ส่วนที่ 2 ภาคถนนสายนี้ไม่มีผู้มาก่อน ตอนที่ 49 กระบี่ชรากับเด็กหนุ่ม (ตอนกลาง)

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

กระบี่ พุ่งขึ้นจากจุดต่างๆ ของทุ่งหญ้ามายังหน้าสุสานอย่างต่อเนื่องท่ามกลางสายฝน

กระบี่สิบกว่าเล่มลอยมาหยุดอยู่รอบตัวเฉินฉางเซิง

เกิดเป็นไอพลังปราณหลายสาย น่าตื่นตะลึงเป็นที่สุด ไม่ว่าจะเป็นวิชามารอหังการของเถิงเสี่ยวหมิง หรือเลือดแท้ที่กำลังเผาไหม้ของหนานเค่อ ขอเพียงเฉินฉางเซิงยื่นมือออกไปในสายฝนแล้วหยิบกระบี่ขึ้นเล่มหนึ่ง ก็สามารถฟาดฟันสิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้แหลกลาญได้

หนิงชุ่ยกับฮว่าชิวมองดูภาพที่อยู่ตรงหน้าด้วยใบหน้าซีดขาว รู้สึกเข่าอ่อน จนแทบยืนไม่อยู่

กระบี่เหล่านี้บ้างก็ยาว บ้างก็สั้น บ้างก็กว้าง บ้างก็เรียว บ้างก็หยิ่งทระนง บ้างก็ต่ำต้อย บ้างก็เปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์ บ้างก็แผ่ไอมาร แต่ทุกเล่มมีความพิเศษอยู่อย่าง…ล้วนแล้วแต่เป็นกระบี่เลื่องชื่อ

กระบี่มหาสมุทรขุนเขา กระบี่เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ กระบี่สตรีแดนเย่ว์ กระบี่หยาดใบไม้ร่วง กระทะเลสาบมรกต กระบี่ทีฆเทพ กระบี่ธงชัยอาจารย์มาร กระบี่มังกรครวญ…เวลาผ่านไปหลายร้อยปี กระบี่เลื่องชื่อไร้เทียมทานมากมายที่หายสาบสูญ ในที่สุดก็ปรากฏแก่สายตาชาวโลกอีกครั้ง

ตอนนี้ กระบี่เหล่านี้กำลังลอยนิ่งอยู่ในสายฝน

เฉินฉางเซิงยืนอยู่ท่ามกลางกระบี่เหล่านั้น

เวลายังคงเป็นศาสตราวิเศษที่แข็งแกร่งสุด กระบี่ที่มีชื่อในอดีตล้วนผุพังลง กระบี่ที่คงสภาพเดิมไว้ได้มากสุดคือกระบี่จำศีลของสถานศึกษาหนานซี รองลงมาคือกระบี่มหาสมุทรขุนเขา ส่วนกระบี่ที่เหลือล้วนมีรอยบิ่นไม่มากก็น้อย บางเล่มมีดินโคลนจากทุ่งหญ้าติดมาด้วย พอถูกน้ำฝนชะล้าง ก็เห็นคราบสนิมเกรอะกรัง รูปลักษณ์ไม่เหมือนเดิมอยู่ก่อนแล้ว เป็นที่เศร้าสลดใจของผู้พบเห็นอย่างยิ่ง

ทว่าในพายุฝน กระบี่เหล่านี้ยังคงเปล่งไอทระนงและเด็ดเดี่ยวออกมา

หนานเค่อไม่เข้าใจ นางไม่สามารถยอมรับได้ว่า เหตุใดกระบี่เลื่องชื่อไร้เทียมทานในอดีตเหล่านี้ จึงเชื่อฟังคำสั่งของเฉินฉางเซิง และไม่ว่าจะคิดอย่างไร นางก็ไม่พบคำตอบ

เฉินฉางเซิงเองก็ไม่รู้ เขารู้เพียงว่ากระบี่เลื่องชื่อไร้เทียมทานในอดีตเหล่านี้อยากออกไปจากสวนโจว แต่หลายร้อยปีที่ผ่านมา มีผู้บำเพ็ญเพียรมนุษย์และเผ่ามารมากมายเข้าออกทุ่งหญ้าสุริยาไม่หลับใหลผืนนี้อยู่เสมอ เหตุใดกระบี่เหล่านี้จึงต้องเลือกเขาเล่า?

