ตอนที่ 499 ราชโองการ 4 ฉบับ

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 499 ราชโองการ 4 ฉบับ

องครักษ์ชุดแดงผู้หนึ่งได้พาสตรีนางหนึ่งเข้ามายังพระราชวังจวี้หัว ซึ่งนางก็คือหยุนเหนียง เดิมทีได้ย้ายไปเมืองฝานหนิงและใช้ชีวิตอย่างสันโดษแล้ว

คาดมิถึงว่าบุตรีนามเสี้ยวเสี้ยวจะเอ่ยถึงบิดาขึ้นมาในขณะที่ออกไปเล่นกับเด็กคนอื่น ๆ

“ข้ามีบิดาและบิดาของข้านั้นเก่งกาจมากยิ่งนัก เขาสามารถอ่านและเขียน ประพันธ์บทกวีได้ ทั้งยัง… ทั้งยังเพาะปลูกได้อีกด้วย ! ”

“บิดาของเจ้ามีนามว่าเยี่ยงไร ? ”

“บิดาของข้ามีนามว่าฟู่เอ้อต้าย ! ”

คำเอ่ยเหล่านั้นจึงได้ลอยไปเข้าหูของผู้คิดร้ายรวมถึงคนของหยิ่นเหมิน สองแม่ลูกจึงถูกนำตัวเข้าวังหลวงในทันที

ไทเฮาซีอุ้มเสี้ยวเสี้ยวขึ้น ยิ้มต้อนรับแล้วทอดพระเนตรไปทางมารดาของเด็กน้อย ทว่าหยุนเหนียงสังเกตได้ชัดว่าพระหัตถ์ของไทเฮาซีอยู่ที่คอของเสี้ยวเสี้ยว

นางไร้หนทางอื่นใดและเพื่อให้เสี้ยวเสี้ยวได้มีชีวิตอยู่ต่อ สุดท้ายนางจำต้องเล่าเรื่องนั้นออกมา

“เจ้าสองแม่ลูกจงทำตัวตามสบายเถิด พวกเราต้องการทราบความจริงบางประการจึงได้เชิญตัวพวกเจ้ามายังพระราชวัง หากมีขุนนางเอ่ยถาม เจ้าเพียงตอบไปตามจริง หลังจากเสร็จสิ้นกิจแล้ว อายเจียจะมอบชีวิตที่ร่ำรวยและมีเกียรติให้แก่พวกเจ้าเจ้าสองแม่ลูกอย่างแน่นอน”

ในยามนี้ คือเวลาที่ไทเฮาซีต้องการจะใช้นาง

แน่นอนว่านางย่อมไร้หนทางที่จะปฏิเสธ เพราะเสี้ยวเสี้ยวยังคงอยู่ในเงื้อมมือขององค์ไทเฮา

“สตรีผู้นี้คือหยุนเหนียง นางเคยเป็นทหารหญิงมาก่อน หากพวกเจ้ายังมิเชื่อคำกล่าวของอายเจีย สามารถไปสอบถามกับทหารหญิงผู้ใดก็ได้ในกองทัพ”

“หยุนเหนียงถอนตัวออกจากกองทัพ หลังจากสมรสแล้วจึงย้ายออกไปอยู่ที่หมู่บ้านหลินเจีย หลังเกิดเหตุที่ภูเขาหิมะ อู๋จ้าวได้ช่วยฟู่เสี่ยวกวนออกมาทว่ามิได้ส่งตัวไปยังเมืองกวนหยุน แต่กลับส่งไปยังกระท่อมของหยุนเหนียง ณ หลินเจียแทน”

“หลังจากนั้นจึงบังเกิดเรื่องที่น่าอับอายขึ้น ฟู่เสี่ยวกวนปกปิดตัวตนแล้วกลับไปยังราชวงศ์หยู ส่วนอู๋จ้าวขึ้นครองบัลลังก์แต่กลับไปอาศัยอยู่ที่คฤหาสน์จิ้งหู และมิหวนกลับมาที่พระราชวังจวี้หัวนี้อีกเลย”

