ตอนที่ 1619

War sovereign Soaring The Heavens

ตอนที่ 1,619 : เป็นมัน!

 

“ประมุขอี้เฟิง…อยู่ๆท่านกล่าวถึงตราผนึกมารเช่นนี้ สมควรมีเหตุผลใช่หรือไม่?”

 

อ๋องเฉียนมองอี้เฟิง ทั้งเพ่งตามองถาม

 

ตราผนึกมาร 1 ในยอดศาสตราเซียนที่ติดอันดับในรายนามศาสตราเซียนผู้ยิ่งใหญ่ ใครจะไม่รู้จัก?

 

พออี้เฟิงกล่าวถามออมกมาแบบนี้ สิ่งแรกที่อ๋องเฉียนคิดถึงก็คือ อี้เฟิงอาจจะรู้ที่อยู่ของตราผนึกมาร!

 

อันที่จริงแล้วก็ไม่ใช่แค่อ๋องเฉียน

 

ชายชรา 2 คนด้านหลังก็คิดไม่ต่าง

 

“ข้ากล่าวถึงตราผนึกมารขึ้นมา แน่นอนว่าย่อมมีเหตุผล”

 

อี้เฟิงพยักหน้าทันที ไม่เพียงแต่ไม่ปฏิเสธ ยังกล่าวเสริมอย่างตรงไปตรงมา “เพราะตอนนี้ข้ารู้ว่าตราผนึกมารอยู่ที่ใด!”

 

เปรี๊ยง!!

 

สิ้นวาจานี้ของอี้เฟิง ประหนึ่งอัสนียามแล้งฟาดผ่าลงมาไม่มีผิด ยังไม่ต่างใดจากหนึ่งหินหล่นสระบังเกิดคลื่นพันระลอก พาลให้สายตาของอ๋องเฉียนและชายชราทั้ง 2 หรี่มองอี้เฟิงทันที

 

สายตาทั้ง 3 ยังคมกล้าปานจะฉีกทึ้งร่างอี้เฟิงเป็นชิ้นๆ!

 

“ตราผนึกมารอยู่ที่ใด?”

 

อ๋องเฉียนกล่าวถาม

 

ชายชราทั้ง 2 ที่อยู่เบื้องหลังอ๋องเฉียนยังแผ่สำนึกเทวะไปสะกดร่างอี้เฟิงเอาไว้ทันที

 

“นั่นคือเรื่องต่อไปที่ข้ากำลังจะพูด…”

 

อี้เฟิงไม่ได้โกรธอะไรที่ถูกสำนึกเทวะของชายชราทั้ง 2 สะกดขัง สีหน้าท่าทางยังคงสงบกล่าวออกด้วยน้ำเสียงไม่รีบไม่ร้อน

 

“ก่อนหน้านี้มิใช่องค์ชาย 4 กล่าวถามข้าหรือ ว่าไฉนสภาพข้าถึงแลดูอ่อนล้าเช่นนี้…ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะฝีมือผู้ครอบครองตราผนึกมาร! ข้ามั่นใจว่าองค์ชาย 4 รู้ดีว่าข้าคือประมุขนิกายหยินหมิง และยังเป็นผู้ฝึกมารในขอบเขตเซียน”

 

อีเฟิงกล่าวสืบต่อ

 

อ๋องเฉียนพยักหน้ารับ เรื่องอี้เฟิงเป็นผู้ฝึกมารมันย่อมรู้ดี

 

อย่างไรก็ตามเรื่องที่มันอยากรู้ที่สุดก็คือ ตอนนี้ตราผนึกมารอยู่ในมือใคร!

 

“ผู้ที่ครอบครองตราผนึกมาร เป็นเพียงผู้ฝึกตนที่มีพลังฝีมือทัดเทียมกับครึ่งก้าวเซียน…แต่ด้วยเพราะความที่มันมีตราผนึกมาร ทำให้ผู้อาวุโสสูงสุดนิกายหยินหมิงของข้าต้องตกตายอย่างไร้หนทางต่อสู้ หากตัวข้าไม่เร่งรีบหลบหนีออกมา ไม่แคล้ววิญญาณของข้าคงถูกตราผนึกมารนั่นสะกดทำลายเช่นกัน!”

 

วาจาต่อมาของอี้เฟิงยามกล่าว มันเผยอาการหวาดผวาขลาดกลัวไม่น้อย

 

“หากข้าจำมิผิดอาวุโสสูงสุดนิกายท่าน ก็เป็นผู้ฝึกมารในขอบเขตเซียนใช่หรือไม่?”

