บทที่ 212 (ตอนพิเศษเพิ่มเติม ตอนที่ 3)

พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย

* * *

เช้ามืดวันต่อมา อาซลูบผมอาเรียที่เป็นประกายสีแปลกตาเมื่อต้องแสงจันทร์นวลผ่องก่อนจะลุกออกจากเตียง

เขาบอกอาเรียว่างานเสร็จก่อนกำหนด แต่ความจริงแล้วเขาเลื่อนมันออกไปก่อนต่างหาก

แม้จะไม่ใช่กิจด่วนแต่หากผลัดวันประกันพุ่งจนเป็นดินพอกหางหมูมันก็ด่วนขึ้นมาได้เหมือนกัน

เช้านี้เขาต้องตื่นเร็วกว่าเดิมแต่เมื่อคืนช่างเป็นค่ำคืนที่ดีเสียจนเขาไม่รู้สึกเหนื่อยล้าเลยสักนิด

เขาเพียงแค่รู้สึกเสียดายที่ไม่ได้อยู่ข้างอาเรียจนถึงเช้าและทักทายเธอเท่านั้น

เหตุนี้อาซจึงก้มลงจูบบนหน้าผากอาเรียอย่างแผ่วเบาเพื่อสะบัดเอาความอาลัยอาวรณ์ที่ดึงรั้งเขาไว้ทิ้งไปแล้วเดินออกจากห้องนอนเสียที

“เจ้าชายคะ เมื่อคืนหลับสบายดีไหมคะ ดิฉันเตรียมน้ำล้างหน้าไว้ให้แล้วนะคะ”

ไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้งที่อาซออกจากห้องมาโดยที่อาเรียไม่รู้ นางกำนัลที่เตรียมการไว้ล่วงหน้าจึงนำทางเขาไปยังห้องที่อยู่ข้างกัน

หลังจากอาซเตรียมตัวอย่างที่ทำเป็นประจำเสร็จเรียบร้อยเขาบอกนางกำนัลว่าเขาจะมาทานมื้อเช้าพร้อมอาเรียเมื่อเธอตื่น ทว่าขณะกำลังจะมุ่งหน้าไปห้องทำงานนั้น

“เจ้าชาย กระผมมีเรื่องต้องถวายรายงานขอรับ”

หนึ่งในผู้ช่วยก็มาหาเขา

ดูจากการที่อีกฝ่ายมาหาเขาโดยตรงในเวลาเช้าตรู่เช่นนี้แล้วจะต้องเป็นเรื่องด่วนไม่ผิดแน่

เมื่ออาซกะพริบตาเป็นเชิงอนุญาต ผู้ช่วยก็ค้อมหัวลงก่อนจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้น

“เมื่อคืน มีใครบางคนบุกรุกเข้ามาในห้องครัวขอรับ”

“บุกรุก ห้องครัวน่ะหรือ”

เป็นสถานที่ที่ไม่คาดคิดจริงๆ อาซขมวดคิ้วเมื่อนึกได้ว่าเมื่อวันก่อนก็มีผู้บุกรุกเข้ามาทำลายชุดเดรสของอาเรียกับชุดสูทของเขาเช่นกัน

“…ไม่ใช่แค่ครั้งเดียวสินะ ความเสียหายล่ะ”

“แป้งขนมปังที่นวดไว้เพื่อเตรียมอบถูกทำลายจนเละ ช็อกโกแลตที่นำเข้ามาจากต่างประเทศและลูกกวาดหลายเม็ดก็หายไปด้วยขอรับ มีเพียงชาที่ตรวจสอบแล้วว่ายังอยู่ กระผมว่าควรทำการสอบสวนมากกว่านี้ขอรับ”

แป้งขนมปังที่ถูกทำลายจนเละกับช็อกโกแลตและลูกกวาดที่หายไปดูเป็นความเสียหายที่เล็กน้อยเกินกว่าจะมารายงานตั้งแต่เช้าตรู่เช่นนี้

