ภาคที่ 5 บทที่ 34 ความผิดใคร

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

“ฮั่นชิงของข้านี่เอง”

คุณหนูจวินพูดขึ้น บนหน้าเผยรอยยิ้ม

ช้อนที่ลู่อวิ๋นฉีส่งมาถึงริมฝีปากนางหยุดลง

“แม่นางคนนั้นร้ายกาจนัก” เขาเอ่ย “ตอนนั้นทหารที่ด่านซู่หนิงทั้งหมดล้วนเชื่อฟังคำสั่งการของนาง”

“นางจิตใจบริสุทธิ์ ไม่มีความคิดว้าวุ่น ให้นางสังหารศัตรูนางก็คิดแต่เรื่องนี้” คุณหนูจวินพูดขึ้น “ความเป็นความตายไม่กลัว”

ลู่อวิ๋นฉีบีบแก้มนาง ป้อนข้าวกับน้ำแกงช้อนหนึ่งเข้าไป

“พอแล้ว ข้ากินเอง” คุณหนูจวินเบี่ยงศีรษะนิดหนึ่งจะสะบัดมือเขาออกเอ่ยขึ้น

ลู่อวิ๋นฉีรั้งมือกลับ เพียงใช้ช้อนป้อนนาง

“ฝ่าบาทดีพระทัยยิ่ง” เขาเอ่ย

คุณหนูจวินหัวเราะฮ่าคำหนึ่ง

“ดีพระทัย?” นางเอ่ย สีหน้าเหยียดหยัน “เขายังมีหน้าดีพระทัย!”

ลู่อวิ๋นฉียิ้ม ไม่แย้งแล้วก็ไม่ปฏิเสธ

“ทุกสิ่งนี่ล้วนเป็นเพราะเขา” คุณหนูจวินเอ่ยต่อ มือที่ถูกมัดอยู่ด้านหน้าร่างกำแน่น “เพราะเขาโง่เขลาเบาปัญญา ขับไล่ขุนนางผู้จงรักแม่ทัพฝีมือดี ใช้งานพวกคนชั่วตัวไร้ประโยชน์ ทำไมชาวจินลอบโจมตีกะทันหันตอนนี้ ก็เพราะชาวจินรู้เหมือนกันว่าแดนเหนือที่ไม่มีเฉิงกั๋วกงมีโอกาสให้ฉวย”

ลู่อวิ๋นฉีตั้งใจคนน้ำแกงตักขึ้นมาหนึ่งช้อน

“ก่อนหน้านี้เจ้าไม่พูดเรื่องเหล่านี้” เขาเอ่ย

เวลานั้นเขาเล่าเรื่องข้างนอกให้นางฟังนางไม่เคยวิจารณ์สิ่งใด เพียงทำเป็นเรื่องขำขันสนุกทีหนึ่งก็หยุด เลิกแล้วกับมัน นางจะเล่าเรื่องในบ้านให้เขาฟัง วันนี้อ่านหนังสืออะไร เขียนตัวอักษรเท่าไร ดอกไม้ที่ปลูกใหม่บานแล้ว

ตอนนี้เปลี่ยนไปแล้วหรือ?

“ไม่ใช่ ข้าไม่เคยเปลี่ยน” คุณหนูจวินมองเขาส่ายศีรษะอย่างติดจะยโส “เพียงแต่ข้าที่เจ้ารู้จักไม่ใช่ข้าที่แท้จริง”

องค์หญิงจิ่วหลิงที่แต่งงานกับเขาคือองค์หญิงผู้สูญเสียวิญญาณ

ยอมรับชะตา จนปัญญา คล้อยตาม เฉยชา เหมือนวิหคที่ตัดปีก ดอกไม้ที่ถูกขุดจากดิน

เขาไม่รู้จักนางตัวจริง แล้วก็เพราะนางไม่ให้เขารู้จัก เพราะเขาไม่คู่ควร

ลู่อวิ๋นฉีมองสีหน้าของนาง จากนั้นก็ยิ้มแล้ว

“จะหนาวแล้ว” เขาเอ่ย ส่งช้อนมาถึงริมฝีปากนาง

คุณหนูจวินกัดไว้

“ไม่รู้ว่าฮ่องเต้คนนั้นยังกินข้าวลงได้หรือไม่” นางกัดฟันเอ่ย

ลู่อวิ๋นฉีมองนาง

“ชิงเหอปั๋วตรวจสอบพิสูจน์แล้วว่าขุนนางทหารที่ด่านจวินจื่อถูกผู้อื่นบงการให้เปิดประตู” เขาเอ่ย

คุณหนูจวินตะลึง

ผู้อื่น?

