ตอนที่ 364 ราชโองการลับ
พอหรงจิงพูดจบหรงเฉิงเยี่ยคุกเข่าถวายพระพรหมื่นปีในทันใด และในทันทีที่ได้ยิน เหล่าขุนนางต่างคุกเข่าลงพร้อมเพรียง แซ่ซ้องถวายพระพรหมื่นปีอย่างรวดเร็ว
หรงจิงมองดูใบหน้าปานหยกที่ยิ้มอย่างพึงพอใจในผลงานของหรงเฉิงเยี่ย ส่วนหรงเฉิงเยี่ยยังคงก้มหน้ายิ้มน้อยๆ ประสานมือให้หรงจิง
เมื่อวานนี้หรงจิงไม่ได้พูดอะไรกับเขา เพียงมอบขลุ่ยทะเลเมฆมรกตแก่เขาเท่านั้น หรงเฉิงเยี่ยเมื่อกลับไปแล้วพิจารณาใคร่ครวญก็เข้าใจความหมายในนั้นได้
เมื่อหนึ่งปีที่แล้วหรงจิงเคยพูดกับเขาถึงเรื่องเตรียมจัดการกับข้าราชการทุจริตในราชสำนัก พวกมอดที่คอยกัดแทะราชสำนักของเขาให้ผุกร่อน ถึงครั้งนั้นเขาจะพูดขึ้นเพียงประโยคเดียว แต่หรงเฉิงเยี่ยฟังแล้วรู้สึกได้ว่าพี่ชายของเขาคนนี้มีความตั้งใจนี้อยู่ แต่ทั้งคู่ก็เข้าใจดีว่ายังไม่ถึงเวลาอันเหมาะสม
ในตอนนั้นพวกเขาทั้งสองกำลังเดินหมากกันอยู่แล้วซูกงกงก็เข้าไปทูลฮ่องเต้ว่าขลุ่ยทะเลเมฆมรกตที่ฮ่องเต้หามาตลอดได้หาพบแล้ว กำลังให้คนนำมาถวาย หรงเฉิงเยี่ยได้ยินเข้าก็ดีใจ
จึงรีบทูลขอกับหรงจิงในทันที แต่ไม่ว่าเขาจะออดอ้อนอยู่นานเท่าไรก็ไม่เป็นผล
แต่สุดท้ายหรงจิงได้ให้สัญญากับเขาว่า ‘วันใดที่เข้าสู่ยุคปราบปรามการทุจริต วันนั้นมันจะเป็นของเจ้า’
ในหนึ่งปีมานี้หรงจิงมอบเงินช่วยเหลือไปแล้วหลายครั้ง เขามักพูดว่า ยิ่งต้องการจับพวกมันให้ได้ก็ยิ่งต้องทำให้พวกมันได้ใจ ดังนั้นเขาจึงต้องขุนหนูพวกนั้นให้อ้วนพี เมื่อถึงวันเชือดจะได้มีเนื้อมีหนัง จึงจะทำให้ชาวโลกได้ตระหนักถึงความสำคัญของการปราบปรามลงโทษการทุจริต
ดังนั้นขลุ่ยทะเลเมฆมรกตเลานี้จึงเปรียบเสมือนโองการลับจากหรงจิงส่งไปถึงหรงเฉิงเยี่ย
เมื่อกลับถึงตำหนัก หรงเฉิงเยี่ยเพียงคิดใคร่ครวญชั่วครู่ก็กระจ่าง หรงจิงได้วางกับดักไว้นานและตอนนี้ก็ถึงเวลาเก็บแหอวนแล้ว
หรงเฉิงเยี่ยยิ้มและร่วมมือกันได้อย่างรู้ใจยิ่ง การประชุมเรื่องใหญ่ในราชสำนักวันนี้ เพราะเหล่าขุนนางใหญ่ต่างมีความคิดกันไปต่างๆ นานา จึงผ่านไปอย่างเร่งรีบ กระทั่งสายมากแล้ว พวกขุนนางเข้าราชสำนักมาประชุมตั้งแต่ยามเหม่าถึงตอนนี้ผ่านยามเฉินต่างพากันหิวท้องกิ่ว หรงจิงเองก็เข้าใจดีจึงเตรียมสั่งเลิกประชุม
