วันถัดไป

ณ หุบเขาสัตว์เทพ

บัณฑิตของสำนักศึกษาอี้เหอต่างมารวมตัวกันภายนอกของหุบเขาสัตว์เทพ เป็นขบวนที่ยิ่งใหญ่และสวยงามอย่างมาก

นอกจากบัณฑิตของสำนักศึกษาอี้เหอแล้ว ยังมีราชวงศ์จักรพรรดิและรวมไปถึงองครักษ์และยอดฝีมือจำนวนมากของตระกูลใหญ่ทั้งสี่ กระจายกำลังกันคอยปกป้องดูแลความเรียบร้อยบริเวณโดยรอบของหุบเขาสัตว์เทพ

ที่นั่งประธานมีทั้งหมดห้าที่นั่ง ห้าที่นั่งนี้ หนึ่งในนั้นเป็นราชวงศ์จักรพรรดิและนอกนั้นเป็นที่นั่งของผู้นำตระกูลของสี่ตระกูลใหญ่

ตามลำดับคือ ผู้อาวุโสของสี่ตระกูลใหญ่รวมไปถึงคณะเครือญาติราชวงศ์จักรพรรดิ

ทั้งห้าที่นั่งยังคงว่างเปล่าจนถึงตอนนี้โดยยังไม่มีใครเข้ามานั่งประจำที่ ทำให้บัณฑิตต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานา

“ได้ยินมาหรือไม่? ปีนี้ผู้นำของตระกูลเหวินก็จะมาเข้าร่วมการชุมนุมการแข่งขันควบคุมสัตว์ร้ายด้วย”

“จริงหรือ? ดูเหมือนว่าทั้งรัฐปิงต่างก็ไม่มีใครรู้ว่าผู้นำตระกูลเหวินคือใคร เหมือนว่าเขาจะไม่เคยปรากฏตัวที่ไหนมาก่อน ข้าสงสัยเหลือเกินว่าตระกูลเหวินจะไม่มีผู้นำ”

“คาดว่าคงเป็นชายชราแก่เฒ่าผมหงอกกระมัง”

“ข้าก็คิดว่าเป็นเช่นนั้น ผู้นำของตระกูลอื่นต่างก็อายุมากแล้ว ผู้นำของตระกูลเหวินคงไม่ใช่คนวัยหนุ่มสาวหรอก”

“ได้เห็นทั้งผู้นำตระกูลใหญ่ทั้งสี่และรวมไปถึงเสด็จอาของจักรพรรดิ ต่อให้พวกข้าไม่สามารถควบคุมวิญญาณสัตว์ร้ายได้ เช่นนั้นก็นับว่าไม่ได้มาอย่างเปล่าประโยชน์อะไร”

กู้ชูหน่วนหาวและจ้องมองไปที่กลุ่มคน แต่กลับไม่เห็นเงาที่คุ้นเคยเลย

หนิงเทียนโย่วและหลินซือหย่วนยืนอยู่ข้างกายของนาง

หนิงเทียนโย่วกล่าว “เจ้ากำลังมองหาเซี่ยวอวี่เซวียนหรือ? ข้าเห็นเขาลงชื่อแล้วว่าเขาไม่มา”

กู้ชูหน่วนเก็บสายตาในการมองหาและกล่าวอย่างเรียบเฉย “เขาจะมาหรือไม่ก็เป็นเรื่องของเขา”

ไม่เพียงแค่ไม่เจอเซี่ยวอวี่เซวียน นางก็ไม่เห็นชายสวมหน้ากากคนนั้นด้วย

เมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อคืน หลังจากที่ชายพิการสวมหน้ากากให้นางเข้าไปยังหุบเขาสัตว์เทพ เพื่อช่วยเขาค้นหากระจกหงส์อะไรนั่น หากหากระจกหงส์ไม่เจอ ผลที่ตามมาจะเป็นสิ่งที่นางไม่อาจรับได้

กู้ชูหน่วนยิ้มอย่างเย้ยหยัน

นางก็อยากจะรู้หากนางหากระจกหงส์ไม่เจอ จะมีผลอะไรตามมา

“ประเดี๋ยวหลังจากที่เข้าไปยังหุบเขาสัตว์เทพแล้ว เจ้าและหลินซือหย่วนตามข้าอย่างใกล้ชิด ห้ามหลงโดยเด็ดขาด”