คนที่บงการขุนนางทหารที่ด่านจวินจื่อได้ย่อมเป็นคนที่พวกเขาเชื่อถือ

คำพูดนี้ของชิงเหอปั๋วหมายความว่าอย่างไร ใครก็ล้วนคิดออก

เขาชี้ว่าเฉิงกั๋วกงเป็นสายลับชัดๆ ทหารที่ด่านจวินจื่อล้วนตายแล้ว คนตายแล้วย่อมพิสูจน์ความจริงไม่ได้

ทหารเหล่านั้นสละร่างรบจนตัวตาย กลับยังต้องถูกใส่ร้ายให้ชื่อเป็นมลทินเช่นนี้

คุณหนูจวินฟันกัดช้อนจนดังกึก

“ชี้ขลาด” นางเอ่ย

……………………………………….

……………………………………….

ฮ่องเต้ดื่มน้ำแกงตรงหน้าคำเดียวหมดแล้ววางลง บนหน้าเหงื่อออกนิดๆ แลดูใบหนาอิ่มเอิบ

“ขอบพระทัยไทเฮาแทนข้าด้วย” พระองค์ตรัสกับขันที “รอข้ายุ่งเสร็จแล้วจะไปเฝ้าไทเฮา”

ขันทีค้อมกายหลายครั้ง

“ฝ่าบาทเสวยพระกระยาหารได้ องค์ไทเฮาก็วางพระทัยแล้วพ่ะย่ะค่ะ” พวกเขาเอ่ยอย่างตื้นตัน “องค์ไทเฮาตรัสว่าฝ่าบาทต้องรักษาพระวรกายให้ดี สารพันเรื่องราวรีบร้อนไปก็แก้ปัญหาไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้พยักพระพักตร์ขานรับ พลางมองไปด้านในตำหนัก

ด้านในตำหนักขุนนางสิบกว่าคนนั่งอยู่ เวลานี้ก็ล้วนกำลังทานอาหาร ได้ยินเข้าก็ค้อมกายขานรับพ่ะย่ะค่ะ

“หลายวันนี้ทุกคนลำบากแล้ว” ฮ่องเต้ตรัส “กินนอนไม่สบายใจ”

“ฝ่าบาทเหนื่อยยากแล้ว” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ย

ทุกคนล้วนเจอบ่อยจนชินแล้ว ได้ยินก็ไม่มีใครส่งสายตามองเขาอีก

“ฝ่าบาทเหนื่อยยากแล้ว” พวกเขาเอ่ยตาม

“แต่สถานการณ์วันนี้ยังคงไม่ปล่อยให้โล่งอก” ฮ่องเต้ตรัสอีกครั้ง วางผ้าเช็ดหน้าที่เช็ดพระโอษฐ์ลง

ขันทีทั้งหลายเก็บโต๊ะทันที คนก็ถอยออกไป ในตำหนักกลับมาหารือการงานใหม่อีกครั้ง

“ที่สำคัญคือชาวจินมากะทันหันเหลือเกิน ทุกคนชั่วขณะรับมือไม่ทัน ไม่ใช่ขวางไม่อยู่” ขุนนางคนหนึ่งเอ่ยขึ้น

คำนี้พูดได้น่าขำจริงๆ เหมือนก่อนหน้านี้ชาวจินบุกมาล้วนตั้งใจทักทายปราศรัยกับเจ้าก่อน

มีปากของขุนนางไม่น้อยกระตุก แต่นึกขึ้นได้ว่าหลายวันก่อนมีขุนนางหลายคนเพราะโวยวายตำหนิว่าไม่ควรเจรจาสงบศึก ไม่ควรเปลี่ยนแม่ทัพง่ายๆ ถูกฮ่องเต้อ้างว่าทำให้หัวใจทหารและหัวใจประชาชนสั่นคลอนจับเข้าคุก ทุกคนจึงล้วนกลืนคำพูดกลับไปแล้ว

ได้ยินว่ากะทันหันสองคำ สีพระพักตร์ของฮ่องเต้พลันบึ้งตึง

“ข้าฝันก็คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเฉิงกั๋วกงเขาถึงกับทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้” พระองค์ตรัส

