บทที่ 1800+1801

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 1800 วิวาห์ 7

ในใจกู่ฉานโม่ก็ขื่นขม คำถามเหล่านี้เป็นสิ่งที่กู้ซีจิ่วเตรียมให้ก่อนพิธีการแล้ว กำชับให้เขาถามในเวลานี้ เนื่องจากคำมั่นสัญญาขณะคำนับฟ้าดินเท่ากับคำสาบานต่อฟ้าดิน ไม่อนุญาตให้ฝ่าฝืน!

กู่ฉานโม่แม้จะรู้สึกว่าถ้อยคำเหล่านี้ไม่ค่อยเป็นมงคล ทว่าอย่างไรเสียท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ก็อายุยืนยาวไม่แก่เฒ่า พูดออกไปเช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะทำไม่ได้ จึงได้พูดตามสิ่งที่กู้ซีจิ่วเตรียมไว้ทั้งหมด

สีหน้าตี้ฝูอีเปลี่ยนไปเล็กน้อย ส่งกระแสเสียงมองไปทางกู้ซีจิ่ว ‘ซีจิ่ว!’

เมื่อใดที่นางตอบรับ นั่นหมายถึงคำสาบานได้ก่อเกิดขึ้นแล้ว!

หลังจากที่เขาดับขันธ์ไป นางจะต้องอยู่โดดเดี่ยวลำพังบนโลกนี้เป็นเวลากว่าหมื่นปี จวบจนวันที่ต้องดับขันธ์!

ไม่ได้! นางทำอะไรโง่ๆ ไม่ได้!

ตี้ฝูอีกลัวว่ากู้ซีจิ่วจะเอ่ย ‘ข้ายินดี’คำนั้นออกมา จึงขยับนิ้วมือใต้แขนเสื้อไปสกัดจุดเปล่งเสียงของนาง!

เขาไม่รู้ว่ากู้ซีจิ่วในเวลานี้กำลังต่อสู้กับเสียงหนึ่งที่ก้องอยู่ในหัว

เสียงนั้นมักจะพึมพำข้างหูของนางตอนที่นางถูกกักขังอยู่ในหมอกเมฆา น้ำเสียงจะหญิงก็ไม่ใช่ชายก็ไม่เชิง

กู้ซีจิ่วนึกว่าเธอจะไม่ได้ยินเสียงนั้นอีกต่อไปแล้ว คิดไม่ถึงว่าตอนที่กู่ฉานโม่เพิ่งจะเอ่ยคำถามนี้ออกมา เสียงนั้นพลันดังก้องข้างหูของเธอ ‘ไม่ได้! เจ้ายอมรับไม่ได้! วาสนาในชีวิตของเจ้าไม่ใช่เขา!’

กู้ซีจิ่วเย้ยยิ้มแล้วโต้ตอบ ‘ไม่ใช่เขาแล้วเป็นใคร? หลงโม่เหยียน?’

‘หลงโม่เหยียนฝ่าฝืนกฎสวรรค์ ถูกทอดทิ้งจองจำก็สมควร วาสนาของเจ้ากับเขาขาดกันแล้ว แต่วิถีสวรรค์ได้จัดหาคู่ครองไว้ให้เจ้าเรียบร้อย อีกสองร้อยปีให้หลังเจ้าจะได้พบกับเขา รักใคร่ซึ่งกันและกัน…หากตอนนี้เจ้ารับปากหวงถู จะเป็นการขัดขืนต่อกฎสวรรค์ ตัดอนาคตตัวเอง!’ เสียงนั้นเอ่ยขึ้นอย่างร้อนใจ

‘เหตุใดวิถีสวรรค์จะต้องจัดหาคู่ครองให้ข้าด้วย?’ กู้ซีจิ่วทั้งไม่เข้าใจและไม่พอใจ เธอเกลียดการคลุมถุงชนให้แบบนี้เป็นที่สุด!

‘เจ้าคือว่าที่เทพศักดิ์สิทธิ์ ชีวิตยืนยาวไร้ที่สิ้นสุด หากไร้ซึ่งบุพเพสันนิวาสไปตลอด ง่ายที่จะเดินทางสุดโต่ง…’

‘เช่นนั้น หวงถูก็เป็นเทพศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน เขาก็ครองโสดมาเนิ่นนานเช่นกันไม่ใช่หรือ? ข้าและเขาเพิ่งจะได้พบกันตอนที่เขาใกล้จะร่วงหล่นแล้ว…นี่มันเหตุผลอะไรกัน?’

‘ความจริงแล้ววิถีสวรรค์ได้จัดหาคู่ครองให้เขาแต่แรกแล้ว ทว่าเขาเป็นคนต่อต้านเรื่องนี้ฝืนชะตาฟ้ามาโดยตลอด ไม่ยอมโอนอ่อน ไม่ยอมรักสตรีผู้นั้น…’ เสียงนั้นออกจะจนใจ

หัวใจกู้ซีจิ่วกระตุกวาบ ‘สตรีที่วิถีสวรรค์จัดหาเป็นคู่ครองให้เขาใช่หลานจิ้งเคอหรือไม่?!’