“เพราะอะไรหรือ?” เมื่อเทียบกับความนิ่งเฉยของกู้ชูหน่วนแล้ว หลินซือหย่วนมีท่าทางตื่นตระหนกอย่างมาก เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เข้าร่วมการชุมนุมแข่งขันที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้

“ถึงแม้ว่าจะบอกว่าการเข้ามายังหุบเขาสัตว์เทพนี้เป็นการเพิ่มประสบการณ์ และเพื่อเป็นการทำสัญญากับอสุรกายร้าย แต่หลายปีที่ผ่านมาก็มีคนฉวยโอกาสนี้ฆ่าสังหารคนที่เป็นศัตรูของตัวเองไปมากเช่นกัน”

“พวกเจ้าทั้งสองคนต่างมีเรื่องบาดหมางกับตระกูลไป๋หลี่ แม้แต่แม่นางมู่ก็ได้มีเรื่องบาดหมางกับตระกูลซั่งกวนด้วย ข้ากลัวว่าพวกเขาจะลงมือสังหารเจ้าข้างใน”

หลินซือหย่วนตกใจจนร้องอุทานออกมา “อ๋า……ฆ่าคนข้างใน เช่นนั้นพวกเขาไม่กลัวหรือว่า ออกมาแล้วจะถูกอาจารย์ลงโทษ?”

“ภายในหุบเขาสัตว์เทพนั้นมีอสุรกายจำนวนมาก อีกทั้งยังมีความอันตรายมาก หากได้พบเจอกับอสุรกายที่มีความสามารถสูงกว่าตัวเองเข้าและถูกอสุรกายหรือหมอกควันพิษในป่าทำร้ายเข้าก็ถือเป็นเรื่องปกติ อาจารย์ทั้งหลายไม่สนใจหรอกว่าเจ้าจะถูกอสุรกายฆ่าหรือว่าถูกเพื่อนร่วมชั้นฆ่า”

“ฟังจากที่เจ้าพูดมาเช่นนี้ การที่เราเข้าไปก็ถือเป็นเรื่องอันตรายอย่างมากน่ะสิ?”

“สบายใจได้ ท่านปู่ได้เตรียมศิษย์พี่จำนวนหนึ่งไว้เพื่อติดตามข้าเข้าไป ศิษย์พี่ทั้งหลายจะคอยปกป้องคุ้มครองพวกเจ้าเอง เพียงแต่พวกเจ้าติดตามข้าอย่างใกล้ชิดและอย่าเดินมั่ว”

“ขอบคุณคุณชายหนิง”

“ไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก แต่หวังว่าจะสามารถทำให้อสุรกายยอมจำนนต่อพวกเจ้าได้บ้างก็พอ”

ผู้นำของตระกูลยังคงมาไม่ถึง หยางโม่ค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้กู้ชูหน่วนและยิ้มให้ “แม่นางมู่ เจ้าต้องการเข้าร่วมการชุมนุมแข่งขันควบคุมสัตว์ร้ายจริงๆ หรือ?”

“เหตุใดถึงไม่เข้าร่วม?”

“ข้าก็ต้องการเข้าไปด้วยเช่นกัน เช่นนั้นเราเข้าไปพร้อมกันเป็นอย่างไร?”

“ไม่จำเป็น”

หยางมั่นกลอกตา

มู่หน่วนคนนี้ช่างไม่รู้อะไรเสียเลย

เขาเกรงว่านางจะถูกตระกูลไป๋หลี่และตระกูลซั่งกวนลอบทำร้าย จึงจงใจเชื้อเชิญเข้าไปด้วยกันกับนาง เพื่อจะได้คอยแอบปกป้องนาง

นางไม่รู้จริงๆ หรือว่าแกล้งไม่รู้กันนะ?