แต่หากมองในมุมที่คนร้ายผ่านการรักษาความปลอดภัยของพระราชวังเข้ามาได้ทั้งยังไม่ถูกจับแล้วก็นับว่าเป็นเรื่องใหญ่และเคร่งเครียดมากทีเดียว

“ผู้ต้องสงสัยก็ยังไม่มีสินะ”

“ขอรับ… ทุกคนนอนหลับกันหมดจึงไม่มีใครตกเป็นผู้ต้องสงสัย นางกำนัลที่มาเข้างานตั้งแต่เช้ามืดเพื่ออบขนมปังเป็นผู้ไปพบขอรับ”

“มีทางอื่นที่พอจะผ่านมายังห้องครัวได้บ้างหรือไม่”

“กระผมคิดว่าเป็นไปได้ยากมากขอรับ นางกำนัลห้องครัวบอกกระผมว่าได้ลงกลอนประตูถึงสองชั้นเมื่อตอนเลิกงานครับ”

แต่หากยังจับไม่ได้ก็หมายความว่าคนคนนั้นต้องเข้ามาจากด้านนอกแล้วกลับออกไป

เส้นทางเดียวที่เชื่อมระหว่างด้านในนี้กับภายนอกก็มีเพียงปล่องระบายควันเท่านั้น

คนร้ายต้องรู้ว่าบุกเข้ามาได้ลำบากจึงเลือกสร้างเส้นทางแคบๆ ที่ไม่มีคนผ่านไปมาเพื่อใช้เข้ามาด้านในเป็นแน่

เพราะฉะนั้นไม่มีใครสามารถบุกรุกเข้ามาได้ เพียงแต่คนร้ายเข้ามาและออกไปทางไหนเท่านั้นเอง

‘เราคิดตื้นๆ แค่เจ้านั่นเอาน้ำมาราดใส่ชุด แต่กลายเป็นคิดผิดถนัด’

พระราชวังที่คนร้ายบุกผ่านการรักษาการณ์เข้ามาได้ถึงสองครั้งสองคราเป็นปัญหาที่ปล่อยผ่านไปไม่ได้เด็ดขาด

เพราะเขาไม่รู้ว่าเมื่อไรภัยนั้นจะมาถึงตัวอาเรีย

“จัดอัศวินมาประจำที่หน้าห้องนอนเดี๋ยวนี้ เลือกมาเฉพาะคนที่มีความสามารถ ส่วนห้องครัวฉันจะเป็นคนไปดูเอง”

“ขอรับ”

อาซเดินลงไปที่ห้องครัวและตรวจดูสภาพที่เกิดเหตุซึ่งผู้บุกรุกเข้ามาทำลายจนเละเทะอย่างละเอียด

แป้งขนมปังที่ถูกทำลายกลิ้งอยู่บนพื้นตามคำรายงาน อุปกรณ์ทำครัวหลายอย่างก็ร่วงตกลงมากองกับพื้นเช่นกัน

ทว่าเขายังคงไม่รู้ว่าคนร้ายบุกรุกมาจากตรงไหนตามที่คิด และไม่รู้ด้วยว่าออกไปทางไหน

‘เว้นเสียแต่จะมีพลังเดินทางผ่านอากาศแบบเรา เป็นไปไม่ได้’

แม้จะเป็นข้อสันนิษฐานที่ฟังดูไร้สาระแต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

เพราะขนาดคนที่เหมือนอาเรียยังปรากฏตัวออกมาแล้วเลย

‘…ถึงไม่รู้ว่าบุกเข้ามาทำไมแต่ก็อันตรายอยู่เหมือนกัน’

ยิ่งเป็นคนที่รู้จักใช้พลังที่ตนมียิ่งแล้วใหญ่ แววตาของอาซเข้มขึ้นอย่างเคร่งเครียด

ดูเหมือนระหว่างที่ยังจับคนร้ายไม่ได้เขาจะต้องคอยอยู่ข้างอาเรียตลอดเสียแล้ว

ระหว่างที่กำลังคิดเช่นนั้นเขาก็ได้รับรายงานเพิ่มเติมเกี่ยวกับคนร้ายที่บุกรุกเข้ามา

