บทที่ 622 การกลับมาของใบหน้าที่คุ้นเคย

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

บทที่ 622 การกลับมาของใบหน้าที่คุ้นเคย
เมื่อมีการเชื่อมต่อกันแบบตามเวลาจริงระหว่างแผ่นหินรับภารกิจและเครือข่ายวิญญาณ ประกาศฉบับที่สองของหวังเป่าเล่อจึงเป็นการประกาศตำแหน่งงานใหม่ได้แก่ผู้ดูแลระบบภารกิจ!

งานของผู้ดูแลคือการช่วยเหลือผู้ฝึกตน ไม่ว่าจะที่ฝึกตนอยู่นอกสำนักวังเต๋าไพศาลหรือไม่สามารถจะกลับมายังสำนักได้ด้วยเหตุผลใดก็ตาม โดยการช่วยเก็บสิ่งของที่พวกเขาได้รับจากภารกิจและส่งไปยังสำนักให้ และโอนเงินรางวัลไปให้กับผู้ฝึกตนด้วย งานนี้จะช่วยประหยัดเวลาให้กับศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลเป็นอันมาก เพราะว่าการเดินทางไปและกลับก็เป็นระยะทางไกลอยู่ไม่น้อย

ความคิดนี้เป็นของประมุขสำนักสวี คล้ายกันกับบริการส่งของที่มีอยู่ในสหพันธรัฐ ก่อนที่หวังเป่าเล่อจะมาเป็นผู้อาวุโสสูงสุด คงจะเป็นเรื่องยากหากจะขอตั้งตำแหน่งใหม่ จำเป็นต้องใช้ความเชื่อมั่นอย่างสูงทั้งยังมีความเสี่ยงมาก

สถานะของหวังเป่าเล่อในปัจจุบันนั้นแก้ปัญหาทั้งมวลได้สิ้น ยิ่งไปกว่านั้น กฏใหม่นี้กล่าวไว้ด้วยว่ามีเพียงศิษย์จากสหพันธรัฐเท่านั้นจึงจะมาทำหน้าที่นี้ได้

แน่นอนว่ายังมีรายละเอียดปลีกย่อยที่ต้องเพิ่มเติม รวมไปถึงเรื่องของค่าชดเชยหากมีปัญหาเกิดขึ้น แต่หวังเป่าเล่อก็ไม่จำเป็นต้องกังวลใจ เพราะประมุขสำนักสวีจะจัดการสะสางทุกอย่างให้หมด

ประกาศทั้งสองฉบับแรกพาให้หวังเป่าเล่อต้องคิดถึงฉบับที่สาม ได้แก่…การก่อตั้งตำหนักกู้ยืม…โดยใช้แต้มการรบของเขาและรัฐบาลสหพันธรัฐเป็นเงินทุนจัดตั้ง!

ตำหนักกู้ยืมจะเปิดให้กับศิษย์แห่งสำนักวังเต๋าไพศาลทุกคน จะมีการวัดระดับความน่าเชื่อถือรายบุคคลให้กับทุกๆ คน ยิ่งไปกว่านั้น วงเงินการกู้ยืมก็จะสูงขึ้นตามระดับปราณ เงินกู้แต่ละก้อนก็จะคิดดอกเบี้ยด้วย!

ความรุนแรงของประกาศฉบับที่สามนี้ใกล้เคียงกับการทิ้งระเบิดต้านทานวิญญาณหลายลูกลงไปบนสำนักวังเต๋าไพศาล ทำเอาศิษย์ทุกคนตื่นตะลึงและเป็นการแสดงความร่ำรวยมหาศาลของหวังเป่าเล่อและสหพันธรัฐไปพร้อมๆ กัน!

ตำหนักกู้ยืมนั้นมีหวังเป่าเล่อและรัฐบาลสหพันธรัฐหนุ่นหลัง แปลว่าเงินที่อยู่ในตำหนักนั้นปลอดภัยแน่นอน และเงินกู้ทุกก้อนก็จะถูกเก็บกลับมาพร้อมดอกเบี้ยเสมอ

ระดับการฝึกปราณของหวังเป่าเล่ออาจจะไม่ได้สูงพอจะเป็นหลักประกันได้ แต่สถานะของเขาก็พอจะยืนยันได้ว่าคงไม่มีใครกล้าบิดพลิ้ว ทุกๆ คนเรียนรู้อุปนิสัยของเขาเมื่อได้เห็นชายหนุ่มไต่เต้าขึ้นไปสู่จุดสูงสุด ทุกคนรู้ดีว่าหวังเป่าเล่อนั้นดุร้ายและไร้ปราณีได้มากเพียงใด…ซุนไห่เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด!

