ตอนที่ 365 โง่เง่าเกินทน / ตอนที่ 366 โต๊ะอาหารยาวสิบลี้

ลิขิตฟ้าชะตารัก

ตอนที่ 365 โง่เง่าเกินทน 

 

 

 

 

 

“ข้าน้อยเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ขอบพระคุณคุณหนูรองที่สั่งสอน” อนุสามกัดฟันกรอด ไม่กล้าที่จะทำอะไรมากไปกว่านี้ พยายามอดกลั้นความไม่พอใจอยู่ภายใน แล้วก้มลงโค้งคำนับ 

 

 

“ในเมื่อเข้าใจแล้ว ก็ไปเถิด” อวี้อาเหราออกปากกับอีกฝ่ายอย่างเกียจคร้าน 

 

 

“หม่อมฉันทูลลา” อนุสามได้ยินเช่นนั้น ก็กันไปมองหลิงอ๋อง แล้วเดินออกมา 

 

 

อวี้อาเหราพูดกับหลิงอ๋องว่า “เสด็จพ่อ หมอผู้นั้นก็ให้ลูกเป็นคนจัดการดีกว่าเพคะ” 

 

 

“ก็ได้ ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็จัดการเอาเถิด พักผ่อนให้ดีๆ พ่อไปก่อนล่ะ” หลิงอ๋องกระชับผ้าห่มให้นาง แล้วลุกขึ้นจากเตียง เมื่อพูดจบก็เดินไปทางประตู 

 

 

เมื่อหลิงอ๋องจากไปแล้ว เมี่ยวอวี้ก็หันไปมองหมอพื้นบ้านที่ร่างสั่นเทาอยู่กับพื้น จากนั้นก็เอ่ยถามอวี้อาเหราอย่างไม่แน่ใจนัก “คุณหนู จะจัดการเขาอย่างไรดีเจ้าคะ” 

 

 

“ในเมื่อเป็นหมอปลอม หากปล่อยเอาไว้จะเป็นภัยต่อผู้อื่น มิสู้ฆ่าทิ้งเสียเถิด” อวี้อาเหราพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาและเฉียบขาด จากนั้นก็หันมาสั่งอีกว่า “ตัดหัวมันส่งไปที่เรือนพักของอนุรอง ให้นางเห็นว่าข้าทำอะไรได้บ้าง!” 

 

 

“เจ้าค่ะ!” เมี่ยวอวี้รับคำ ก่อนจะสั่งให้คนนำตัวหมอออกไปรับโทษด้วยสายตาสงสัย “คุณหนู ท่านรู้ได้อย่างไรว่าอนุรองจะต้องอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้เจ้าคะ” 

 

 

“ไม่ต้องเดาก็รู้ อนุสามโง่ถึงเพียงนั้นไหนเลยจะคิดแผนการทำร้ายผู้อื่นอย่างแยบยลเช่นนี้ได้ ต้องเป็นผู้ที่มีความคิดรอบคอบและรู้เรื่องของเมืองนี้ดีอย่างอนุรองเท่านั้น นางก็ช่างชาญฉลาด คิดจะยืมมืออนุสามเพื่อดูว่าข้าป่วยจริงหรือไม่ นางหากเปิดโปงได้ คนที่ตายก็คงเป็นข้าเอง แต่หากข้าป่วยขึ้นมาจริงๆ นางก็ไม่มีอะไรที่ต้องเสีย เป็นอนุสามที่ต้องรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว น่าเสียดายที่อนุสามผู้นี้…” อวี้อาเหราพูดไปพลางก็อดไม่ได้ที่ส่ายศีรษะอย่างขบขัน 

 

 

“น่าเสียดายที่อนุสามโง่งมจนเกินไป จนทำให้อนุรองไม่ได้ประโยชน์อะไรจากเรื่องนี้เลย” เมี่ยวอวี้เข้าใจขึ้นมาทันที จึงเอ่ยขึ้นมาต่อประโยคของนางจนจบ 

 

 

อวี้อาเหราหัวเราะเสียงเบา 

 

 

เพราะฉะนั้นเรื่องทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพราะอนุรองเก่งกาจ แต่เป็นเพราะอนุสามโง่งมเกินไป กล้าที่จะใช้คนโง่เง่าถึงเพียงนี้ทำเรื่องเช่นนี้ ก็ช่างไม่รู้ถึงความเสี่ยงเอาเสียเลย คนเช่นนี้หากไม่ถูกครอบงำ ไม่ช้าก็เร็วก็คงจะตายเพราะความโง่เง่าของตัวเอง! 