คราวนี้ความเสียหายไม่ได้มากมายอะไร

ก็แค่ห้องแต่งตัวที่ใช้เก็บเสื้อผ้าของอาเรียถูกทำพังเสียหาย และดอกไม้ในห้องเพาะชำถูกเหยียบย่ำเท่านั้นเอง

แม้คนร้ายจะทำลายตรงนั้นทีตรงนี้ทีคล้ายต้องการหยอกเล่นแต่เพราะยังจับไม่ได้อาซจึงเริ่มกลัวขึ้นมาในใจ

เขาควรจะกลับไปหาอาเรียเดี๋ยวนี้

“ตั้งแต่นี้ไปภาระงานทุกอย่างที่ห้องบรรทมฉันจะเป็นคนจัดการเอง เพราะฉะนั้นให้เกณฑ์กำลังคนทั้งหมดกระจายตัวค้นหาดูให้ทั่วพระราชวัง”

อาซสั่งไว้เช่นนั้นก่อนจะรีบออกจากครัวมุ่งหน้าไปห้องทำงานตัวเองทันที เขาจะไปเอาเอกสารด่วนที่ต้องจัดการจากนั้นจึงใช้พลังเคลื่อนย้ายกลับห้องนอน

อาซตั้งใจไว้แบบนั้น ก่อนที่จะรู้สึกได้ว่ามีใครบางคนมาอยู่ในห้องทำงานตนซึ่งมันไม่ควรจะมีใครนอกจากเขา

‘เหมือนจะเป็นใต้โต๊ะ’

เขารับรู้ได้ทันทีที่เข้ามาในห้อง ว่าใครบางคนกำลังซ่อนอยู่ใต้โต๊ะ

นี่เจ้าคนร้ายเลือกเขาอย่างนั้นหรือ ช่างเป็นการตัดสินใจที่โง่สิ้นดี แต่อีกด้านหนึ่งก็ถือว่าโชคดีที่เขาจะจับเจ้านั่นได้ก่อนที่อาเรียจะเป็นอันตราย

ต่อให้ต้องใช้การทรมานทุกวิธีที่มีเข้าก็ต้องรู้จุดประสงค์ของคนร้ายให้ได้

เมื่อคิดได้ดังนั้นอาซจึงใช้พลังขยับไปอยู่ใกล้โต๊ะในชั่วพริบตาก่อนจะยื่นมือไปคว้าแขนคนร้ายแล้วดึงออกมา

“—!”

แต่คนที่ดึงออกมากลับกลายเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งเสียอย่างนั้น แถมยังเป็นเด็กน้อยที่เหมือนอาเรียอย่างกับแกะคนนั้นอีกต่างหาก

เจ้าหนูตกใจจนขวัญผวาเมื่อจู่ๆ ก็ถูกดึงออกมา ภาพนั้นดูเหมือนอาเรียเวลาหวาดกลัวจนอาซต้องรีบปล่อยมือ

“ช้าก่อน! ฉันไม่ได้จะทำร้าย เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งหนี”

เขาหมายความอย่างนั้นจริงๆ อาซเคยคิดว่าจะหักแขนหักขาให้เดินไม่ได้ทันทีที่ดึงออกมา แต่กับเด็กน้อยที่หน้าตาละม้ายคล้ายอาเรียแบบนี้เขาทำไม่ลง

เมื่อได้ยินคำพูดร้อนรนของอาซ เด็กน้อยที่กำลังจะเคลื่อนตัวผ่านอากาศก็ชะงักทันที

เจ้าหนูจ้องมองอาซก่อนจะเบะปากคล้ายจะร้องไห้

“…หลงทางมาหรือ”

แม้จะเป็นไปไม่ได้แต่ด้วยรู้แก่ใจว่าตัวเองแอบเข้ามาในห้องทำงานคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต เด็กน้อยจึงร้องไห้โฮแล้วโผเข้ากอดอาซทันทีที่เขาถาม

หากเป็นนักฆ่าสักคนอาซคงสังหารไปแล้ว แต่นักฆ่าตัวน้อยผู้นี้กลับร้องไห้จ้าแล้วทำให้เขาลำบากใจแทนที่จะฆ่าเขาเสียนี่

“แงงงงงง—!”