การออกประกาศสามฉบับติดๆ กันนี้ทำให้สำนักวังเต๋าไพศาลรวมทั้งชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล แต่ความเปลี่ยนแปลงนี้ก็เป็นการแก้ปัญหาอย่างตรงจุด คงไม่มีใครอยากจะกลับไปอยู่ในสภาวะเดิมหลังจากเริ่มคุ้นชินกับความเปลี่ยนแปลงแล้ว เป็นเรื่องยากยิ่งสำหรับคนส่วนมากที่จะยอมละทิ้งความสะดวกสบายที่เคยได้มาจนเคยชิน

มีคนจำนวนหนึ่งเช่นกันที่รู้ทันแผนการณ์ของหวังเป่าเล่อและออกมาประท้วงกฎกติกาใหม่ แต่หวังเป่าเล่อนั้นมีทั้งอำนาจและการสนับสนุนจากเฟิ่งชิวหรันอยู่ในมือ เสียงประท้วงก็ค่อยๆ จางหายไปเองตามเวลา ยิ่งไปกว่านั้น หวังเป่าเล่อก็ไม่สนใจจะเปลี่ยนใจคนตำนวนน้อย เพราะสิ่งที่เขาต้องการก็คือการอำนวยความสะดวกให้กับคนส่วนใหญ่

“พวกเขาจะสาปแช่งข้าก็ได้ หากแช่งแล้วใช้บริการเหล่านั้นนะ!” ประโยคนี้เป็นคำตอบของหวังเป่าเล่อที่ให้กับประมุขสำนักสวีตอนเมื่อครั้งที่เริ่มปรึกษากันเรื่องการเปิดตำหนักกู้ยืม

คำพูดเหล่านั้นเองที่เกลี้ยกล่อมให้ประมุขสำนักยอมใจอ่อน เมื่อได้ยินดังนั้นเขาก็ก้มศีรษะคำนับและรีบไปจัดการทำตามแผนของหวังเป่าเล่อทันที

แผนทั้งสามมาตรการถูกนำไปดำเนินการ ขณะที่สำนักวังเต๋าไพศาลเริ่มผ่านการเปลี่ยนแปลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป และขณะที่มีคนบางคนเริ่มต้องหล่นหายไปกับความเปลี่ยนแปลง เมี่ยเลี่ยจื่อเริ่มแตกตื่น

หวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรันร่วมมือกันในช่วงนี้ และหลายๆ อย่างก็เริ่มหลุดลอยออกจากมือของเมี่ยเลี่ยจื่อไป ชายชรานั้นไม่มีอำนาจใดๆ เลยต่อหน้าความร่วมมือของทั้งสอง และจู่ๆ อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันก็กลับมาเป็นกลางอีกครั้ง เขาเลือกที่จะไม่ออกเสียงในเรื่องใดๆ ทั้งสิ้น เมี่ยเลี่ยจื่อยิ่งกระวนกระวายมากขึ้นขณะที่ความไม่พอใจที่เขามีต่อหวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรันก็เพิ่มพูนขึ้น

เขาได้เห็นความเปลี่ยนแปลงที่เข้าปกคลุมสำนัก ทั้งความสะดวกสบายที่เครือข่ายวิญญาณมอบให้พวกเขา ทั้งความอันตรายที่มันนำมา อีกทั้งการที่มันกัดเซาะอำนาจของเขา หากเมี่ยเลี่ยจื่อปล่อยให้ทุกสิ่งดำเนินไปเช่นนี้ เขารู้สึกว่าในไม่ช้าสำนักวังเต๋าไพศาลจะต้องกลายเป็นเนื้อเดียวกันกับสหพันธรัฐเป็นแน่ หากรอให้ถึงตอนนั้น การจะแยกทั้งคู่ออกจากกันคงจะเป็นไปไม่ได้อีกต่อไป

มีอีกสิ่งหนึ่งที่เมี่ยเลี่ยจื่อยอมรับไม่ได้ ในใจเขา สำนักวังเต๋าไพศาลต้องเป็นใหญ่ และคนนอกที่ไม่ได้รับการยอมรับจากสำนักไม่มีสิทธิกระทั่งเข้ามาหายใจภายใต้สำนักแห่งนี้!