สุ้มเสียงนั้นชะงักงัน ‘คือ…ใช่แล้ว เขากับหลานจิ้งเคอเดิมต้องเป็นคู่กัน จนปัญญาที่เขาไม่ยอมฟังคำสั่งสวรรค์…เป็นเพียงสหายกับหลานจิ้งเคอเท่านั้น…’

กู้ซีจิ่วลอบถอนหายใจ ดูท่าตี้ฝูอีจะขัดขืนชะตาฟ้าลิขิตมาโดยตลอด เรื่องที่เขาไม่ยินยอมต่อให้เป็นวิถีสวรรค์ก็ทำอะไรเขาไม่ได้…

เธอแค่นหัวเราะ ‘ข้าจะทำตามสิ่งที่ใจปรารถนาเท่านั้น ข้าอยากชอบใครก็จะชอบคนนั้น! ไม่ต้องให้ผู้ใดมาช่วยจัดการให้!’

‘เจ้าจะดื้อดึงเช่นนี้ไม่ได้! หวงถูมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว เจ้ากับเขาเป็นเพียงบุพเพหยาดน้ำค้างสามารถอยู่เคียงข้างเขาไม่กี่เดือนนับว่าไม่เลวแล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้ความสุขทั้งชีวิตของตัวเองไปแลก’ เสียงนั้นเกลี้ยกล่อมไม่หยุด

กู้ซีจิ่วหลับตาลง ‘ชีวิตของข้า ข้าจะกำหนดมันด้วยตัวเอง!’

เธอสนทนากับเสียงนั้นเพียงไม่กี่วินาที ขณะที่ตี้ฝูอีกำลังนิ่งอึ้ง เขาส่งกระแสเสียงเรียกเธอคราหนึ่ง ทำให้เธอดึงสติกลับมาทันใด

เธอฉลาดเฉลียวยิ่งนัก รู้ว่าตี้ฝูอีต้องขัดขวางตนเป็นแน่ จังหวะที่ตี้ฝูอีจรดนิ้วออกมา ก็ถูกเธอยกฝ่ามือขึ้นป้องปัดไว้ได้อย่างเงียบงัน

เธอเชิดหน้ามองกู่ฉานโม่ เปล่งเสียงกังวานใสแว่วผ่านผ้าคลุมหน้าผืนแดง “ข้ายินดี! ข้าสาบาน!”

——————————————————————

บทที่ 1801 วิวาห์ 8

ตี้ฝูอีตะลึงงัน

ด้านนอกเดิมทีฟ้าแจ้งปลอดโปร่ง ทว่าเมื่อนางเปล่งถ้อยคำนี้ออกมา เมฆดำมืดครึ้มก่อตัวปกคลุมทั้งท้องนภา ฟ้าร้องกระหน่ำเปรี้ยงปร้างกลางเมฆ กลิ้งวนกลางอากาศเหนือจวนทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย แสดงถึงว่าคำสาบานของนางได้ก่อเกิดขึ้นแล้ว

ตี้ฝูอีจับมือนางไว้อย่างอดไม่ได้ “ซีจิ่ว!”

กู้ซีจิ่วจับมือเขา ส่งกระแสเสียงให้เขา ‘ข้าไม่เชื่อว่าท่านจะดับขันธ์ได้! ท่านจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อข้า!’

ตี้ฝูอีสูดลมหายใจแผ่วเบา “ข้าจะพยายาม!”

พิธีการผ่านไปเช่นนี้ พิธีการถัดมาก็เสร็จสิ้นไปอย่างเรียบร้อย ทั้งสองจับมือกันคำนับฟ้าดิน ตอนส่งตัวเข้าหอ ตี้ฝูอีอุ้มนางอีกครั้งท่ามกลางสายตาจดจ้องของฝูงชน สาวเท้าเดินเข้าห้องหอไปอย่างรวดเร็ว

เนื่องจากคนทั้งสองเบื้องหน้าไม่ยึดกระแสทำสิ่งใดตามกฎเกณฑ์ปกติ ผู้คนจึงไม่รู้สึกประหลาดใจแล้วยามตี้ฝูอีอุ้มกู้ซีจิ่วอีกครั้ง ต่างทยอยกันส่งคำอวยพรเซ็งแซ่

การตกแต่งจัดวางของห้องหอเป็นไปตามรสนิยมของกู้ซีจิ่ว บรรยากาศประณีตละเอียดอ่อน วิจิตรงดงามเกินบรรยาย

ตี้ฝูอีอุ้มนางเข้าห้องหอ บรรดาสาวใช้สี่เหนียงต่างก้มคำนับให้การต้อนรับ

ตี้ฝูอีวางกู้ซีจิ่วลงบนตั่งมงคล ก่อนจะเปิดผ้าคลุมหน้าผืนแดงด้วยตัวเอง

นางช่างงดงาม ภายใต้องศาที่ดวงตาหลุบลงมาเวลานี้ยิ่งงดงามตราตรึงใจ ทำให้ไม่อาจละสายตาไปได้เลย