แม้จะไม่เคยชินกับเด็กร้องไห้แต่อาซไม่ได้ผลักเด็กน้อยออก เขาตบหลังเจ้าหนูเบาๆ อย่างเก้ๆ กังๆ

เขาไม่รู้ว่าเด็กคนนี้คือใครและเกิดอะไรขึ้น แต่เมื่อเห็นเด็กที่เหมือนอาเรียร้องไห้ใจเขาเองก็พลอยเจ็บไปด้วย

ทว่าเมื่อมีใครบางคนมาเคาะประตูห้องทำงาน น้ำตาของหนูน้อยในอ้อมกอดอาซก็หยุดไหลทันที

“—!”

เด็กน้อยใช้พลังหนีไปทันทีที่รู้ว่ามีคนมา

ยังไม่ทันที่เขาจะได้ตกใจกับเด็กน้อยที่หายไปราวกับภาพลวงตา ใครบางคนที่มาเคาะประตูก็พูดขึ้นเสียก่อน

“เจ้าชายอัสเทอโรพี เรนเองขอรับ กระผมได้ยินเสียงแปลกๆ เป็นอะไรหรือเปล่าขอรับ”

“…เรน”

หมอนี่ไม่เคยโผล่มาตอนต้องการความช่วยเหลือแต่กลับเสนอหน้ามาทุกครั้งที่ไม่ต้องการ

เขาซึ้งใจที่มีขุนนางผู้ซื่อสัตย์จงรักภักดีที่คอยเป็นห่วงตนเช่นนี้ แต่เรนมักจะปรากฏตัวมาผิดกาละและเทศะเสมอ

อาซกุมขมับด้วยความเอือมระอา

“เป็นสิ เพราะฉะนั้นไปให้พ้น”

“…ขอรับ เช่นนั้นขอให้เจ้าชายมีวันที่ดีนะขอรับ”

เรนรีบผละจากไปทันทีเมื่อรู้ได้จากเสียงที่ฟังดูคล้ายจะบีบคอตนเสียเดี๋ยวนี้ของอาซว่าตนได้ทำอะไรผิดไปเสียแล้ว

จะจับเจ้าหนูนั่นอีกครั้งได้อย่างไร ขณะกำลังขบคิดสายตาอาซก็พลันมองไปเห็นบางอย่างเป็นประกายออกมาจากใต้โต๊ะ

เมื่อหยิบออกมาดูจึงเห็นว่ามันคือแก้วเปล่า ชุดเดรสหนึ่งชุด และเศษช็อกโกแลตที่ติดอยู่บนชุด

‘…อย่าบอกนะว่านี่คือของที่หายไปจากที่ที่คนร้ายบุกเข้ามา’

ช็อกโกแลตจากห้องครัว ชุดเดรสจากห้องแต่งตัวของอาเรีย และแก้วเปล่าที่น่าจะเกี่ยวข้องกับชุดงานพิธีราชาภิเษกที่เปียกน้ำนั่น

‘เป็นผู้บุกรุกที่น่ารักน่าชังเสียจริง’

ถึงจะไม่แน่ใจนักแต่ดูแล้วเด็กน้อยไม่น่าคิดจะทำร้ายใคร

แน่นอนว่าหลังจากเห็นเด็กน้อยใช้หลังเคลื่อนย้ายตัวเองไปต่อหน้าต่อตาแล้ว เขาย่อมไม่อาจรับประกันได้แน่ชัดว่าเด็กน้อยจะไม่เป็นพิษเป็นภัย

‘ว่าแต่พลังนั่น เจ้าหนูใช้มันติดกันหลายครั้งตั้งแต่เมื่อวานยันวันนี้ ทำไมยังดูปกติอยู่เลยล่ะ’

หากเป็นเด็กที่เหมือนอาเรียเพียงภายนอกก็ควรจะนอนหลับเป็นตายไปทั้งวันหลังจากใช้พลังนั้นไปแค่ครั้งเดียว

ยิ่งไปกว่านั้นยังหน้าตาเหมือนอาเรียมากเกินไปอีก

ถึงสีตาจะเหมือนตนแต่ทั้งสีผมและหน้าตากลับเหมือนอาเรียราวกับถอดแบบมา

มันเหมือนเสียจนหากไม่ใช่ลูกของอาเรียเองก็คงไม่มีคำอธิบายอื่นใดอีกแล้ว

“…!”