เหตุผลสำคัญคือ เจตจำนงกระบี่เล่มนั้น ตอนนี้อยู่ในร่มกระดาษทอง

เจตจำนงกระบี่เล่มนั้นแยกจากตัวกระบี่ไปเมื่อหลายร้อยปีก่อน จากนั้นเป็นต้นมามันก็กลายเป็นวิญญาณอิสระเพียงหนึ่งเดียวในสระกระบี่ จึงเป็นตัวแทนของกระบี่เลื่องชื่อทั้งหมดที่ไม่สามารถออกไปจากสระกระบี่ ทำการปลดปล่อยพลังของตนไปรอบๆ ที่ราบทุ่งหญ้าไม่หยุด

เฉินฉางเซิงที่ถือร่มกระดาษทองในมือ จึงรู้สึกถึงเจตจำนงกระบี่ได้อย่างชัดเจน

พอเขาให้เจตจำนงกระบี่เล่มนั้นเข้ามาในร่มกระดาษทอง ก็หมายความว่าเจ้าของเก่าผู้หนึ่งที่เคยออกจากสระกระบี่หวนคืนกลับมา และเขาได้พิสูจน์ฐานะของตนกับกระบี่ที่หยิ่งทระนงเหล่านี้ แต่ยังไม่พอ กระบี่เลื่องชื่อคลุกฝุ่นมานาน ความทะเยอทะยานถูกลบล้างไปเรื่อยๆ ถ้าไม่มีความมั่นใจมากพอว่าจะออกไปได้ พวกมันก็ยอมที่จะหลับลึกอยู่ในสระกระบี่ต่อไป อย่างน้อยก็ดำรงอยู่ได้อีกหลายปี แต่หากในจังหวะหนึ่งของการต่อสู้ จำเป็นต้องใช้วิญญาณเจตจำนงกระบี่ส่วนสุดท้าย แล้วไม่ประสบความสำเร็จ ก็มีโอกาสที่กระบี่จะหักพังเสียหาย

เฉินฉางเซิงจึงต้องพิสูจน์ให้กระบี่เหล่านี้เห็นว่าตนยืนหยัดได้ และมีความสามารถมากพอที่จะนำพาพวกมันออกไปจากสวนโจว

อย่างแรกไม่มีปัญหา เขายังหนุ่มแน่น ดวงตาอันใสกระจ่างก็เต็มไปด้วยแรงยืนหยัดและกระหายที่จะมีชีวิตอิสรเสรี ทว่าอย่างหลังนี่สิ เดิมทีเป็นปัญหาใหญ่ แต่พอจิตวิญญาณมังกรดำเข้ามาอยู่ในร่างเขาแล้วเริ่มหลับลึก ก็ไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป

วิญญาณมังกรดำสถิตอยู่ในหยกสมประสงค์ ซึ่งตอนนี้อยู่บนข้อมือของเขา และดูเหมือนยิ่งถูกน้ำฝนชะล้าง มันก็ยิ่งกระจ่างใส หยกสมประสงค์ชิ้นนี้เป็นศาสตราวิเศษประจำกายของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ จึงมีพลังปราณอันแข็งแกร่งของนางสถิตอยู่ด้วย

การยืนหยัดของเฉินฉางเซิงเป็นเรื่องที่เขาคุ้นเคย บวกกับพลังอันแข็งแกร่ง ส่งผ่านเจตจำนงกระบี่และร่มกระดาษทอง ออกไปสู่ที่ราบทุ่งหญ้า กระบี่ไร้เทียมทานเลื่องชื่อเหล่านั้นแม้พิการ แต่เจตจำนงกระบี่ยังคงอยู่ ในตอนที่อยู่กับเจ้าของ พวกมันก็เห็นผู้แข็งแกร่งมาไม่รู้กี่นักต่อกี่นัก เปี่ยมประสบการณ์มากมาย พอสัมผัสถึงพลังอันแข็งแกร่งที่หยกสมประสงค์เปล่งออกมา ก็ตื่นตกใจยิ่ง ต่อให้โจวตู๋ฟูยังมีชีวิตอยู่ เจ้าของพลังอันแข็งแกร่งนี้ก็สามารถพาพวกมันออกจากสวนโจวได้อย่างแน่นอน นับประสาอะไรกับตอนนี้?