“ผู้นำตระกูลหนิงมาถึงแล้ว……”

“ผู้นำตระกูลไป๋หลี่มาถึงแล้ว……”

“ผู้นำตระกูลซั่งกวนมาถึงแล้ว……”

“ผู้นำตระกูลเหวินมาถึงแล้ว……”

“เสด็จอาเสวี่ย เสด็จมาถึงแล้ว……”

ทุกคนต่างพากันจับจ้องไปยังที่นั่งบนแท่นตามเสียงประกาศแจ้งที่ดังก้องกังวาน

……

ผู้นำตระกูลหนิงมีผมหงอก อายุเกินเจ็ดสิบปี แต่งกายด้วยชุดลวดลายนกกระเรียนสีขาว ดูเป็นมิตรและเป็นอมตะ

ผู้นำตระกูลไป๋หลี่อายุราวๆ ห้าสิบปี มีร่างกายที่แข็งแรงและใบหน้าที่เคร่งขรึมจริงจัง คาดว่าคงเป็นผู้ที่เข้มงวดมากคนหนึ่ง

ผู้นำตระกูลซั่งกวนอายุเกินหกสิบปี ใบหน้ามีริ้วรอย แต่งกายด้วยชุดลัทธิเต๋าที่ปักลวดลายไท่จี๋และหยินหยาง มีรอยยิ้มจางๆ ที่มุมปาก และเขายังกล่าวทักทายบัณฑิตที่อยู่ในงาน ดูไปแล้วไม่ยากที่จะเข้าหาได้

เสด็จอาเสวี่ยอายุประมาณสี่สิบกว่าปี แต่งกายด้วยเสื้อคลุมสีม่วงและมงกุฎหงส์บนศีรษะ แสดงถึงความมั่งคั่งและความสูงส่งของเขา

และที่ทำให้ทุกคนต่างตกตะลึงก็คือ

ผู้นำตระกูลเหวินที่ทำตัวลึกลับมาโดยตลอด ที่ทุกคนต่างคิดว่าเขาคงเป็นชายแก่ชรา แต่เขากลับเป็นชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบปีเท่านั้น

ยิ่งกว่านั้นคือ ชายหนุ่มคนนี้ดูโดดเด่นและสง่างาม และรูปร่างของเขาก็ปรากฏออกมาให้เห็นอย่างสมบูรณ์แบบด้วยเสื้อคลุมสีขาวราวหิมะ

ดวงตาของเขางดงามราวกับภาพวาด และทุกการเคลื่อนไหวของเขาดูสูงส่งและเย่อหยิ่ง ทำให้ผู้คนต่างไม่กล้าละสายตา

รอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขาและใบหน้าของเขาดูเหมือนจะเป็นผลงานที่โดดเด่นที่สุดของสวรรค์

เมื่อเขาปรากฏตัวออกมา ทุกคนต่างพากันตกตะลึง

โดยเฉพาะผู้หญิงที่อยู่ในงาน ทุกคนต่างประหลาดใจและแทบเป็นลม

ผู้ชายที่งดงามเหลือเกิน

ราวกับเทพบุตร

หากไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง พวกเขาไม่มีทางเชื่อเด็ดขาดว่าบนโลกนี้จะมีคนที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้

มีลมพัดพลิ้วไหวและพัดมาที่เส้นผมบนหน้าผากของผู้นำตระกูลเหวิน ทำให้เขาดูสง่างามยิ่งขึ้น

ซู่ว……

ทุกคนต่างพากันหอบหายใจด้วยเสียงดัง

“ชายผู้นั้นคือผู้นำตระกูลเหวินหรือ? ข้าไม่ได้ตาบอดจนเกิดภาพลวงตาขึ้นใช่หรือไม่ เจ้าหยิกข้าหน่อยสิ ซี๊ด……เจ็บเหลือเกิน……ไม่ใช่ความฝัน ไม่ใช่ความฝันจริงๆ ด้วย”

“ข้าก็สงสัยว่าเป็นภาพลวงตา แต่ความจริงได้พิสูจน์แล้วว่าเขาก็คือผู้นำตระกูลเหวินที่ลึกลับที่สุดในบรรดาตระกูลใหญ่ทั้งสี่”

“พระเจ้า ไม่แก่เลยสักนิด ไหนบอกว่าผู้นำตระกูลเหวินเป็นชราแก่ชราผมหงอกไม่ใช่หรือ?”

“หรือจะเป็นผู้นำคนใหม่ที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งขึ้น?”

“เขายังเด็กเช่นนี้ เหตุใดถึงได้เป็นถึงผู้นำตระกูลได้นะ หรือว่าเขาจะมีฝีมือการต่อสู้ที่สูงส่ง?”