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้อาซก็ได้ข้อสรุปอันแปลกประหลาดมาข้อหนึ่ง

‘หรือจะเป็นลูกของเธอจริงๆ…’

แน่นอน เขาไม่เคยคิดว่าอาเรียจะนอกใจตัวเอง อาซตั้งข้อสงสัยว่าเด็กที่หายไปดังสายลมพัดคนนั้นอาจเป็นลูกของเขากับอาเรียเอง

เพราะหากสันนิษฐานเช่นนั้นตัวต่อทุกตัวจะลงล็อกกันพอดี

ทั้งเรื่องที่หนูน้อยยังสบายดีแม้จะใช้พลังต่อเนื่องกันหลายครั้ง และเรื่องที่มีพลังที่เป็นเอกลักษณ์ของเขากับอาเรีย

แม้จะไม่เข้าใจว่าเหตุใดหนูน้อยต้องเอาน้ำไปราดใส่ชุดและขโมยเดรสมาแต่นั่นไม่ใช่ปัญหาที่เขาจำเป็นต้องไปยึดติดหาคำตอบ

แต่หากจะมีปัญหาอีกข้อนั่นคงจะเป็นอายุของเด็กน้อยมากกว่า แต่นั่นก็เช่นกัน

‘ถ้าสันนิษฐานว่าหนูนั่นมีความสามารถทั้งสองอย่างก็น่าจะอธิบายได้’

เพราะทั้งความสามารถเดินทางไปไหนมาไหนผ่านอากาศและไปกลับระหว่างอดีตกับอนาคต ทั้งสองอย่างนั้นต่างก็เป็นความสามารถของเขาและอาเรีย

ความสามารถเหล่านี้หาได้ยากมากจึงไม่มีการจดบันทึกที่แน่นอน ฉะนั้นเรื่องนี้อาจเป็นไปได้

เมื่อได้ข้อสันนิษฐานที่สมเหตุสมผลที่สุดแล้วเขาก็คิดหาข้อสันนิษฐานอื่นไม่ได้อีก

นอกจากนั้นตอนนี้ยังมีบางอย่างที่เขาคาใจมากกว่าตัวตนที่แท้จริงของเด็กน้อยด้วย

‘เด็กน้อยรู้จักใช้พลังได้อย่างไรกัน แล้วมาที่นี่ทำไม’

เพราะหากพวกเขาทั้งสองมีชีวิตที่มีความสุขหลังจากนี้ก็คงไม่มีเรื่องให้ต้องปลุกพลังเหล่านี้ขึ้นและย้อนกลับมายังอดีตอีก แล้วก็คงไม่ร้องไห้โฮออกมาทันทีที่เห็นหน้าเขาด้วย

‘…ไม่ใช่ว่ามีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นในช่วงที่เด็กคนนั้นมีชีวิตอยู่หรอกนะ’

ดูจากที่ลูกขโมยเพียงแค่ชุดของอาเรียแล้วอาจเป็นไปได้ว่ามีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นกับเธอในอนาคต

หัวใจของอาซเริ่มเต้นไม่เป็นส่ำด้วยความร้อนใจ รู้สึกคล้ายเลือดทั้งตัวกำลังเหือดแห้ง

ต่อให้ต้องพลิกพระราชวังทั้งหลังเขาก็ต้องหาเด็กคนนั้นให้เจอ ต้องทำแบบนั้น ต้องทำเข้าถึงจะได้คำตอบว่าอาเรียในอนาคตนั้นเป็นอย่างไร

……………..