 

 

หลังจากที่มีผู้นำศีรษะหมอผู้นี้ไปให้อนุรองดูตามคำสั่งของอวี้อาเหราแล้ว ก็ทำให้นางตกใจเสียจนเกือบตาย และสิ้นสติไปในทันที 

 

 

หลังจากได้รับรายงานแล้ว อวี้อาเหราก็ยิ้มอย่างพอใจ ในนาทีนั้นนางไม่ออมมือกับอนุรองเพียงเพราะนางตั้งท้องทายาทของจวนหลิงอ๋อง เพราะไม่อยากให้นางยิ่งเหิมเกริมไปมากกว่านี้ แล้วกลับมาทำให้นางลำบากในภายหลัง หวังว่าหลังจากเรื่องของหมอจอมปลอมไปแล้ว จะทำให้อนุรองรู้จักหวาดกลัวเสียบ้าง 

 

 

หลังจากจัดการปัญหาที่อยู่ตรงหน้าเรียบร้อยแล้ว ฉู่เกอก็เข้ามาหานาง 

 

 

อวี้อาเหรากำลังสะลึมสะลือ อาการป่วยไข้นั้นไม่ค่อยเจ็บปวดเท่าใดนัก เพียงแต่ความโกรธแค้นในใจนั้นยากที่จะบรรเทา เมื่อได้ยินเสียงรายงานของเมี่ยวอวี้ นางก็ลืมตาขึ้นอย่างเกียจคร้าน แล้วโบกมืออย่างรำคาญ “ไม่ว่าใครจะมา ข้าก็ไม่ให้เข้าพบทั้งนั้น!” 

 

 

“คุณหนู” เมี่ยวอวี้แสดงท่าทีลำบากใจ “คนอื่นจะไม่เข้าพบก็ได้ แต่นี่คือท่านหญิงน้อยแห่งจวนเซิ่นอ๋องนะเจ้าคะ ฐานะของนางสูงศักดิ์ไม่มีใครเทียบเทียม ไม่มีใครกล้าที่จะขัดขวางนาง แม้ว่าบ่าวจะกล่าวว่าคุณหนูป่วยหนักเกรงว่าจะแพร่เชื้อโรคได้จึงไม่อาจพบใคร แต่ท่านหญิงก็ยังต้องการที่จะเข้าพบ หากไม่ได้พบแล้ว นางก็จะบุกเข้ามาเองเจ้าค่ะ…” 

 

 

“นางบอกว่าจะบุกเข้ามาจริงๆ หรือ? เจ้าพูดเองหรือนางพูดเช่นนี้จริงๆ” อวี้อาเหราผุดลุกขึ้นจากเตียง คิ้วขมวดและใบหน้าเย็นชา ทันใดนั้นก็โกรธขึ้นมาในทันที 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 366 โต๊ะอาหารยาวสิบลี้ 

 

 

 

 

 

ฉู่เกอผู้นี้เห็นจวนหลิงอ๋องเป็นอะไรกัน นึกอยากจะบุกก็บุกเข้ามา สมแล้วที่เป็นขนิษฐาร่วมพระมารดาเดียวกับฉู่ป๋าย ไม่ว่าจะทำเรื่องอันใดก็จะต้องทำให้ได้เช่นนี้ 

 

 

เมี่ยวอวี้รีบหลุบตาลง “เป็นนางพูดเจ้าค่ะ…” 

 

 

ยังไม่ทันที่จะกล่าวจบ ทันใดนั้นก็มีสตรีในชุดสีเขียวบุกเข้ามาจากทางด้านนอก เดินไปพลางยิ้มไปพลาง “พี่เหราเอ๋อร์ เรายังไม่ทันที่จะเข้ามาในห้องของท่าน ท่านก็ส่งคนไปไล่เราเสียแล้ว นี่ก็ช่างน่าปวดใจยิ่งนัก หากเป็นฉู่ฉู่ ท่านจะกล้าทำเช่นนี้หรือไม่” 

 

 

พี่เหราเอ๋อร์? อวี้อาเหราย่นคิ้ว พวกนางไปสนิทกันถึงเพียงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่? 

 

 

“ฉู่เกอคารวะคุณหนูรอง” สตรีชุดสีเขียวก้าวมาข้างหน้าของนาง แล้วก้มตัวลงพร้อมทั้งอมยิ้ม อวี้อาเหราเงยหน้าขึ้นมองนาง “หากเป็นเขา ข้าก็คงจะเรียกคนมาไล่ออกไปเสียนานแล้ว” 

 

 

“เช่นนั้นหรือ? ทว่าเหตุใดเราก็ได้ยินฉู่ฉู่กล่าวว่า ก่อนหน้านี้หากท่านเห็นเขาแล้วก็แทบจะต้อนรับด้วยโต๊ะอาหารยาวสิบลี้เลยเล่า จนภายหลังรู้สึกว่าสิ้นเปลืองเสียเหลือเกินจึงได้ยกเว้นไป เหตุใดจึงได้ยินมาไม่เหมือนกัน?” ฉู่เกอแสร้งทำหน้าไม่รู้เรื่องรู้ราวขณะที่ก้าวมาข้างหน้า น้ำเสียงเรียบเรื่อยเสนาะหูราวกับใบหลิวไหวต้องลม 

 

 

“เจ้าบ้านั่นพูดเช่นนั้นหรือ” อวี้อาเหราเลิกคิ้วขึ้นอีก 

 

 