การขึ้นสู่อำนาจของหวังเป่าเล่อและโครงการใหม่ๆ ของเขานั้น ทำให้สถานะของศิษย์จากสหพันธรัฐดีขึ้นอย่างมากในสำนักวังเต๋าไพศาล ผู้ฝึกตนหลายคนของสำนักเริ่มจะชินเสียแล้ว พวกเขาต่างก็รู้สึกอยู่ข้างในลึกๆ ว่าทุกๆ คนนั้นเท่าเทียมกัน

ทุกๆ สิ่งก่อตัวกันเป็นความเครียดของเมี่ยเลี่ยจื่อ แต่ทว่า เขารู้ดีว่าเมื่อหวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรันยังคงร่วมมือกันอยู่เช่นนี้ เขาแทบไม่มีโอกาสจะโต้ตอบเลย

ชายชราจำเป็นต้องบอกตนเองว่าให้กัดฟันอดทนรอโอกาส!

เมื่อโอกาสมาถึง และเมื่อเขาตัดสินใจจะจู่โจม เขาจะสร้างพายุขนาดยักษ์ จะปลดปล่อยความโกลาหลและทำลายระเบียบกฎเกณฑ์ และถล่มทำลายทุกสิ่งทุกอย่างในราบเป็นหน้ากลอง!

เมื่อคิดเช่นนั้น เมี่ยเลี่ยจื่อจึงตัดสินใจเข้าถือสันโดษ เขาตั้งใจจะเพิ่มพูนพลังปราณ และในเวลาเดียวกันก็จะใช้เวลาไปกับการอบรมศิษย์เอกอย่างตู้กูหลิน ผู้ซึ่งเขาฝากความหวังเอาไว้มาก ความต้องการของเขาคือเพื่อให้ตู้กูหลินบรรลุขั้นการฝึกปราณให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

และเช่นนั้นเอง สิทธิขาดการควบคุมสำนักวังเต๋าไพศาลจึงตกไปอยู่ในมือของหวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรันในช่วงนี้ เพราะฉะนั้นแล้วจึงไม่มีความขัดข้องเรื่องพันธุ์กล้ารุ่นที่สาม ข้อเสนอนั้นผ่านอย่างไร้ปัญหา พวกเขาจะมาถึงในอีกหนึ่งเดือนให้หลัง

ด้วยอำนาจของเขา หวังเป่าเล่อใช้นามของเฟิ่งชิวหรันสั่งให้คนสองคนที่เขาต้องการเดินทางมาพร้อมกับพันธุ์กล้ารุ่นที่สามด้วย!

คนแรกก็คือรองเจ้านครอาณานิคมดาวอังคาร ต้นไม้ยักษ์!

คนที่สองก็คือ…หลี่อู๋เฉิน!

การคัดเลือกพันธุ์กล้ารุ่นใหม่นั้นเป็นเรื่องภายในของสหพันธรัฐ ยิ่งไปกว่านั้น เฟิ่งชิวหรันเองก็ไม่มีทางล่วงรู้ได้เลยว่าหวังเป่าเล่อได้เข้าไปในความทรงจำของต้นไฮยาซินมา เมื่อเป็นเช่นนี้ นางจึงไม่ได้ใส่ใจว่าใครจะมาร่วมอยู่ในกลุ่มพันธุ์กล้ารุ่นที่สามบ้าง การประมาทเลินเล่อนี้ทำให้หลี่อู๋เฉินมาปรากฏตัวอยู่ท่ามกลางพันธุ์กล้าทั้งหนึ่งร้อยคนในหนึ่งเดือนให้หลัง เฟิ่งชิวหรันมองเห็นแววตาที่งงงวยและวิตกกังวลของหลี่อู๋เฉินขณะที่เขายืนอยู่บนวงแหวนปรานขอสำนัก ลมหายใจของนางเริ่มถี่ขึ้น