 

อ๋องเฉียนกล่าวถาม

 

“ใช่”

 

อี้เฟิงพยักหน้ารับ “ผู้อาวุโสสูงสุดก็มีพลังฝึกปรือทัดเทียมกันกับข้า…แต่เพราะพวกเราเป็นผู้ฝึกมาร จึงถูกตราผนึกมารสะกดพลังอำนาจทุกทาง! หากพวกเรามิใช่ผู้ฝึกมาร คิดฆ่าตัวบัดซบนั่นคงง่ายดายดุจพลิกฝ่ามือ!!”

 

“มันเป็นใคร!?”

 

อ๋องเฉียนกล่าวถามด้วยสายตาร้อนรุ่ม

 

สำหรับมันแล้วผู้ฝึกตนในขอบเขตครึ่งก้าวเซียนไม่ใช่ปัญหาของมันแม้แต่น้อย ไม่มีอะไรให้มันกังวลเลยด้วยซ้ำ!

 

ตราบใดที่มันล่วงรู้ว่าผู้ฝึกตนครึ่งก้าวเซียนที่ว่าอยู่ที่ใด มันจะไปฆ่าชิงตราผนึกมารมาทันที!

 

“องค์ชาย 4 ก่อนที่ข้าจะกล่าวบอกตัวตนของคนผู้นั้น ข้าอยากให้ท่านสัญญาว่าจะรับปากข้า 2 เรื่อง”

 

ลูกตาของอี้เฟิงทอประกายสว่างวาบ กล่าวออกมาตรงๆ

 

“โอหัง!”

 

ได้ยินวาจาประโยคนี้ของอี้เฟิง อ๋องเฉียนขมวดคิ้วเป็นปม ส่วนชายชราที่อยู่ด้านหลังทั้ง 2 ถึงกับตะคอกเสียงแข็ง “อี้เฟิง เจ้ากล้าดีอย่างไร! เจ้าคิดว่าตัวเจ้าเป็นใคร? เจ้าคิดว่าเจ้าคู่ควรต่อรองกับฝ่าบาทงั้นหรือ!?”

 

“เจ้ามันก็แค่สุนัขข้างถนน! เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าพวกเราสามารถฆ่าเจ้าให้ตายคาที่ได้ทุกเมื่อ!”

 

ชายชราผู้เป็นขอบเขตเซียนทั้ง 2 แผ่พุ่งพลังออกมามหาศาลจนคล้ายหมอกเมฆ มวลพลังทั้งหมดพุ่งไปสะกดข่มอี้เฟิงเอาไว้อย่างเกรี้ยวกราด!

 

หากทว่าอี้เฟิงไม่ได้นำพาอาการดุร้ายขู่ข่มของพวกมัน เพียงมองจ้องอ๋องเฉียนด้วยสายตาสงบ “องค์ชาย 4 ข้ารู้ดีว่าข้าไม่ใช่คู่มืออาวุโสทั้ง 2 …คงเป็นเรื่องง่ายดายนักที่อาวุโสจะฆ่าข้า แต่องค์ชาย 4…ท่านยินดีล้มเลิกเรื่องตราผนึกมารแล้วหรือ?”

 

พออี้เฟิงกล่าวจบคำ สีหน้าของชายชราก็ถมึงทึงขึ้นมาทันใด ยังคิดจะเพิ่มแรงกดดันบีบคั้นให้อีกฝ่ายกระอัก ทว่าเป็นอ๋องเฉียนที่ยกมือขึ้นมาหยุดเอาไว้ก่อน

 

“ประมุขอี้เฟิง ท่านต้องการอันใดบ้างลองบอกกล่าวมาเถอะ”

 

อ๋องเฉียนมองกล่าวกับอี้เฟิงเสียงเรียบ สีหน้าท่าทางไม่คล้ายมีความรู้สึกหรืออารมณ์ใดๆ

 

“องค์ชาย 4 ตอนนี้อาวุโสสูงสุดของข้าก็ตายไปแล้ว ทั้งตัวข้ายังต้องหนีมาแบบนี้ นิกายหยินหมิงข้าคงไม่พ้นเหลือแต่ชื่อ…ข้าอยากขอให้ท่านรับตัวข้า…ไว้เป็นขุมกำลังของท่านอีกสักคน”

 

อี้เฟิงกล่าวต่ออ๋องเฉียนตรงๆ ในน้ำเสียงยังมีความสุภาพขึ้นมาหลายส่วน

 

“หืม? เจ้าคิดจะเข้าร่วมกับข้างั้นรึ?”