“สูงส่งอย่างไรก็คงไม่สูงสุดไปกว่าผู้นำของตระกูลอื่นหรอก อย่างไรเสียระดับความสามารถของผู้นำตระกูลอื่นก็ไปถึงระดับห้าแล้ว บางคนยังไปถึงขั้นสูงสุดระดับห้าแล้ว ซั่งกวนหมิงหล่างก็อายุไล่เลี่ยกับเขาและความสามารถก็ไปถึงระดับสามแล้ว ซึ่งมีชื่อเสียงอย่างมากในรัฐปิงของเรา ความสามารถของเขาอย่างมากก็พอๆ กับซั่งกวนหมิงหล่าง”

“ข้าคิดว่าคงไม่สูงไปกว่าซั่งกวนหมิงหล่าง มิฉะนั้นเหตุใดเขาถึงไม่มีชื่อเสียงเลยสักนิด แต่สามารถเป็นถึงผู้นำตระกูลได้ จะต้องมีข้อดีของเขาอย่างแน่นอน ข้าสงสัยว่าความสามารถของเขาจะต้องไปถึงระดับสองแล้วแน่ๆ หรืออาจจะถึงระดับขั้นสูงสุดระดับสองแล้วก็ได้”

“ไม่ว่าความสามารถของเขาจะอยู่ที่ระดับใด เพียงแค่รูปร่างหน้าตาและตำแหน่งของเขา หากสามารถแต่งงานกับเขา ฮึ คงเป็นเรื่องดีไม่น้อย ประเดี๋ยวข้าจะให้ท่านพ่อของข้าไปสู่ขอเขา หวังว่า……จะได้แต่งงานกับเขา”

“……”

ภายในงาน ผู้ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุดก็คือผู้นำตระกูลเหวิน

กู้ชูหน่วนอดไม่ได้ที่จะพูดว่า นางก็ถูกเหวินเส่าอี๋ทำให้รู้สึกประหลาดใจไม่น้อย

ผู้ชายคนนี้ไม่ว่าจะรูปร่างหน้าตา ลักษณะท่าทาง ตำแหน่ง ล้วนไม่อาจปฏิเสธได้เลย

แต่……

เหตุใดนางถึงรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้ช่างคุ้นหน้าเหลือเกิน?

นางเคยได้เจอเขาที่ไหนมาก่อนนะ?

และเมื่อมองไปที่ซั่งกวนหมิงหลานและหยางมั่น

พวกนางทั้งสองคนต่างจ้องมองเหวินเส่าอี๋ด้วยความประหลาดใจและชื่นชม เห็นได้ชัดว่าผู้หญิงสองคนนี้ตกหลุมรักเหวินเส่าอี๋เข้าแล้ว

โดยเฉพาะหยางมั่น ความเปล่งประกายในดวงตาของนางนั้นไม่อาจปกปิดได้

หนิงเทียนโย่วกล่าวประชดประชัน “เจ้าคงไม่เป็นเหมือนอย่างพวกนาง ที่ตกหลุมรักผู้นำตระกูลเหวินหรอกนะ”

กู้ชูหน่วนกลอกตา “ข้าไม่ใช่คนโง่ ที่เห็นใครเข้าก็จะโผลเข้าหาหรอกนะ”

“เช่นนั้นข้าก็หมดห่วง”

“หมดห่วงอะไร?”

“ไม่มีอะไร”

ผู้ที่อยู่บนเวทีประกาศเสียงดัง “นั่งลงได้……”

ผู้นำทั้งสี่ตระกูลและเสด็จอาต่างพากันนั่งลง

เสด็จอาเสวี่ยนั่งในตำแหน่งกลาง

เหวินเส่าอี๋มองไปที่ที่นั่งทั้งห้าและนั่งที่ตำแหน่งสุดท้ายทางด้านซ้าย

นายท่านหนิงกล่าว “ผู้นำตระกูลเหวิน ตามสถานะของท่าน ท่านควรนั่งที่มุมขวาด้านบน”

ถึงอย่างไรเสีย……

ตระกูลใหญ่ทั้งสี่ ตระกูลเหวินมีอำนาจมากที่สุด