แต่พอลุกขึ้นแล้วก็กลับนั่งลงอีก จากนั้นหยิบรายงานฉบับหนึ่งขึ้นมา
“ขุนพลจินอยู่หรือไม่”
หรงจิงกวาดตามองดูรายงานในมือ เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นขุนพลจินเดินออกมาจากฝั่งขุนศึก มายืนอยู่หน้าที่ประทับแล้วคุกเข่าลงข้างหนึ่งต่อหน้าหรงจิง
“กระหม่อมอยู่นี่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เสียงราวระฆังใหญ่ สมควรยกย่องว่าถึงจะแก่แล้วแต่ก็ยังแข็งแรงอยู่ ระยะหลังนี้บ้านสกุลจินมีความเคลื่อนไหวถี่ขึ้น มีความช่ำชองในการเป็นขุนนางมากขึ้น ขณะเดียวกันก็ยิ่งไม่เห็นเขาเป็นฮ่องเต้ไปแล้ว ถึงแม้เรื่องนี้ไม่จัดว่าเป็นเรื่องใหญ่ แต่อย่างไรก็ควรต้องสะกิดกันบ้าง
ซึ่งนี่คืออุบายในการเป็นฮ่องเต้ของหรงจิง
หรงจิงเงยหน้า คงปล่อยให้เขาทำความเคารพอยู่เช่นนั้นเป็นนานโดยไม่ตอบทั้งไม่เรียกให้ลุกขึ้น ปล่อยให้เขาต้องคุกเข่าอยู่เช่นนั้น หรงจิงนำตราประทับอันใหญ่ประทับลงบนเอกสารนั้นอย่างใจเย็น จากนั้นเขียนราชโองการฉบับหนึ่งด้วยตนเอง แล้วส่งให้ซูกงกง
พวกที่อยู่เบื้องล่างต่างพอเห็นเค้าลางกันบ้างแล้ว เพียงแต่ส่วนมากยังไม่รู้สาเหตุเบื้องหลังว่าคืออะไร
ขุนพลจินขุนนางใหญ่ผู้ซึ่งหรงจิงถือเป็นกระดูกต้นแขนเสมอมา บัดนี้ถูกฮ่องเต้ทำโทษให้คุกเข่าอยู่กับพื้น
เมื่อถูกหรงจิงปล่อยให้คอยอยู่เป็นนานเช่นนั้น โทสะในอกของขุนพลจินก็เริ่มคุกรุ่นขึ้นมา เขาเป็นถึงกั๋วกงขั้นที่หนึ่งในรัชสมัยนี้ ฐานะสูงส่งทั้งยังยิ่งใหญ่ในกองทัพ หรงจิงลงโทษเขาคุกเข่าอยู่ต่อหน้าผู้อื่นเช่นนี้เป็นการฉีกหน้าเขา
เขาปักหลักลงฐานที่ชังโจวมานานปี ประจำการรักษาด่านเทือกเขาสวินหลงทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือ มีกองกำลังทหารสี่แสนอยู่ในมือ ถึงจะหยิ่งลำพองขึ้นทุกวันแต่ไม่ถึงกับสิ้นความภักดี แต่เขาเป็นขุนนางใหญ่อันดับต้น ทั้งฮ่องเต้พระองค์ก่อนได้ทรงสั่งเสียไว้ก่อนสวรรคตกลับต้องมาถูกฮ่องเต้ตำหนิเช่นนี้
ขณะเขากำลังจะเอ่ยปาก หรงจิงก็เงยหน้าขึ้น ทำสีหน้าตกใจเมื่อเห็นขุนพลจินคุกเข่าอยู่เบื้องล่าง เขาอึ้งอยู่ชั่วขณะแล้วเอ่ยขึ้นว่า
“ขุนพลจินไยยังคงคุกเข่าอยู่อีก รีบลุกขึ้นเถิด!”
