ตอนที่ 466 - ซากของเซียนผู้คุมกฎ

เทพกระบี่มรณะ (Chaotic sword god)

ตอนที่ 466 – ซากของเซียนผู้คุมกฎ

“มันเป็นความจริง ข้ายังไม่แน่ใจว่าบุคคลที่พวกเขาต้องการให้เราฆ่าคือใคร” ผู้อาวุโสเฟิงที่เพิ่งมาใหม่พูด

” ใครจะไปสนใจเกี่ยวกับตัวตนของเขา เมื่อเรานำของออกจากถ้ำ เราจะมุ่งหน้าไปยังอาณาจักรเกอซุน ข้าแน่ใจว่าเราจะสามารถค้นหาเซียนสวรรค์ได้อย่างรวดเร็ว”

หลังจากพูดเช่นนั้นแล้ว เซียนสวรรค์ทั้งห้าก็เริ่มลงมาสู่หุบเขา ในไม่ช้าพวกเขาก็ลอยอยู่เหนือลำน้ำเย็น 50 เมตรและเริ่มตรวจสอบสถานที่

“ดูที่นั่น มันมีถ้ำอยู่” ผู้อาวุโสชี้ไปในทิศทางนั้นด้วยความประหลาดใจ เมื่อหันไปดูทิศทางที่ชี้ พวกเขาพบว่ามีถ้ำสูงประมาณ 3 เมตรที่มีทางเข้าที่มืดสนิท

“มันจะอยู่ตรงนั้นจริงหรือ ? ไปดูกันดีกว่า”

ชายทั้งห้าก็เริ่มบินพร้อมกันไปที่ปากทางเข้าในพริบตา สภาพแวดล้อมของพวกเขาได้เปล่งพลังงานอันดุเดือดที่ลากพวกเขาผ่านอากาศ

“เจ้ารู้สึกหรือไม่ พื้นที่ที่นี่มีร่องรอยจาง ๆ ของธาตุไฟ” ผู้อาวุโสอันกล่าวหน้านิ่วคิ้วขมวด

เมื่อเห็นคนอื่นเห็นด้วยกับเขา ทั่วร่างผู้อาวุโสก็แผ่รังสีธาตุไฟเช่นกัน “ถูกต้อง ธาตุไฟลอยอยู่รอบ ๆ บริเวณนี้ ในขณะที่มันค่อนข้างเจือจางหายไป ข้าก็ยังสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจน ข้าสงสัยว่ามีคนมาที่นี่เมื่อไม่นานมานี้”

“รอยขีดข่วนรอบทางเข้าถ้ำนั้นยังใหม่ ๆ เช่นกัน มีคนตัดหน้าเรามาที่นี่ก่อนแล้ว”

“มีคนไม่มากนักที่รู้เรื่องถ้ำนี้ ถ้าเราเชื่อสิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญของอาณาจักรฉินกานพูดแล้วมันมีข่ายอาคมพรางตาที่ทรงพลังซ่อนอยู่ในถ้ำ หากเราไม่ทราบตำแหน่งที่แน่นอน เราจะไม่สามารถค้นพบความลับของพื้นที่นี้ น่าเสียดายที่เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาถ้ำของเซียนผู้คุมกฏถูกเปิดเผยต่อบุคคลจากอาณาจักรเกอซุน ดูเหมือนว่าคนที่จู่โจมเราที่นี่ต้องก็เป็นบุคคลเดียวกันอย่างไม่ต้องสงสัย”

“เมื่อเจ้าพูดเช่นนั้น ข้าเห็นด้วยกับเจ้า ตอนนี้บุคคลนั้นอยู่ที่นี่ เราไม่จำเป็นต้องเสียพลังงานใด ๆ ในการเดินทางไปยังอาณาจักรเกอซุน เราสามารถฆ่าเขาได้ที่นี่และทำตามเงื่อนไขที่ผู้เชี่ยวชาญของอาณาจักรฉินกานกำหนดไว้ให้เรา”

“เยี่ยม ! “

แทนที่จะเข้าไปในถ้ำ ทั้งห้ายังคงลอยอยู่ที่นั่นและเริ่มคุยกัน

“เนื่องจากชายคนนั้นอยู่ข้างใน เราจึงต้องรออยู่ข้างนอก ด้วยวิธีนี้เราจะไม่สูญเสียพลังงานที่เกี่ยวข้องกับข่ายอาคมพรางตาภายใน หากเขาแพ้ ข่ายอาคมก็จะส่งเขาออกไปข้างนอก หากเขาจัดการกับค่ายกลได้ เขาก็จะยังคงกลับมาที่นี่อีกครั้งในที่สุดทำให้เรามีโอกาสฆ่าเขา เราสามารถนำซากของเซียนผู้คุมกฏมาจากเขา มันจะช่วยเราประหยัดแรงไปได้มาก”

