งที่ต้องการคือร่ำรวย ทำเงินไม่ได้ อักษรที่เทพเซียนประทานให้ก็แค่กระดาษไร้ค่าหนึ่งแผ่น

ผู้ดูแลใหญ่เกาสีหน้ากังวล

“อีกอย่าง พักนี้พ่อค้าหลายเจ้านั่นก็มายืมเงินอีกแล้ว” เขาเอ่ย

ฟางเฉิงอวี่ขานอ้อ

“ถ้าเช่นนั้นก็ปล่อยไปตามกฎ”

เขาเอ่ยอย่างไม่สนใจ “ก็ไม่ใช่ไม่เคยปล่อยเสียหน่อย”

ปล่อยเงินกู้เก็บดอกเบี้ยเป็นเรื่องปกติของร้านแลกเงิน ผู้ดูแลใหญ่เกาไม่มีสิ่งใดคุ้ยเคยมากไปกว่านี้อีกแล้ว แต่เขายังคงคิ้วขมวด

“ข้าคิดว่าคนเหล่านี้มาอย่างประหลาด” เขาเอ่ย “ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ ตอนนี้พวกเราไม่มีเงินมากปานนั้นแล้วขอรับ”

ประการแรกแยกตระกูล ประการที่สองอาศัยจังหวะแบ่งตระกูลยังมีเงินส่วนหนึ่งถูกปล่อยอกไป จำนวนก็ไม่ใช่น้อย

“ข้ากลัวจะหนี้สูญ” เขาเอ่ย “นายน้อย หากหนี้สูญปุบ แล้วเกิดการแห่ถอนเงินอีก ถ้าเช่นนั้นเต๋อเซิ่งชางก็คง…”

เขามองไปทางฟางเฉิงอวี่ ฟางเฉิงอวี่สีหน้าเคร่งขรึม หว่างคิ้วเต็มไปด้วยความครุ่นคิด

เขาไม่กล้ารบกวน นิ่งรอครู่หนึ่งถึงเอ่ยถามต่อ

“นายน้อย ท่านคิดอย่างไรขอรับ?” เขาเอ่ยถาม

ฟางเฉิงอวี่ถอนหายใจแผ่วเบา

“ข้าคิดว่าจิ่วหลิงยังสบายดีหรือไม่?” เขาเอ่ย

คิดตั้งนาน กำลังคิดถึงสตรี? ผู้ดูแลใหญ่เกาอับจนวาจาไปพักหนึ่ง

ฟางเฉิงอวี่นั่งลง มือค้ำคางถอนหายใจอีกครั้ง

“ปีใหม่ครานี้ไม่ดีเลยจริงๆ” เขาเอ่ย

ผู้ดูแลใหญ่เกาถอนหายใจอีกหน

“นายน้อย ท่านลองคิดดีๆ ว่าเรื่องตอนนี้จะทำอย่างไรสิขอรับ? คิดวิธีรับมือออก ปีใหม่นี้พวกเราก็ฉลองดีๆ ได้” เขาเอ่ยกล่อม

ฟางเฉิงอวี่คิดก็ไม่คิดส่ายศีรษะ

“ข้าอารมณ์ไม่ดี ไม่คิดเรื่องอื่น” เขาเอ่ยขึ้น

นั่นเรียกเรื่องอื่นหรือ? นั่นเป็นเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวพันถึงความเป็นความตายของเต๋อเซิ่งชางเชียวนานายน้อยของข้า ผู้ดูแลใหญ่เกากลอกตาทีหนึ่งอย่างจนปัญญา ปีใหม่ครานี้ไม่ดีจริงๆ

ไม่ว่าดีหรือไม่ดี หลังเข้าสู่เดือนนสิบสองฝีเท้าของเวลาก็ยิ่งเร็วแล้ว ต่อให้เป็นจวนสกุลลู่ที่ร่องรอยคนน้อยนัก ก็ได้ยินเสียงประทัดข้างนอกต่อเนื่องไม่ขาดได้เช่นกัน