 

อ๋องเฉียนยิ้ม “เท่าที่ข้าทราบ มิใช่ว่าเจ้าก็มีสัมพันธ์อันดีกับตระกูลซือถูมิใช่หรือไร…หากเจ้าเข้าร่วมกับข้ามิใช่ว่าจะเป็นการทรยศตระกูลซือถู ไม่สิกล่าวให้ชัดต้องทรยศซือถูหมิงสินะ”

 

ในฐานะที่เป็นองค์ชาย 4 แห่งประเทศฝูเฟิง แน่นอนว่าอ๋องเฉียนย่อมรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ภายในของตระกูลซือถู

 

“องค์ชาย 4 ท่านก็ล่วงรู้คำที่ว่า น้ำไหลลงที่ต่ำ คนปีนป่ายขึ้นที่สูง…ข้ามิใช่โง่เขลา หากข้าบอกเรื่องตราผนึกมารกับทางตระกูลซือถู เกรงว่าพวกมันคงคิด ‘ข้ามแม่น้ำรื้อสะพาน’ แน่แท้…นอกจากนี้ซือถูหมิงยังจะนับเป็นตัวอะไรได้หากเทียบกับท่าน”

 

อี้เฟิง ผู้ฝึกมารขอบเขตเซียน ตอนนี้กลับกล่าววาจาประจบสอพลออ๋องเฉียนหน้าตาเฉย

 

“น้ำไหลลงที่ต่ำ คนปีนป่ายขึ้นที่สูง…ดี! วาจาอันประเสริฐนัก!!”

 

ได้ยินคำสอพลออี้เฟิง อ๋องเฉียนก็ยิ้มร่าออกมาอย่างถูกใจ “เอาล่ะข้าเห็นด้วยกับเรื่องนี้ของเจ้า”

 

“อย่างไรก็ตามก่อนที่เจ้าจะเข้าร่วมกับข้าเจ้าควรรู้ไว้…เรื่องศึกช่วงชิงบัลลังก์ของพวกข้าพี่น้อง ทางตระกูลซือถูนั้นมิได้อยู่ฝ่ายเดียวกับข้า เมื่อเจ้าเข้าร่วมกับข้าหมายความว่าเจ้าก็อยู่คนละฝั่งกับตระกูลซือถู ถึงแม้ซือถูหมิงกับซือถูฮ่าวจักมิลงรอยกัน แต่อย่างไรเสียเรื่องนี้พวกมันก็เหมือนลงเรือลำเดียวกัน คงยากที่จะเปลี่ยนจุดยืนของพวกมันได้”

 

อ๋องเฉียนพลันกล่าวเตือนออกมา

 

“องค์ชาย 4 เรื่องนี้ขอท่านโปรวางใจ ข้ามีวิธีสร้างความแตกแยกในตระกูลซือถู กระทั่งยังมีหนทางดึงตัวซือถูหมิงออกมาให้เข้าร่วมกับพวกเรา”

 

อี้เฟิงกล่าวออกด้วยน้ำเสียงมั่นใจ

 

“โฮ่?”

 

ลูกตาอ๋องเฉียนส่องแสงสว่างโร่ขึ้นมาทันใด “เจ้ากล่าวจริงหรือ?”

 

หากมันได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายซือถูหมิงของตระกูลซือถู ไม่เพียงแต่ขุมกำลังของมันจะทวีความแข็งแกร่งมากขึ้น หากแต่ยังเป็นการลดทอนขุมกำลังของฝ่ายตรงข้ามลงด้วย!

 

สำหรับมันแล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องอันดีงามนัก!

 

“อี้เฟิงผู้นี้ ยังจะกล้าหลอกลวงองค์ชาย 4 หรือ?”

 

อี้เฟิวกล่าวออกมาอีกครั้ง

 

“เอาล่ะ ได้เช่นนั้นก็ดี…แต่ต่อให้มิได้ก็ไม่เป็นไร อี้เฟิงหลังจากนี้ไปหากเจ้าดีกับเราผู้อ๋อง เราผู้อ๋องก็ย่อมไม่ร้ายกับเจ้า”

 

อ๋องเฉียนหัวเราะร่า “แล้วสำหรับเงื่อนไขอีกข้อเล่า?”