และแล้ว พวกมันจึงยอมฝ่าพายุฝนมาลอยอยู่ข้างกายเฉินฉางเซิง

เพียงแต่ ในยามปกติกระบี่เหล่านี้อยู่ที่ใด? สระกระบี่อยู่ที่ไหนกัน?

……

……

น้ำฝนกำลังชะล้างกระบี่เลื่องชื่อเก่าแก่ และกำลังชะล้างใบหน้าน้อยๆ ของหนานเค่อ

ใบหน้านางยิ่งมาก็ยิ่งขาวโพลน จนคล้ายกับกระบี่จำศีลอย่างไรอย่างนั้น เปลวไฟในดวงตาของนางค่อยๆ มอดลง แต่ยังคงมองไม่เห็นความหวาดกลัวใดๆ ความโกรธและความตื่นตระหนกเกิดขึ้นเพราะนางเคารพประวัติศาสตร์ที่กระบี่มีเหล่านี้เป็นตัวแทน พอนำการเหยียดหยามเฉินฉางเซิงมาเปรียบเทียบกัน ก็ทำให้นางรู้สึกเสียอาการจนเกิดปฏิกิริยาตอบกลับทางอารมณ์อย่างรุนแรง ไม่มีความหมายอื่นใด

ขณะมองดูกระบี่นับสิบเล่มลอยอยู่กลางอากาศรอบๆ ตัวเฉินฉางเซิงในสายฝน นางก็เงียบอยู่พักหนึ่ง แล้วจึงว่า “เพราะตอนนั้นพวกเจ้าพ่ายแพ้ให้กับดาบสองท่อน วันนี้จึงคิดกบฏอย่างนั้นหรือ?”

กระบี่เหล่านี้ไม่เข้าใจที่นางพูด จึงเงียบงันต่อ น้ำฝนอันหนาวเย็นไหลลงจากกระบี่ธงชัยของผู้คุมกฎมาร ผ่านรอยหักอันน่าอเนจอนาถ ก่อนหยดลงบนผิวหน้าอันราบเรียบของกระบี่มหาสมุทรขุนเขา โดยไม่ได้ตอบคำถามนาง

หนานเค่อชูไม้จิตวิญญาณในมือขึ้น พอไม้จิตวิญญาณสีดำถูกน้ำฝนชโลมจนเปียก สีก็เข้มกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด

คลื่นอสูรรอบๆ สุสานที่ระส่ำระสายมาตลอดเกิดคลุ้มคลั่งขึ้นตามท่าทางการเคลื่อนไหวของหนานเค่อ เสียงคำรามอันโศกาอาดูรของสัตว์อสูรมากมายดังก้องออกนอกที่ราบทุ่งหญ้าไปยังที่ที่ฝนตก!

นางไม่อยากทำเช่นนี้ แต่เฉินฉางเซิงกับกระบี่เหล่านี้บังคับให้นางต้องทำ จนถึงตอนนี้นางควบคุมอะไรไม่ได้มากอีก เกรงว่าสุสานโจวอาจถูกสัตว์อสูรระดับต่ำหลายหมื่นตัวเหยียบย่ำจนเละเทะ

ไม้จิตวิญญาณพลันเปล่งแสงสว่างจ้า

คลื่นอสูรดุจทะเลสีดำก่อตัวเป็นคลื่นยักษ์มากมายตามเสียงแผดร้องอันน่าสะพรึงกลัวที่ดังไปทั่ว ทุ่งหญ้าเริ่มสะเทือน กระทั่งสุสานก็เริ่มสั่นไหว สัตว์อสูรนับไม่ถ้วนเริ่มบุกเข้ามา!

หนานเค่อมองเขาพลางตะโกน “เฉินฉางเซิง เจ้าคิดว่าอาศัยกระบี่เก่าแก่คร่ำครึที่แตกหักไม่กี่เล่ม จะสามารถรอดชีวิตได้รึ!”

เฉินฉางเซิงหันมองรอบๆ สุสานที่เต็มไปด้วยทะเลสัตว์อสูรสุดลูกหูลูกตา ก็เงียบกริบ ไม่พูดไม่จา

ไม่ไกลจากด้านหลังเฉินฉางเซิง สวีโหย่วหรงพิงอยู่กับประตูสุสาน โอบธนูอู๋ ห่มผ้ากระสอบ ปิดตาหลับใหล ไม่รู้ว่าจะฟื้นตื่นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อใด