“ฝ่าบาท เขาคิดก่อกบฏแล้ว ทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้ก็ไม่แปลก” หวงเฉิงเอ่ย “พูดขึ้นมาตอนนั้นก็มีคนเคยพูดว่า บอกจะเจรจาสงบศึกกับให้ถอนทหารแล้วชัดๆ เฉิงกั๋วกงกลับวิ่งไปอี้โจวของชาวจิน ใครจะรู้ว่าเวลานั้นก็ตกลงกับชาวจินเรียบร้อยแล้วหรือไม่”

ฮ่องเต้ฟาดฎีกาลงบนโต๊ะ

“เขาทำเช่นนี้ได้อย่างไร? ข้าผิดต่อเขาที่ใด?” พระองค์ตรัส ตรัสถึงตรงนี้ก็สีพระพักตร์โศกเศร้าคับแค้นอีก “ต่อให้ข้าผิดต่อเขา เขาไม่พอใจข้าก็ขอให้เห็นแก่บุญคุณของอดีตฮ่องเต้กับพี่ชายรัชทายาทเมื่อครั้งกระโน้นที่มีต่อเขา ทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร”

พระองค์ตรัสพลางลุกขึ้นยืน

“พวกเจ้าไปถามเขาดูสิ ที่แท้เขาต้องการให้ข้าทำอย่างไร? ขอเพียงแลกความสงบสุขของต้าโจวได้ ข้าจะยอมรับผิดกับเขา”

“ฝ่าบาท ทรงอย่าตรัสถ้อยคำเช่นนี้” หวงเฉิงสีหน้าขรึมเอ่ย ก้าวเข้าไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง “กับคนถ่อยเช่นนี้ ความเมตตาไม่มีประโยชน์กับพวกเขา มีแต่จะให้เขาได้คืบเอาศอก”

“ใช่แล้ว กับกบฏเช่นนี้ จำต้องโจมตีโหดเหี้ยมให้ล่าถอย” ขุนนางคนอื่นก็พากันเอ่ยด้วย

หลังเอ่ยเกลี้ยกล่อมพักหนึ่ง สีพระพักตร์ของฮ่องเต้ก็ฟื้นคืน ถอนพระปัสสาสะ

“ข้าทนเห็นประชาชนแดนเหนือเดือดดร้อนไม่ได้จริงๆ” พระองค์ตรัส

“ขอฝ่าบาทวางพระทัย” หวงเฉิงเอ่ย “ชิงเหอปั๋วขึ้นเหนือ โจมตีโจรจินที่รุกเข้าเหอเจียนล่าถอยไปแล้ว ”

เขาเอ่ยพลางส่งสัญญาณให้ขุนนางของกรมกลาโหม ขุนนางก้าวเข้าไปข้างหน้าชี้บนแผนที่ซึ่งกางอยู่ด้านข้างให้ฮ่องเต้ทอดพระเนตร

“…เมื่อวานนี้เองข่าวส่งมาบอกว่าโจรจินที่เป่าโจวถอยกลับไปปากด่านแล้ว โจรจินที่ป้าโจวก็ถอยกลับไปรักษาฉางเฟิงแล้วด้วย”

“…กองทัพสามทางรวมพลกันแล้ว รวดเดียวขับไล่โจรจินกลับไปแน่นอน…”

……………………………………….

……………………………………….

ปลายเดือนหนึ่ง แม้ฤดูใบไม้ผลิเริ่มแล้ว แต่แดนเหนือยังคงเต็มไปด้วยหิมะและน้ำแข็ง หนาวเย็นไปหมด

เสียงกลองฉับพลันดังขึ้นระหว่างฟ้าดิน นี่เป็นกลองระดมพล ชั่วขณะทหารขยับพร้อมเพรียง นอกเมืองกำลังพลหมื่นกว่านายรวมตัวตั้งแถวอย่างรวดเร็วยิ่ง ธงนานาสีสันเครื่องแบบทหารประดับผืนดิน เคร่งขรึมและสง่างาม

ในกระโจมชิงเหอปั๋วบนร่างสวมขุดเกราะหนาชุดหนึ่ง แผ่นเกราะเก่า เสื้อคลุมตัวใหญ่หลังร่างย้อมคราบเลือดประปราย