……

ภายในส่วนลึกของเทือกเขาที่ซึ่งก็คือถ้ำของเซียนผู้คุมกฏ มันค่อนข้างมืดสลัวและอากาศก็ชื้นมีไข่มุกราตรีจำนวนมากที่ทำหน้าที่เป็นแหล่งกำเนิดแสงจาง ๆ ในพื้นที่มืด

ไม่มีต้นไม้หรือหญ้าในถ้ำและนอกเหนือจากข่ายอาคมพรางตาและบ้านไม้ ไม่มีอะไรอย่างอื่นอีกเลย จากนี้อาจสรุปได้ว่าเจ้าของถ้ำไม่ได้ใส่ใจสิ่งแวดล้อมและกลับกันเขาสนใจแต่การบ่มเพาะของเขาเท่านั้น

เจี้ยนเฉินเดินไปที่บ้านไม้และเริ่มมองดูมัน บ้านทั้งหลังเป็นสีเข้มและรู้สึกแข็งแกร่งเหมือนเหล็ก ยิ่งกว่านั้นเขาสามารถรู้สึกได้ว่ามีพลังงานจำนวนมากไหลเวียนอยู่ภายในบ้าน พลังงานนี้ชัดเจนว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในนั้นเป็นเวลาเกือบชั่วนิรันดร์ อย่างน้อยที่สุดบ้านหลังนี้ก็คงอยู่เป็นเวลานับพันปีผ่านการกัดกร่อนของเวลา แต่ก็ยังคงอยู่ในสภาพที่ดี

เจี้ยนเฉินมองดูบ้านไม้ด้วยสายตาที่สับสนก่อนค่อย ๆ จริงจังขึ้น อย่าลืมว่าที่นี่คือที่ที่ผู้เชี่ยวชาญอย่างเซียนผู้คุมกฎอาศัยอยู่ แม้ว่าเจี้ยนเฉินเป็นเซียนสวรรค์ที่แข็งแกร่ง แต่เซียนผู้คุมกฎก็ยังคงกดดันได้อย่างไม่น่าเชื่อต่อตัวเขา

เซียนสวรรค์เข้าใจพลังงานของโลกนั่นคือเหตุผลว่าทำไมพวกเขาจึงแตกต่างจากเซียนปฐพี เซียนผู้คุมกฎเข้าใจความลี้ลับของโลกและสามารถยืมความช่วยเหลือจากพลังงานของโลกเพื่อสร้างภาพลวงตาที่ยากที่จะแยกแยะ จุดแข็งของพวกเขาเป็นเช่นนั้น พวกเขายิ่งใหญ่กว่าเซียนสวรรค์หลายเท่า

ความแตกต่างระหว่างเซียนสวรรค์และเซียนผู้คุมกฏมากกว่าเซียนปฐพีและเซียนสวรรค์ ทั้งสองกลุ่มแยกกันและไม่สามารถพูดคุยร่วมกันได้

เจี้ยนเฉินยืนอยู่ข้างนอกบ้านที่มืดแล้วถอนหายใจ สงบจิตใจของเขาจากอารมณ์ใด ๆ เขา ยื่นมือทั้งสองของเขาไปที่ประตูเย็นดุจน้ำแข็งและผลักมันเปิดช้า ๆ ด้วยความแข็งแกร่งทั้งหมดของเขา

ด้วยเสียงลั่นดังเอี๊ยด ประตูเริ่มเปิดออก ภาพภายในนั้นปรากฏต่อหน้าของเจี้ยนเฉิน

สิ่งแรกสุดที่เจี้ยนเฉินมองเห็นได้คือเตียงที่ทำจากเหล็กพร้อมกับโต๊ะไม้และเก้าอี้ จากสิ่งนี้จะเห็นได้ว่านอกเหนือจากเจ้าของบ้านแล้วไม่มีแขกคนอื่น

ข้างในบ้านไม้มีพลังงานจำนวนมากที่ไม่เคยจางหาย อย่างไรก็ตาม หากไม่เข้ามาในบ้านจะไม่พบการมีอยู่ของพลังงานอันมหาศาลนี้ อาจเป็นเพราะพลังงานนี้มีอยู่ ภายในบ้านจึงสะอาดมากราวกับว่ามีคนกวาดมันทุกวัน