องค์หญิงจิ่วหลีก้าวเดินช้าๆ บนถนนที่ปูด้วยก้อนกรวดละเอียด ได้ยินเสียงประทัดดังมาจากด้านนอกก็หยุดฝีเท้า

“ไม่เช่นนั้นพวกเราจุดประทัดเล่นบ้างไหม?” นางเอ่ยกับบ่าวหญิงด้านหลังร่าง

คำสั่งขององค์หญิงจิ่วหลี บ่าวหญิงทั้งหลายแต่ไหนแต่ไรล้วนเชื่อฟังทำตาม ได้ยินเข้าก็ยิ้มพยักหน้า

“ดีเพคะ ดีเพคะ” พวกนางเอ่ย

แล้วก็มีคนหมุนตัว

“บ่าวไปนำประทัดมานะเพคะ” นางเอ่ย

องค์หญิงจิ่วหลีชี้ด้านหน้า

“ด้านนั้นเป็นที่ว่างดีที่สุด” นางเอ่ยพลางก้าวเท้าช้าๆ เข้าไป เพิ่งเดินมาถึงสายตาพลันจับอยู่ที่เพิงฟางหลังหนึ่งด้านข้าง “ที่นี่มีเพิงฟางด้วยหรือ?”

สิ้นเสียงของนางพลันเห็นสตรีคนหนึ่งเดินออกมาจากในเพิงฟาง สองคนสบตากันล้วนตกใจสะดุ้งโหยง

“ถวายพระพรองค์หญิง” นางก้มศีรษะคำนับ

“ที่นี่คือ…” องค์หญิงจิ่วหลีเอ่ยถาม

“ที่นี่คือเพิงดอกไม้เพคะ” นางเอ่ยตอบ

ได้ยินคำว่าเพิงดอกไม้สองคำ สีหน้าขององค์หญิงจิ่วหลีพลันตะลึงเล็กน้อย

“ถึงกับเดินมาถึงที่นี่แล้วหรือ” นางเอ่ยขึ้น จากนั้นถอนหายใจแผ่วเบาหมุนตัว “เย็นเกินไปแล้ว พวกเรากลับไปก่อน ค่อยมาเล่นวันหลังเถอะ”

บ่าวหญิงทั้งหลายรีบขานรับหมุนตัวห้อมล้อมองค์หญิงจิ่วหลีไป

บ่าวหญิงสองคนที่รั้งอยู่ด้านหลังสบตากันทีหนึ่งแล้วหันศีรษะมองเพิงดอกไม้ทีหนึ่งอีกหน

“ทำไมหรือ?” บ่าวหญิงคนหนึ่งเอ่ยถามเสียงเบา

“นี่เป็นเพิงดอกไม้ขององค์หญิงจิ่วหลิง” อีกคนหนึ่งเอ่ยเสียงเบา “องค์หญิงกลัวเห็นเข้าจะเสียพระทัยกระมัง”

บ่าวหญิงคนก่อนหน้านี้เข้าใจรีบส่งเสียงให้เงียบ สุดท้ายก็อดไม่ได้หันศีรษะมองทีหนึ่ง เห็นสตรีที่เดินออกมาจากในเพิงดอกไม้นั่นหายไปแล้ว

“เพิงดอกไม้เปลี่ยนหญิงดูแลดอกไม้คนใหม่หรือ? ไม่เคยเห็นคนนี้นะ” นางเอ่ยพึมพำกับตนเอง

“เปลี่ยนแล้วอย่างไร” บ่าวหญิงอีกคนหนึ่งเอ่ย “ในบ้านล้วนเป็นคนใหม่เปลี่ยนคนเก่า”

นั่นก็ใช่ บ่าวหญิงหดศีรษะไม่เอ่ยวาจาอีกก้าวเร็วไวตามองค์หญิงจิ่วหลีด้านหน้าไป

“ใกล้จะข้ามปีแล้ว”