“ตามนี้ แม่ทัพทั้งหลายฟังคำสั่ง แบ่งทหารเป็นสี่ทาง ขับไล่โจรจินออกจากดินแดนของเรา” เขาเอ่ย เสียงแม้นับไม่ได้ว่ากังวาน แต่สองตาดุดันน่าเกรงขาม

ในกระโจมแม่ทัพสิบกว่าคนยืนเคร่งขรึมอยู่ ได้ยินพลันขานรับเสียงพร้อมเพรียง

แต่มีแม่ทัพคนหนึ่งเพียงขยับปากนิดหนึ่ง สีหน้ากังวล

“ท่านปั๋ว” เขาอดกลั้นแล้วอดกลั้นอีก ในที่สุดก็ยังคงก้าวออกมา “ผู้น้อยคิดว่า อย่าต้อนศัตรูจนตรอก ชาวจินพ่ายแพ้ถอยยับเยิน ป้องกันอย่าให้มีเล่ห์หลอก”

ประโยคนี้ของเขาเอ่ยออกมาแม่ทัพรอบด้านไม่ผิดคาดอันใด กระทั่งชิงเหอปั๋วก็สีหน้านิ่งสงบ เห็นชัดยิ่งว่าคำนี้ไม่ใช่เขาเอ่ยครั้งแรก

“ผู้บัญชาการทหารหยาง” ชิงเหอปั๋วเอ่ย “ท่านไตร่ตรองรอบคอบนัก หลายวันนี้ทหารสอดแนมทิศต่างๆ ไปสอดแนมอย่างใกล้ชิดแล้วว่าชาวจินมีการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงอันใดหรือไม่”

ผู้บัญชาการทหารหยางพยักหน้า สีหน้าขัดเขินอยู่บ้าง

“ท่านปั๋ว ผู้น้อยไม่ได้รักตัวกลัวตาย” เขาเอ่ย “เพียงแต่กลยุทธ์ของชาวจินนี่ไม่อาจดูแคลน พวกเขาทหารแข็งแกร่งอาชาว่องไว ถนัดโจมตีกะทันหันรุกเร็วอย่างที่สุด”

คำพูดเขายังไม่ทันเอ่ยจบก็เห็นสายตาที่ชิงเหอปั๋วมองเขาเปลี่ยนเป็นเย็นชา ในใจอดไม่ได้ยิ้มเจื่อนทีหนึ่ง พูดผิดแล้วสิ

ชิงเหอปั๋วยกตนว่าเป็นผู้อาวุโสแห่งแดนเหนือมาตลอด เกลียดคนเหล่านี้ที่ทำเหมือนเขาเป็นหน้าใหม่ที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่อยากได้ยินว่าเขาไม่คุ้นเคยกับชาวจินคำพูดเช่นนี้

ผู้บัญชาการทหารหยางก้มศีรษะลง

“ท่านปั๋วย่อมรู้ดีที่สุด” เขาเอ่ยเสริมประโยคหนึ่ง

เขาย่อมรู้ดี แล้วเขาก็จะให้คนใต้หล้ารู้ดีด้วยว่าเขาโจวเจียงคู่ควรกับความดีความชอบที่แดนเหนือ เขาโจวเจียงเดิมก็ควรเป็นชิงเหอกง

ชิงเหอปั๋วไม่มองผู้บัญชาการทหารหยางอีก ยกมือสะบัดดาบยาว

“โจรจินเหิมเกริมสังหารประชาชนของเรา ทำลายบ้านเมืองของเรา ผู้ใดเป็นประชาชนต้าโจว ถือว่าอาฆาตแค้นศัตรูร่วมกัน สังหารโจรตอบแทนประเทศ” เขาเอ่ย

แม่ทัพทั้งหลายในกระโจมพากันสะบัดแขน

“สังหารโจรตอบแทนประเทศ”

เสียงตะโกนนี่ดังออกไป กำลังพลนอกเมืองก็ชูแขนตะโกนดังด้วยอย่างรวดเร็วยิ่ง

“สังหารโจรตอบแทนประเทศ สังหารโจรตอบแทนประเทศ”

ชั่วขณะม้วนตลบผืนดิน อำนาจประหนึ่งรุ้ง

……………………………………….

……………………………………….