บรรดาสาวใช้สี่เหนียงพากันกล่าวคำอวยพรต่อตี้ฝูอี แล้วเชิญให้เขาออกไปดูแลต้อนรับแขกด้านนอก

สิ่งนี้แน่นอนว่าคือธรรมเนียมปฏิบัติ

ทว่าตี้ฝูอีเป็นคนแหกกฎอย่างชัดเจนที่สุด เขาโบกมือสั่งให้คนเหล่านี้ออกไปแล้วอุ้มกู้ซีจิ่วมาที่หน้าโต๊ะ บนโต๊ะจัดเรียงไว้ด้วยจอกไหสุราอันวิจิตร เตรียมไว้สำหรับคู่บ่าวสาวคล้องแขนดื่มสุราโดยเฉพาะ

กู้ซีจิ่วในอ้อมอกของเขาอดขำไม่ได้ “ท่านเสพติดการอุ้มข้าเสียแล้ว…”

เขากอดอุ้มเธอไว้ตลอดเวลา ไม่อยากให้เธอเดินแม้เพียงก้าว

ตี้ฝูอีอุทานแผ่วเบา “ข้าอยากอุ้มเจ้าทุกภพทุกชาติไป!”

นับแต่พานพบจนเส้นผมขาวโพลน อยู่กันไปจนแก่เฒ่า เป็นเรื่องที่สามีภรรยาทั่วไปสามารถทำได้ แต่สำหรับตี้ฝูอีกับกู้ซีจิ่วแล้ว กลับเป็นเรื่องที่ห่างไกลไม่อาจเป็นจริง…

กู้ซีจิ่วคล้องคอเขา จุมพิตใต้คางคราหนึ่ง “อืม พูดแล้วนะว่าจะอุ้มข้าไปทุกภพทุกชาติ! ห้ามทิ้งข้ากลางทางเด็ดขาด!”

ความรู้สึกในใจตี้ฝูอีดั่งบิดเกลียว อมยิ้มแล้วรินสุราด้วยตัวเอง ส่งให้นางจอกหนึ่ง แล้วรินให้ตนเองอีกจอกหนึ่ง “มา พวกเรามาคล้องแขนดื่มสุรากัน นี่เป็นสุราที่ข้าเก็บรักษามาร้อยปีแล้ว เจ้าลองชิมดูว่าถูกปากหรือไม่?”

สุรานั้นสีชมพูปานพวงแก้มแดงระเรื่อของสาวงาม สุรามีชื่อว่า ‘เนตรตรึงตรา’ รสสัมผัสหวานนุ่ม หอมละมุนทั่วท้อง ทำให้คนตื่นตัวและลืมความกังวลไป

คนทั้งสองคล้องแขนพันเกี่ยว หน้าผากแนบชิด ร่วมดื่มสุราในจอกด้วยกัน

สุรารสเลิศ กู้ซีจิ่วดื่มเพียงคำก็หลงรัก อดไม่ได้ที่จะมองเหยือกสุราบนโต๊ะ แล้วเอ่ยถามตี้ฝูอี “ข้าดื่มอีกจอกได้หรือไม่?”

รสชาติช่างเลิศล้ำ!

ตี้ฝูอีหุบยิ้ม “โง่งม คล้องแขนแลกสุราดื่มได้เพียงจอก ภายภาคหน้ายังมีโอกาสได้ดื่มมันอีก ข้าบ่มไว้หลายร้อยไห ต่อไปเจ้าอยากดื่มเท่าใดก็ย่อมได้!”

กู้ซีจิ่วเกาะกุมมือเขา “ต่อไปพวกเรามาดื่มด้วยกัน!”

ตี้ฝูอีชะงักงันเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้มบางๆ กล่าวตอบ “ได้!”

กู้ซีจิ่วตบมือเขาเบาๆ “เอาล่ะ คล้องแขนแลกสุราก็ดื่มแล้ว ท่านออกไปดูแลแขกเถิด อย่าให้คนเขาเอาไปพูดได้”

ตี้ฝูอียกมืออุ้มนางขึ้น “ไม่ คืนนี้เป็นคืนวิวาห์จุดเทียนมงคลร่วมห้องหอของเราสอง ข้าอยากดูแลเพียงเจ้า!”

เขาอุ้มนางเดินไปยังเตียงหลังใหญ่

กู้ซีจิ่วอบอุ่นไปทั้งหัวใจ ทว่ากลับแซวเขาเล่น “ถ้อยคำนี้ของท่านเหมือนชายบำเรอในหอโคมเขียวเลย…”

หากผู้อื่นมาพูดเช่นนี้กับตี้ฝูอี คงโดนตบกระเด็นไปสุดขอบมหาสมุทรแปซิฟิกแล้ว!

แต่กู้ซีจิ่วพูดเช่นนี้ ตี้ฝูอีไม่ติดใจอะไร เขายิ้มบาง “งั้นหรือ? เช่นนั้นก็ให้ข้าได้บำเรอเจ้า ปรนนิบัติดูแลจนกว่าเจ้าจะพอใจ!”

————————————————