หวังเป่าเล่อแสร้งทำเป็นไม่เห็น เฟิ่งชิวหรันก็เริ่มนึกสงสัยแต่ไม่มีโอกาสเหมาะๆ ที่จะพูด นางทำได้เพียงเก็บซ่อนความสงสัยไว้ในใจขณะที่จ้องมองผ่านฝูงชนไปยังหลี่อู๋เฉิน คลื่นอารมณ์อันหลายหลากประเดประดังกับมาในดวงตาของนาง

หลี่อู๋เฉินมองเห็นเฟิ่งชิวหรันแล้ว แต่ชายหนุ่มจำนางไม่ได้เลย แต่ทว่าเขาจำหวังเป่าเล่อ ผู้ที่ขณะนี้นั่งอยู่ข้างเฟิ่งชิวหรันและรายล้อมไปด้วยผู้ฝึกตนจำนวนมากได้ดี ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะรุดหน้าไปได้ไกลในหน้าที่การงาน

ความรู้สึกอิจฉาปะทุขึ้นในใจของหลี่อู๋เฉินแทบจะในทันที สหพันธรัฐรู้ดีถึงสถานะใหม่ของหวังเป่าเล่อ พวกเขาเพิ่งได้รับข่าวไปเมื่อเร็วๆ นี้ และข่าวนั้นสร้างความปั่นป่วนอยู่ไม่ใช่น้อย

ชายหนุ่มเพิ่งจะรู้ข่าวนี้ก่อนจะออกเดินทางมา แต่ก็ไม่ได้ทำให้ข่าวนั้นน่าตื่นตกใจน้อยลง หลี่อู๋เฉินถอนใจด้วยความกลัดกลุ้ม เพราะตัวเขาเองก็เคยบาดหมางกับหวังเป่าเล่อมาก่อน และหวังเป่าเล่อเป็นคนที่เชื่อมั่นในหลักการตาต่อตา หลี่อู๋เฉินจึงเชื่อว่าเขาคงจะต้องพบเจอกันความยากลำบากเป็นแน่ แถมเขายังมีใจให้กับหนึ่งในอดีตศิษย์ของหวังเป่าเล่อขณะที่ศึกษาอยู่ ณ สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย ยิ่งทำให้เขากังวลมากขึ้นไปอีก ชายหนุ่มหลุบศีรษะลงก่อนจะเหลือบมองไปทางฝูงชน สายตาของเขาไปหยุดอยู่ที่หญิงสาวนางหนึ่งจากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ มีความอ่อนโยนซ่อนอยู่ภายใต้อารมณ์ความรู้สึกมากมายที่ฉายอยู่บนดวงตาของหลี่อู๋เฉิน

เหม่ยเอ๋อร์อาจจะเครียดเพราะว่าหวังเป่าเล่อ ข้าจะลำบากสักหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอก ขอให้เหม่ยเอ๋อร์ไม่เจอปัญหาก็พอ เท่านั้นก็คุ้มค่า! หลี่อู๋เฉินควบคุมลมหายใจให้คงที่และเตรียมใจ ชายหนุ่มก้าวออกจากวงแหวนปราณพร้อมๆ กับพันธุ์กล้าแห่งสหพันธรัฐคนอื่นๆ และยกมือประสานทักทายหวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรันพร้อมๆ กัน

สิ่งที่หลี่อู๋เฉินยังไม่รู้ก็คือเขาไม่ใช่คนที่วิตกกังวลที่สุดในหมู่พันธุ์กล้ารุ่นที่สาม คนที่ตัวสั่นเทาอยู่อย่างลับๆ และวิตกกังวลที่สุดก็คือชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ข้างๆ!

เขาก็คือ…ต้นไม้ยักษ์ หรือที่รู้จักกันในนามสหายร่วมสำนักเต๋าต้นหอมหมื่นลี้!