เพราะข่าวดีต่อเนื่อง หลังผ่านพ้นเดือนหนึ่งเมืองหลวงจึงฟื้นกลับมาครึกครื้นดังเดิม ถึงขั้นครึกครื้นยิ่งกว่าวันวาน คล้ายผู้คนต้องการชดเชยความครึกครื้นของการเฉลิมฉลองที่หายไปในเดือนหนึ่งกลับมา

แม้มีขุนนางมีองครักษ์เปิดทาง ยามหวงเฉิงกลับมาถึงบ้านก็ช้ากว่าวันวานมากนัก

เขาโขยกเขยกลงจากรถม้า ข้ารับใช้ทั้งหลายที่ประตูแห่เข้ามา คนหนึ่งในนั้นขยับเข้าใกล้ส่งจดหมายฉบับหนึ่ง

“นายท่าน จดหมายของในร้านขอรับ” เขาก้มศีรษะเอ่ย

หวงเฉิงมีกิจการร้านค้าไม่น้อย แต่ไม่มีร้านไหนจะเขียนจดหมายให้เขา

ร้านนี่ก็คือคำเรียกแทนอวี้ฉือไห่

หวงเฉิงเดินเข้าประตูบ้านพลางแกะจดหมายออก

“ข้าก็อยากดูสิว่าขี้ข้าสุนัขตัวนี้จะพูดอะไร” เขาท่าทางเคียดแค้นเอ่ยขึ้น สายตาจับบนกระดาษจดหมายปุบกลับตะลึง “ท่านปู่?”

ท่านปู่?

เขาเรียกใคร? คนที่คู่ควรให้หวงเฉิงเรียกว่าปู่สักคำล้วนเป็นคนตายไปหมดแล้ว ข้ารับใช้ทั้งสองข้างไม่เข้าใจอยู่บ้าง

หวงเฉิงก็ไม่เข้าใจนักเช่นกัน มองสองคำบนกระดาษจดหมาย

บนกระดาษจดหมายหนึ่งแผ่นมีเพียงอักษรตัวใหญ่เขียนด้วยหมึกดำเข้มสองคำ

ท่านปู่

ท่านปู่? หมายความว่าอย่างไร? หวงเฉิงอดไม่ได้ขบคิดหลายรอบ ฉับพลันคิดถึงอันใดขึ้นได้ สีหน้าพลันแดง สองสามทีก็ฉีกจดหมายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

“ขี้ข้าสุนัข ถึงกับกล้าหยอกข้าเล่น” เขาเอ่ยด่าแล้วหมุนตัวยกมือขึ้น “ใครมานี่ซิ สำเร็จโทษคนของขี้ข้าสุนัขแซ่อวี้คนนั้นให้หมด”

ข้ารับใช้ฟังประโยคนี้เข้าใจฉับพลันขานรับพาคนวิ่งออกไปข้างนอกทันที

และเวลานี้ที่ป้าโจว อวี้ฉือไห่ที่ถูกแม่ทัพกลุ่มหนึ่งห้อมล้อมยืนอยู่บนประตูเมืองก็พลันยกมือนับ

“เฮ้อ” เขาเอ่ยขึ้น “หลานคนดี”

อะไร?

เขาคิดถึงหลานของเขาหรือ? แม่ทัพรอบด้านมองมาอย่างไม่เข้าใจ

หน้าที่ถูกลมพัดจนแดงของอวี้ฉือไห่ปรากฏรอยยิ้ม

“ต่อไปข้าไม่ต้องแสร้งทำเป็นหลานแล้ว” เขาเอ่ยต่อ “พวกเจ้าสมควรเป็นหลานจริงๆ แล้ว”

พูดจบก็ยกมือโบกทีหนึ่ง

“บุรุษทั้งหลาย ศัตรูถูกล่อรุกเข้ามาลึกแล้ว รวบตาข่ายจับเถิด”

พร้อมกับคำพูดของเขา แม่ทัพสองด้านพลันก้มศีรษะขานรับ มองกำลังพลแถวแล้วแถวเล่าพุ่งไปรอบด้านแล้ว อวี้ฉือไห่ที่ยืนอยู่บนประตูเมืองถึงหมุนตัว

“ข้าก็ควรไปดูสถานที่อันรุ่งเรืองนั่นสักหน่อยแล้ว” เขาเอ่ย รับผ้าคลุมกันลมที่ผู้ติดตามส่งมา ปิดศีรษะกับใบหน้าไว้ก้าวยาวจากไป