เจี้ยนเฉินเดินเข้าไปในบ้านไม้และตรวจสอบไปรอบ ๆ มันดูค่อนข้างธรรมดา ความเรียบง่ายของมันเหมือนบ้านคนปกติ นอกเหนือจากโต๊ะเก้าอี้และเตียงแล้วไม่มีอะไรที่นั่นอีกแล้ว

บ้านหลังนี้ไม่ได้มีห้องเดียว สถานที่ที่เจี้ยนเฉินยืนงงอยู่ในขณะนี้เป็นเพียงห้องนั่งเล่น ที่มุมมุมหนึ่งมีประตูเดี่ยวที่เชื่อมต่อลึกเข้าไปในบ้าน

เจี้ยนเฉินเดินเข้าไปในบ้านอย่างระมัดระวัง ช่วงเวลาที่เขาผลักประตูเปิดออก พลังงานที่กระจายออกไปด้านนอก มีแรงกดดันที่ทำให้ร่างกายของเจี้ยนเฉินหนักขึ้นราวกับว่าเขากำลังแบกหินก้อนใหญ่ที่หนักไว้บนหลัง

ภายใต้แรงกดดันมหาศาลของน้ำหนักนี้ เจี้ยนเฉินรู้สึกราวกับว่าเขาเป็นเรือใบเล็ก ๆ ในมหาสมุทรที่ไม่มีความสำคัญและไม่สามารถป้องกันตัวเองได้

เจี้ยนเฉินมองไปข้างหน้าเพียงเพื่อจะได้เห็นโครงกระดูกผลึกที่นั่งอยู่ในท่านั่งขัดสมาธิบนเตียง พลังงานจากเซียนผู้คุมกฏนี้แข็งแกร่งมากกว่าหลายเท่าจากพลังงานที่เขารู้สึกได้จากเมื่อครั้งงานชุมนุมทหารรับจ้าง ผลพวงจากพลังงานชั้นแรกที่ปล่อยออกมาทำให้เจี้ยนเฉินรู้สึกกดดันเป็นอย่างมาก

“ไม่มีใครคิดว่านี่เป็นสาเหตุจากโครงกระดูก ดูเหมือนว่าเขายังไม่ถึงขั้นที่ 9 เมื่อเขายังมีชีวิตอยู่” เจี้ยนเฉินบ่นพึมพำ ในใจเขารู้สึกตื่นเต้น แม้ว่ามันจะเป็นเพียงโครงกระดูก พลังงานภายในมันก็ไม่อ่อนแอกว่ายุทธภัณฑ์ผู้คุมกฏ สำหรับเขาแล้วนี่เป็นผลกำไรที่สำคัญเนื่องจากโครงกระดูกจะสามารถผสานรวมกับพลังบรรพกาล ผ่านจิตวิญญาณกระบี่ ด้วยวิธีนี้เขาจะสามารถใช้พลังบรรพกาลได้ในสักวันหนึ่ง

เดินไปที่โครงกระดูกซึ่งยังคงแผ่ความกดดันต่อเจี้ยนเฉินอย่างระมัดระวัง เขาค่อย ๆ วางโครงกระดูกลงในแหวนมิติของเขา หลังจากโครงกระดูกของเซียนผู้คุมกฎหายไป ความกดดันที่เหลืออยู่ซึ่งกดลงบนร่างเขาก็หายไปทันทีโดยไร้ร่องรอย

หลังจากประสบความสำเร็จในการได้รับโครงกระดูกของเซียนผู้คุมกฎแล้ว จิตใจของเจี้ยนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นโครงกระดูกหรือยุทธภัณฑ์ผู้คุมกฎ มันก็ยังเป็นสมบัติล้ำค่าและไม่ค่อยได้เห็นในทวีปเทียนหยวน ถ้ามีใครสักคนที่จะคว้ามันไว้ได้ทั้งคู่ พวกเขาก็จะสามารถปีนป่ายขึ้นไปสู่สวรรค์ได้ ตระกูลธรรมดา ๆ จะลุกขึ้นมาเป็นตระกูลใหญ่ในชั่วข้ามคืน สำหรับยุทธภัณฑ์ผู้คุมกฎ พวกเขาดูแลและเก็บรักษาไว้เป็นสมบัติผ่านสมาชิกตระกูล

ดังนั้นจึงอาจอนุมานได้ว่ายุทธภัณฑ์ผู้คุมกฎนั้นอ่อนแอกว่าโครงกระดูกของเซียนผู้คุมกฏ มันมีค่าสูงดั่งเช่นสมบัติ อย่าลืมว่าบางสิ่งเช่นนี้จะถูกทิ้งไว้ข้างหลังโดยเซียนผู้คุมกฏที่เสียชีวิต