 

“คำขอของข้าเรื่องนี้มิใช่เรื่องยากสำหรับองค์ชาย 4 แม้แต่น้อย ยังเปรียบดั่งผลักเรือตามกระแสน้ำด้วยซ้ำ…”

 

อี้เฟิ่งสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ลูกตาบังเกิดประกายเย็นเยียบวูบวาบออกมา “ข้าหวังเพียงแต่ว่าเมื่อองค์ชาย 4 แย่งชิงตราผนึกมารมาได้แล้ว ข้าขอให้ท่านส่งตัวผู้ที่ครอบครองตราผนึกมารมาให้ข้า เพื่อที่ข้าจะได้ฆ่ามันด้วยมือของข้าเอง!!”

 

“เจ้าต้องการให้เราผู้อ๋องสัญญาเรื่องเท่านี้?”

 

คราวนี้อ๋องเฉียนอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจแล้ว เพราะเงื่อนไขทั้ง 2 ข้อนั้นไม่มีอะไรส่งผลเสียกับมันเลยแม้แต่น้อย ยังแทบไม่ต่างอะไรจากขอพลับสักลูกในสวน

 

“ใช่!”

 

อี้เฟิงพยักหน้า ค่อยกล้าวออกมาด้วยความคับแค้น “ตัวบัดซบนั่นมันไม่เพียงแต่ฆ่าผู้อาวุโสสูงุสดของนิกายข้า ยังทำให้ข้าต้องหนีจากนิกายหยินหมิงมาอย่างหัวซุกหัวซุน…ตอนนี้นิกายหยินหมิงของข้าสมควรล่มสลายไปแล้ว เรียกว่ามันทำลายทุกสิ่งทุกอย่างของข้าที่เพียรสร้างมาทั้งชีวิต! ข้าต้องฆ่ามันกับมือให้ได้!!”

 

“เรื่องเล็กน้อยเพียงเท่านี้ เราผู้อ๋องสัญญากับเจ้า!”

 

อ๋องเฉียนเร่งกล่าวตอบรับไปทันที

 

“ขอบพระคุณท่านองค์ชาย 4”

 

อี้เฟิ่งเร่งกล่าวขอบคุณออกมาทันที

 

“ถึงตอนนี้เจ้าสามารถบอกได้แล้วหรือไม่ ว่าผู้ที่ครอบครองตราผนึกมารมันเป็นใคร?”

 

อ๋องเฉียนกล่าวถาม

 

จังหวะนี้กระทั่งชายชราทั้ง 2 ที่อยู่ด้านหลัง ก็อดไม่ได้ที่จะจับจ้องมองไปยังร่างอี้เฟิงตาเขม็ง คล้ายพวกมันจะจับสังเกตทุกทีท่าความเปลี่ยนแปลงของอี้เฟิง ว่ากล่าวความจริงออกมาหรือไม่

 

“องค์ชาย 4 ผู้ที่ถือครองตราผนึกมารอยู่…ท่านเองก็สมควรได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของมันมาแล้ว”

 

อี้เฟิงกล่าว

 

“หืม? ข้าเองก็เคยได้ยินชื่อเสียงของมันงั้นเหรอ?”

 

เมื่ออี้เฟิงเกริ่นมาแบบนี้ อ๋องเฉียนยิ่งอยากรู้เข้าไปใหญ่ “มันเป็นผู้ใดกันแน่!?”

 

“ต้วน! หลิง! เทียน!!”

 

อี้เฟิงขบฟันกรามจนแทบแตก กล่าวออกด้วยน้ำเสียงเล็ดรอดไรฟัน

 

“ต้วนหลิงเทียน?”

 

อ๋องเฉียนขมวดคิ้ว “นามนี้คุ้นหูเรานัก…เคยได้ยินจากที่ใดแล้วนะ?”

 

“เรียนท่านอ๋องมันคือแขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถู โด่งดังขึ้นมาในฐานะปรมาจารย์ต้วนและท่านต้วน แต่นามเต็มๆของมันก็คือ ต้วนหลิงเทียน”

 

ตอนนี้เองชายชรา 1 ใน 2 ที่อยู่ด้านหลังอ๋องเฉียนพลันกล่าวออกมา

 

“เป็นมันงั้นเหรอ?”

 

หลังได้ยินคำเตือน อ๋องเฉียนก็หันไปมองหน้าอี้เฟิงอีกครั้ง คล้ายรอการยืนยัน

 

“ถูกแล้ว! เป็นมัน!!”