ความวิตกกังวลของเขาพุ่งสูงสุด ชายวัยกลางคนถามคนไปทั่วจนกระทั่งพบว่าเขาไม่ได้อยู่ในพันธุ์กล้ารุ่นที่สามมาตั้งแต่ต้น หวังเป่าเล่อออกคำสั่งเรียกตัวเขาไป

ความจริงข้อนี้ทำให้ต้นไม้ยักษ์ตื่นกลัวเป็นอย่างยิ่ง เขาคร่ำครวญอยู่ในอกและหัวเสียเป็นอย่างยิ่ง เขาไม่ได้คาดคิดเลยว่าเจ้าหวังเป่าเล่อผู้น่าสมเพช ผู้ที่เคยทำลายแผนของเขามาแล้วในอดีตนั้น จะก้าวขึ้นมาเป็นใหญ่และเป็นถึงผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักวังเต๋าไพศาลในระยะเวลาแค่ไม่กี่ปี!

ไม่มีความยุติธรรมอยู่บนโลกจริงๆ! ต้นไม้ยักษ์และหลี่อู๋เฉินเดือดพล่านอยู่ในใจ จิตใจก็ขุ่นมัวไปด้วยความกังวล พวกเขาทักทายหวังเป่าเล่ออย่างนอบน้อมในขณะที่อีกฝ่ายฉีกยิ้มให้ สายตาก็จับจ้องมาที่ทั้งสองเป็นครั้งคราว

เฟิ่งชิวหรันเองก็ไม่เป็นตัวของตัวเองเช่นกัน นางบังคับตัวเองให้พูดออกมาไม่กี่คำก่อนจะเดินจากไปอย่างเร่งรีบ พลางตั้งใจจะส่งข้อความเสียงถึงหลี่ซิงเหวินผ่านวงแหวนปราณเคลื่อนย้าย นางอยากจะถามเขานักว่าทำไมจึงอนุญาตให้หลี่อู๋เฉินกลับมา

หวังเป่าเล่อเฝ้ามองดูเฟิ่งชิวหรันเดินจากไป ชายหนุ่มกล่าวต้อนรับไม่กี่คำก่อนจะเดินทางกลับไปยังวังของเขา พันธุ์กล้าแห่งสหพันธรัฐรุ่นที่สามเริ่มแยกย้าย ขณะที่ผู้ฝึกจากสหพันธรัฐคนอื่นๆ มารับพวกเขาไปยังที่พัก ประมุขสำนักสวีก็ตะโกนออกมา

“สหายร่วมสำนักเต๋าต้นหอมหมื่นลี้ โปรดรอก่อน ผู้อาวุโสสูงสุดขอให้ท่านไปพบที่วัง”

ต้นไม้ยักษ์ ผู้ซึ่งเพิ่งจะถอนหายใจอย่างโล่งอกและถูกหลอกให้ตายใจ ตัวสั่นทันทีที่ได้ยิน เขาหันหลังกลับช้าๆ ก่อนจะเริ่มกรีดร้องอยู่ในใจอย่างเงียบเชียบ แต่เขาไม่กล้าแสดงออกทางสีหน้าแม้แต่น้อย ทำได้เพียงแต่กัดฟันและพยักหน้า

“สหายร่วมสำนักเต๋าต้นหอมหมื่นลี้ เราเคยรู้จักคุ้นเคยกันมาก่อน…มีบางอย่างที่ข้าไม่แน่ใจนักว่าควรบอกท่านหรือไม่” ประมุขสำนักสวีจ้องอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกเศร้าใจ

“ได้โปรดบอกข้าเถิด!” ต้นไม้ยักษ์จอมเจ้าเล่ห์เงยศีรษะขึ้นทันทีที่ได้ยินก่อนจะค้อมศีรษะลงต่ำเพื่อคำนับประมุขสำนักสวี

“คนบางคนก็เกิดมาเพื่อจะเป็นใหญ่ หากท่านสามารถจะฉกฉวยโอกาสที่ได้รับมา ต่อให้ความบาดหมางในอดีตก็อาจจะเสื่อมคลายและแปรเปลี่ยนกลายเป็นโอกาสไปสู่ความยิ่งใหญ่ได้ เรื่องเช่นนี้เป็นไปได้เสมอ!” ประมุขสำนักสวีจ้องมองต้นไม้ยักษ์อย่างเปี่ยมความหมายก่อนจะพูดออกมาเบาๆ