ฉู่ป๋ายผู้นั้นกล้าที่จะพูดเช่นนั้นจริงๆ หรือ? กล้าที่จะพูดว่านางนั้นลี้ยงต้อนรับเขาด้วยโต๊ะอาหารยาวสิบลี้ เหตุใดไม่บอกไปเสียเลยเล่าว่านางนั้นได้ปูพรมแดงยาวสิบลี้เพื่อขอเขาแต่งงานไปด้วย? ช่างพูดเกินจริงเสียยิ่งนัก 

 

 

“เจ้าบ้าหรือ? ฉู่ฉู่ของข้าไม่ใช่เจ้าบ้าเสียหน่อย” ฉู่เกอแสดงท่าทีไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด 

 

 

“ข้าไมได้พูดถึงฉู่ฉู่ของเจ้า ข้าพูดถึงเจ้าคนที่พูดจาไม่รู้ความอีกคนหนึ่งต่างหาก เจ้าคนบ้า!” แม้อวี้อาเหราจะไม่เปิดเผย แต่ทุกคนก็รู้ดีว่าเป็นใคร ในใจนั้นกระจ่างใสราวกับกระจก แม้ว่านางจะไม่ได้กล่าวโดยละเอียดแต่อีกฝ่ายก็รู้ดีว่ากำลังพูดถึงใคร ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วก็ไม่จำเป็นต้องรักษาน้ำใจกันอีก! 

 

 

สีหน้าไม่พอใจของฉู่เกอสลายไป แล้วยิ้มออกมาอย่างประจบประแจง “พี่เหราเอ๋อร์ อย่างไรท่านก็ถือว่าเป็นพี่สาวของข้าเสียครึ่งหนึ่ง เมื่อก่อนเสด็จแม่ของพวกเราก็รู้จักมักคุ้นกัน ข้าว่าท่านอย่าได้อารมณ์เสียเช่นนี้เลยดีหรือไม่” 

 

 

“ไม่มีทาง” ความง่วงของอวี้อาเหราถูกขจัดออกไป นางก้มหน้าลงเล็กน้อย มองไม่ออกว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร 

 

 

“ข้าได้ยินมาว่าพี่เหราเอ๋อร์ป่วยหนัก เช่นนั้นจึงตั้งใจมาเยี่ยมโดยเฉพาะ และถือโอกาสมายืมของสิ่งหนึ่งจากพี่เหราเอ๋อร์ด้วย ไม่ทราบว่าท่านพอจะให้ยืมได้หรือไม่” ฉู่เกอทำราวกับไม่ตั้งใจที่จะถาม แต่กลับพูดขึ้นซึ่งๆ หน้า 

 

 

“เจ้าจะยืมอะไรล่ะ” อวี้อาเหราพยักหน้าตอบรับอย่างคาดไม่ถึง “ขอแค่เป็นของที่ข้าให้ยืมได้ ให้เจ้ายืมไปก็คงไม่เสียหายอะไร” 

 

 

“พี่พูดเองนะ” ฉู่เกอยิ้มอย่างยินดี สายตาค่อยๆ มองไปยังข้อมือของนาง ชี้ไปที่หยกเลือดแล้วเอ่ยขึ้น “ของในมือของท่านอย่างไรเล่า” 

 

 

“เจ้าต้องการสิ่งนี้หรือ” อวี้อาเหราชะงัก พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเหนือความคาดหมาย “เจ้าจะเอาไปทำไมกัน” 

 

 

“ข้าขอกล่าวกับพี่สาวตรงๆ เลยนะ ข้าได้ยินหานสือพูดมาว่า ท่านคงจะรู้เรื่องอาการป่วยเป็นโรคกระหายโลหิตของฉู่ฉู่แล้ว และยังได้ยินมาว่าหยกเลือดสามารถช่วยเหลือเขาได้ ดังนั้นจึงต้องการมายืม ไม่รู้ว่าพี่สาวจะยอมให้หรือไม่” ฉู่เกอไม่ได้ปิดบังอะไร เพียงไม่นานก็พูดความในใจของออกมาจนหมด 

 

 

อวี้อาเหราส่ายหน้า “ไม่ได้หรอก” 

 

 

“เหตุใดถึงไม่ได้” ฉู่เกอตกใจ ไม่คิดว่านางจะปฏิเสธขึ้นมาอย่างไม่ลังเลเช่นนี้ 

 

 

“ไม่ใช่ว่าข้าไม่ยอมให้เจ้ายืม แต่ข้าไม่อาจมอบให้เจ้าได้” อวี้อาเหาก้มหน้าลงมองหยกเลือด ยื่นมือออกไปลูบผิวสัมผัสเรียบลื่น แล้วพูดต่อไป “กำไลหยกเลือดนี้เป็นพี่ชายของเจ้าที่มอบให้ข้าตั้งแต่แรก หลังจากสวมแล้วก็ไม่อาจดึงออกได้ หากเจ้ามีวิธีที่จะดึงออก ข้าก็จะยินดีเป็นอย่างยิ่ง”