 

อี้เฟิงพยักหน้ารับอย่างแข็งขัน “วันก่อนมันบุกเข้ามายังนิกายหยินหมิงของข้า และฆ่าอาวุโสสูงุสดด้วยตราผนึกมาร ข้าเองก็ตกอยู่ในสถานการณ์ 9 ตาย 1 รอด แต่ยังดีที่ข้าสามารถหนีมาได้ทันเวลา…”

 

คิดถึงฉากในวันนั้น ร่างอี้เฟิงยังสั่นไม่หาย

 

ตอนที่มันถูกพลังอำนาจของตราผนึกมารเพ่งเล็งมันเองก็ไม่คิดด้วยซ้ำว่าจะหนีรอดมาได้ โชคดีนักที่อาวุโสสูงสุดอยู่ใกล้ตราผนึกมารมากกว่า จึงหันไปไล่ล่าอาวุโสสูงสุดก่อน

 

มันเองก็อาศัยจังหวะดังกล่าวเร่งรุดหลบหนีมาสุดชีวิต ยังเผาแก่นโลหิตเพื่อให้หลุดพ้นจากการเพ่งเล็งของตราผนึกมาร จนหนีรอดมาได้ในที่สุด

 

“แขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถู ต้วนหลิงเทียน เจ้าของตราผนึกมาร…ไม่น่าแปลกใจเลยที่เจ้าจะมาหาข้าเช่นนี้ เพราะเจ้าของตราผนึกมารกลับอยู่ที่ตระกูลซือถู!”

 

ลูกตาอ๋องเฉียนทอประกายเรืองวูบ กล่าวออกมาด้วยไหวพริบ

 

ในตระกูลราชวงศ์นั้น มีน้อยคนนักที่จะมีความสามารถในการแย่งชิงบัลลังก์ หากแต่จำนวนก็ไม่ถือว่าเล็กน้อย ถึงแม้มันจะเป็นหนึ่งในผู้มีความสามารถดังกล่าว แต่มันก็ไม่ใช่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด

 

และผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือ องค์ชายรองที่ได้รับการสนับสนุนจากตระกูลซือถู!

 

อี้เฟิงไม่ได้ไปหาพี่รองของมันแต่มาหาตัวมันแบบนี้ ตอนแรกมันก็คิดว่าพิกลนัก แต่สุดท้ายกลับเป็นเพราะสาเหตุนี้นั่นเอง…

 

หากอี้เฟิงไปหาพี่รองของมัน แม้พี่รองของมันจะต้องการตราผนึกมาร แต่ก็คงยากจะปล่อยแขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถูให้อี้เฟิงจัดการ…สำหรับอี้เฟิงแล้วเรื่องล้างแค้นสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด

 

และเป็นมันที่สามารถมอบโอกาสในการล้างแค้นให้อี้เฟิงได้

 

‘ต้วนหลิงเทียน แขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถู ตราผนึกมารในมือเจ้าต้องเป็นของข้าอ๋องเฉียน!!’

 

ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อใด หากแต่มุมปากของอ๋องเฉียนพลันแสยะยิ้มเย็นออกมา ในใจยังบังเกิดความตื่นเต้นทั้งคึกคักอักโขนัก ทำราวกับมันแลเห็นภาพที่มันได้ตราผนึกมารมาอยู่ในมือเรียบร้อยแล้ว

 

‘หากข้าได้ตราผนึกมารมาล่ะก็ ข้าไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องผู้ฝึกมารขอบเขตเซียนไม่กี่คนที่อยู่ข้างกายพี่รองนั่นอีกต่อไป! กระทั่งข้ายังสามารถใช้ตราผนึกมารจัดการกับพวกมันด้วยตัวเองด้วยซ้ำ!!’

 

ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่อ๋องเฉียนก็ยิ่งตื่นเต้นยินดีมากขึ้นเท่านั้น

 

พอตื่นเต้นเข้าหน่อย อะไรในมือมันก็ไม่คิดจะสนใจต่อไป สุดท้ายจึงปล่อยภาพเสมือนที่เยี่ยมู่ไป๋ให้ไว้ทิ้งไปราวกับขยะ

 

“เป็นมัน!!”

 

ทว่าเมื่อเห็นใบหน้าบุรุษหนุ่มรูปหล่อเหลาในภาพ ลูกตาของอี้เฟิงพลันหดแคบลงทันใด ยังร้องโพล่งออกมาด้วยความแค้น!