ลู่อวิ๋นฉีที่เดินลงมาตามบันไดเอ่ยขึ้นพลางวางกล่องอาหารในมือลง

คุณหนูจวินมองเขาหิ้วกล่องอาหาร กล่องอาหารนี่ใหญ่กว่าวันวานมากนัก

ลู่อวิ๋นฉีเปิดกล่องอาหาร หิ้วราวย่างราวหนึ่งออกมา แล้วเอาถาดถ่านถาดหนึ่งออกมาด้วย จากนั้นเอาขาแพะที่สุกครึ่งหนึ่งขาหนึ่งออกมาอีก

“กิจวัตรของพวกเรา” เขาเอ่ยขึ้นพลางยิ้มให้คุณหนูจวินทีหนึ่ง

นางชอบกินขาแพะย่าง แล้วก็ชอบย่างด้วยตนเอง

คุณหนูจวินมองอุปกรณ์ตรงหน้า สีหน้ายังคงเฉยเมย

“กิจวัตรของข้า” นางเอ่ย “กิจวัตรของข้ากับอาจารย์”

ลู่อวิ๋นฉีก้มศีรษะประกอบราวขาแพะอย่างชำนิชำนาญ

“อืม” เขาเอ่ย “กิจวัตรของข้า”

นางทำตามอาจารย์ของนางจนเป็นกิจวัตร ส่วนเขาก็ทำตามนางจนกลายเป็นกิจวัตรของเขา

ขาแพะย่างจนสุกอยู่แล้ว เพียงเอามาที่นี่แค่อุ่นอีกสักหน่อย ไม่นานกลิ่นหอมก็กระจายไปรอบด้าน

ลู่อวิ๋นฉีวางจานไว้เรียบร้อยแล้ว จากนั้นหยิบมีดออกมา

สายตาของคุณหนูจวินจับอยู่บนมีดในมือเขา

กริชไม่ใหญ่ไม่เล็กเล่มหนึ่ง คมกริบวาดผ่านบนขาแพะ ตัดเนื้อชิ้นหนึ่งออกมา

“ท่านแก้มัดมือข้า ข้ากินเอง” นางพลันเอ่ยขึ้น

ตอนนี้หลังลู่อวิ๋นฉีมาจะแก้มัดที่ขานางออก ให้นางขยับเดินไปมาที่นี่ แต่สองมือถูกมัดอยู่ตลอด

ลู่อวิ๋นฉีไม่เงยศีรษะ จดจ่ออยู่กับเนื้อแพะชิ้นนั้น

“ไม่ต้องหมายตามีดเล่มนี้ของข้า” เขาเอ่ย “เจ้าอย่าคิดเลย”

เขาเงยศีรษะขึ้น

“เจ้าคิดว่าถือสิ่งเหล่านี้จะทำร้ายคนที่เจ้าชิงชังได้ แต่ที่จริงพวกมันก็ทำร้ายเจ้าได้เช่นกัน”

เขาพูดไม่ผิด

หากตอนนี้นางลงมือสังหารเขา ตนเองย่อมไม่มีทางมีจุดจบที่ดีแน่นอน

ต่อให้มีข้ออ้างหมื่นพัน ลู่อวิ๋นฉีก็เป็นคนที่ฮ่องเต้ไว้วางพระทัยขาดไม่ได้ ส่วนนางวันนี้เป็นตะปูทิ่มตาฮ่องเต้

ก็เหมือนครั้งนั้นที่นางจะสังหารฮ่องเต้ มีดน่ะมีคม คมกริบ จะทำร้ายผู้อื่นก็ยากเลี่ยงทำร้ายถูกตนเอง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเผชิญหน้าคนที่แข็งแกร่งกว่า ครอบครองข้อได้เปรียบมากกว่าตนเอง

ลู่อวิ๋นฉีหยิบเนื้อแพะชิ้นหนึ่ง วางมีดลงบีบปากของนางไว้

“ข้าไม่มีทางให้พวกมันทำร้ายเจ้าได้อีก” เขาเอ่ยขึ้น