ตอนที่ 365 สอบถามกลางท้องพระโรง
เมื่อเสียงของฮ่องเต้ดังขึ้น บรรดาขุนนางเบื้องล่างต่างถอนใจโล่งอก ที่แท้ทรงลืมไปนั่นเอง มีเพียงหรงเฉิงเยี่ยเท่านั้นที่เฝ้าดูการแสดงบนเวทีของหรงจิงอยู่
ส่วนพวกที่คุ้นเคยกับหรงจิงจำนวนมากก็สังเกตเห็นว่ามุมปากซ้ายของหรงจิงในตอนนี้กระดกขึ้นมาน้อยๆ และยิ้มบางๆ ในขณะที่พูด แต่หรงเฉิงเยี่ยนั้นรู้ว่าหรงจิงอารมณ์ไม่ดีอย่างยิ่งอยู่ในขณะนี้ การแสดงออกของเขาเช่นนี้ คือการกดข่ม การควบคุมตนเองของเขาเพื่อแผนการระยะยาว
ใจที่กังวลมานานของหรงเฉิงเยี่ยระงับลงได้ในที่สุด เมื่อวานเขาไม่ทันได้พูดคุยกับอวิ๋นเซียงฉือ ทำได้แต่เพียงทิ้งตัวอักษรคำว่ารอไว้ตัวหนึ่ง แต่ไม่รู้ว่านางจะเข้าใจและรู้ถึงแผนการของพวกเขาหรือไม่
เขาไม่มีความมั่นใจมากนัก ถึงแม้เหอเจี่ยนสุยจะรับประกันกับเขาอย่างหนักแน่นว่าเซียงฉือเฉลียวฉลาด ขอเพียงนางได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วน ก็จะสามารถเข้าใจและร่วมมือด้วยได้
จวบจนได้เห็นหรงจิงแสดงอาการออกมาอย่างในขณะนี้แล้วเขาจึงรู้ว่าเหอเจี่ยนสุยพูดถูก นางฉลาดจริงๆ เพียงแค่การส่งสัญญาณเล็กน้อยเท่านั้นคนใหม่ในแวดวงการเมืองคนนี้ก็เหมือนดั่งปลาได้น้ำแล้ว
หรงเฉิงเยี่ยหัวเราะ แล้วฟังขุนพลจินพูดหลังจากลุกขึ้นแล้ว
“กระหม่อมอยู่ที่นี่แล้วพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาททรงมีรับสั่งอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ขุนพลจินค่อยๆ ลุกขึ้นช้าๆ แล้วคำนับหรงจิงถามขึ้นอย่างถ่อมตน เขาไม่ใช่พวกตัวใหญ่ไร้สมอง ถึงแม้จะไม่พอใจเต็มประดา แต่จะไม่แสดงปฏิกิริยาใดในขณะนี้อย่างเด็ดขาด
จะต้องลองฟังดูว่าหรงจิงจะพูดอะไร ผู้ชายคนนี้ ในขณะที่พระโอรสทั้งสามแก่งแย่งบัลลังก์กันเมื่อครั้งก่อน เขาได้ใช้มือของเขาคู่นี้ช่วยให้หรงจิงที่ไม่มีแววชนะเลยได้ขึ้นครองบัลลังก์จนได้
หรงจิงเองก็ได้ทำตามคำมั่นที่ให้กับเขาไว้ด้วยการแต่งงานกับบุตรสาวของเขา ให้บรรดาศักดิ์กั๋วกง[1]เป็นเกียรติยศแก่เขาไปจนชั่วลูกชั่วหลาน แต่ระยะนี้เขามักรู้สึกว่าหรงจิงแสดงออกต่อเขาแปลกไป ทั้งดูเหมือนจะไม่พึงใจจินกุ้ยเฟยเท่าที่ควร
หรงจิงหยิบราชโองการที่ประทับตราแล้วจากมือซูกงกง มองดูอีกครั้งแล้วส่งให้ซูกงกง พูดขึ้นว่า