หลังจากนั้นเจี้ยนเฉินค้นพบแหวนมิติสีเงินด้านข้างโครงกระดูก แหวนมิติไม่ได้มีของหลายสิ่ง – ส่วนใหญ่เป็นของสะสม แต่หลังจากค้นพบมัน เจี้ยนเฉินก็พบม้วนกระดาษโบราณม้วนหนึ่ง

ม้วนกระดาษยาว 2 เมตรและมีสีเหลืองตามอายุ อย่างไรก็ตามมันยังอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์โดยไม่มีความเสียหายใด ๆ สิ่งที่เขียนบนม้วนกระดาษมีตัวอักษรขนาดเท่าลูกอ๊อดพร้อมกับรูปวาดมากมาย

เจี้ยนเฉินเริ่มศึกษาเนื้อหาภายในม้วนกระดาษด้วยใบหน้าที่แสดงให้เห็นถึงความตื่นเต้นของเขาอย่างสมบูรณ์ นี่คือทักษะการต่อสู้ระดับสวรรค์ – ทักษะการต่อสู้ระดับสวรรค์ขั้นกลาง

ผ่าสวรรค์ มันใช้วิธีแปลก ๆ ในการหมุนเวียนพลังเซียนจากภายในโดยการบีบอัดมัน มันสามารถนำออกมาใช้เป็นพลังงานระเบิดเพื่อโจมตีศัตรู ในระยะไกลและสามารถควบคุมได้ด้วยตนเอง

ผ่าสวรรค์แตกต่างอย่างมากจากทักษะการต่อสู้ระดับสวรรค์ใด ๆ ที่เจี้้ยนเฉินคุ้นเคย ทักษะการต่อสู้ระดับสวรรค์ทั้งหมดเจี้ยนเฉินที่รู้จักใช้อาวุธเซียนเป็นสื่อกลางและใช้พลังงานอันทรงพลังในการโจมตีศัตรูของพวกมัน อย่างไรก็ตาม ด้วยผ่าสวรรค์ เราสามารถใช้มือทั้งสองในการส่งพลังเซียนออกไปเพื่อทำการโจมตีในระยะไกลต่อศัตรูตามที่ผู้ใช้ต้องการ

ประการที่สอง ม้วนหนังสือโบราณกล่าวว่าหากเซียนสวรรค์วัฏจักรแรกใช้ผ่าสวรรค์ พวกเขาจะสามารถทำลายภูเขาที่สูงหลายร้อยเมตรได้อย่างง่ายดาย จากจุดนี้มันสามารถตัดสินได้ว่าทักษะการต่อสู้นี้นั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก

เจี้ยนเฉินระงับอารมณ์ที่เร่าร้อนภายในตัวเขา ขณะที่เขาเก็บผ่าสวรรค์เข้าไปในแหวนมิติของเขา ในใจของเขา เขาตัดสินใจว่าสิ่งแรกที่เขาจะทำเมื่อเขากลับบ้านคือการมอบผ่าสวรรค์ให้กับเจียงหวู่จี่เพื่อเรียนรู้ นั่นเป็นเพราะเจียงหวู่จี่เป็นเซียนสวรรค์คนเดียวของตระกูลเจียงหยางโดยที่เขารู้ว่ามันไม่มีอะไรเหมาะสมไปกว่า นอกจากนี้ เจียงหวู่จี่ยังคงห่วงใยเขาอยู่เสมอและรับใช้อย่างเงียบ ๆ และปกป้องตระกูลเจียงหยางมานานหลายปี

สำหรับคนอื่น ๆ ที่เขาคุ้นเคย เจี้ยนเฉินจะต้องคิดเกี่ยวกับพวกเขาอีกครั้ง ความแข็งแกร่งของเจียงหยางป้า ยังคงอยู่ที่ระดับเซียนผู้เชี่ยวชาญพิเศษเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถเรียนรู้ทักษะการต่อสู้ระดับสวรรค์ อย่างน้อยก็ต้องเป็นเซียนปฐพีเพื่อเรียนรู้ทักษะการต่อสู้ระดับสวรรค์

นอกเหนือจากผ่าสวรรค์แล้ว เจี้ยนเฉินยังค้นพบวิธีการบ่มเพาะระดับสวรรค์ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นระดับสวรรค์ แต่วิธีการบ่มเพาะนั้นอยู่ในระดับปานกลางเมื่อเทียบกับทักษะการต่อสู้ ทั้งตระกูลเจียงหยางและสำนักคากัตต่างก็มี แม้จะเป็นเช่นนั้นเจี้ยนเฉินก็ไม่ได้เพิกเฉย เพราะตระกูลที่ทรงพลังนั้นไม่มีวิธีการบ่มเพาะเพียงวิธีเดียว