“เมื่อครึ่งเดือนก่อนข้าได้สั่งการเองว่าอนุญาตให้อวิ๋นเทียนเจ้าเมืองหลานโจวคนก่อนปลดเกษียณกลับสู่ภูมิลำเนาเดิม แต่น่าเสียดายว่าเขาได้เสียชีวิตลงที่ชังโจว เมื่อเป็นเช่นนี้ข้าจึงได้เขียนราชโองการขึ้นอีกฉบับหนึ่ง รบกวนท่านขุนพลส่งคนไปช่วยนำกระดูกอวิ๋นเทียนกลับไปฝังยังบ้านเกิดด้วย”
คำพูดของหรงจิงสร้างความฮือฮาให้เกิดขึ้น อวิ๋นเทียน เจ้าเมืองหลานโจวคนก่อน เขารับราชการมาสี่สิบปี เป็นขุนนางขั้นที่หนึ่ง ในบรรดาสิบหกหัวเมืองของแคว้นเซียวจิ่งนี้ หลานโจวจัดเป็นเมืองที่สงบและมั่งคั่งที่สุด
แต่เมื่อสองปีที่แล้วได้เกิดคดีทุจริตปฏิบัติหน้าที่มิชอบที่ครึกโครมขึ้น ทำให้ครอบครัวเจ้าเมืองหลานโจวทั้งบ้านถูกจองจำ ในปีถัดมาเนื่องจากการเสด็จสวรรคตของไทเฮา มีการนิรโทษกรรมทั้งประเทศ ทั้งครอบครัวจึงสามารถรักษาชีวิตไว้ได้ และฮ่องเต้ก็ได้เมตตาให้ความเป็นธรรม
โดยได้อนุญาตให้หลานสาวของอวิ๋นเทียนมีสิทธิ์เข้าสอบข้าราชสำนักสตรี และหญิงสาวคนนี้ก็ได้กลายมาเป็นข้าราชสำนักสตรีงานอักษรของฮ่องเต้ เพื่อเป็นการปลอบขวัญให้กำลังใจแก่ข้าราชบริพาร ฮ่องเต้จึงได้อนุญาตให้ครอบครัวนางทั้งหมดย้ายจากชังโจวกลับคืนสู่หลานโจว
นี่เป็นการช่วยให้ครอบครัวนางไม่ต้องรับโทษทัณฑ์ทำงานหนัก แต่พวกเขาเพิ่งจะรู้ในตอนนี้ว่าอวิ๋นเทียนได้เสียชีวิตแล้วที่ชังโจวซึ่งเป็นอาณาเขตของขุนพลจิน ทั้งกระดูกก็ไม่ได้ถูกนำกลับไป
เรื่องนี้มีประเด็นน่าสงสัย อีกทั้งฝ่าบาทยังพูดเรื่องนี้ขึ้นมาในการประชุมใหญ่ ทำให้เห็นเจตนาต้องการตักเตือน
ขุนนางทั้งมวลจึงต่างรู้กระจ่างแล้วว่าการกระทำทุกอย่างของหรงจิงเมื่อครู่ ล้วนเป็นความจงใจ
สีหน้าของขุนพลจินเปลี่ยนไปสามตลบ เขาเป็นขุนนางขั้นที่หนึ่ง เป็นถึงกั๋วกงบิดาของกุ้ยเฟย แต่กลับต้องถูกสั่งให้ไปดำเนินการเรื่องศพของขุนนางต้องโทษคนหนึ่งด้วยตนเองเช่นนี้
หรงจิงกำลังกระทบเขาอย่างชัดแจ้ง ซูกงกงรีบนำราชโองการฉบับนั้นทูลขึ้นเหนือหัวส่งไปถึงเบื้องหน้าขุนพลจินอย่างนอบน้อม
เพราะเหตุนี้สีหน้าของขุนพลจินจึงเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม ทว่าเขาไม่อาจออกอาการได้
คำสั่งของฮ่องเต้ เขาไม่อาจขัดขืน
[1] กั๋วกง (国公) เป็นตำแหน่งบรรดาศักดิ์สูงสุดชั้นกง ซึ่งขุนนางจะได้รับพระราชทานจากฮ่องเต้