ไทเฮาซีกลับไปประทับบนบัลลังก์มังกร “การมั่วโลกีย์ระหว่างสองพี่น้องย่อมมิอาจแพร่งพรายออกไปได้ ฟู่เสี่ยวกวนได้กระทำเรื่องต่ำทรามเสียยิ่งกว่าเดรัจฉานขึ้นมา เขาย่อมมิกล้าขึ้นเป็นจักรพรรดิแห่งราชวงศ์อู๋ ส่วนครรภ์ของอู๋จ้าวก็ใหญ่ขึ้นในทุกวัน ไร้หนทางปิดบังได้ คงทำได้เพียงใช้โรคไข้ทรพิษบังหน้าเพื่อหลบซ่อนตัวอยู่ในคฤหาสน์จิ้งหูแห่งนั้น”

“นี่คือเรื่องอื้อฉาวของราชวงศ์ใช่หรือไม่ ? ”

“หากพวกเจ้ายังมิเชื่อ อายเจียจะให้ทหารไปเชิญตัวอู๋จ้าวมายังท้องพระโรงแห่งนี้ ให้พวกเจ้าได้เห็นว่าท้องของนางนูนออกมาหรือไม่ ? ”

เหล่าขุนนางล้วนตกอยู่ในภวังค์ ในสมองกำลังสับสนวุ่นวาย มิสามารถเอื้อนเอ่ยสิ่งใดออกมาได้

มิเว้นแม้กระทั่งหนานกงอี้หยู่และจัวอี้สิงที่ต่างก็ตกใจมิแพ้กัน พวกเขาถูกไทเฮาซีรุกฆาตโดยไม่ทันได้ตั้งตัวดังนั้นจึงไร้พลังจะต่อกรอย่างแท้จริง

ไร้ข้อกังขาอีกต่อไป คำบอกเล่าของไทเฮาซีสามารถสร้างความกระจ่างให้แก่เรื่องที่ยุ่งเหยิงเหล่านี้ได้ สามารถบอกถึงเหตุผลที่ฟู่เสี่ยวกวนมิหวนคืนกลับมายังราชวงศ์อู๋และเอ่ยถึงสาเหตุที่อู๋จ้าวมิปรากฏตัว ณ พระราชวัง ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาได้ทั้งหมด

หากไทเฮาเอ่ยความเท็จ ย่อมถูกเปิดโปงได้โดยง่าย มีเพียงแต่ให้อู๋จ้าวแสดงตนเท่านั้น เพียงหน้าท้องของนางมิได้นูนออกมา องค์ไทเฮาก็จะกลายเป็นผู้สร้างเรื่องเสื่อมเสียและสร้างมลทินให้แก่ราชวงศ์อย่างแท้จริง

ทว่าพระนางทรงฉายความแน่พระทัยมากถึงเพียงนี้ ซึ่งการที่อู๋จ้าวมิกล้าปรากฏตนทั้งหมดนั่นล้วนเป็นเรื่องจริง !

แล้วจะทำเยี่ยงไรต่อไปดี ?

ในจังหวะนั้นองค์ไทเฮาก็ได้ตรัสถามขึ้นมาว่า “แล้วจะให้อายเจียทำเยี่ยงไรได้กัน ? ”

“อายเจียได้ทบทวนมาตลอดทั้งคืน ตระหนักได้ว่าเรื่องอื้อฉาวที่เกิดขึ้นนี้ทำให้ราชวงศ์เสื่อมเสีย ฟู่เสี่ยวกวนจึงไร้คุณสมบัติในการดำรงตำแหน่งจักรพรรดิแห่งราชวงศ์อู๋ ส่วนอู๋จ้าว…ยิ่งมิเหมาะสมต่อการสืบทอดราชบัลลังก์ บัดนี้จึงเหลือเพียงอายเจียเท่านั้นที่สามารถรับหน้าที่นี้ได้ แม้จะชราไปบ้างแต่ทว่าก็เคยสำเร็จราชการแทนอดีตจักรพรรดิถึงสองพระองค์ จึงพอจะมีความรู้เรื่องการบริหารบ้านเมืองอยู่บ้าง”

“ด้วยเหตุนี้จึงได้สร้างความลำบากให้แก่ทุกท่านเสียแล้ว อายเจียมิปรารถนาให้เรื่องอื้อฉาวนี้แพร่งพรายออกไปทั่วใต้หล้า ดังนั้น… นับแต่นี้สืบไป พวกเจ้าจะมิสามารถกลับจวนได้ วังหลวงแห่งนี้ยังเต็มไปด้วยห้องว่างพอให้ทุกท่านพำนักอยู่ได้ชั่วคราว สามารถฉลองข้ามปีไปด้วยกัน ส่วนเรื่องที่จวนของพวกเจ้า อายเจียจะส่งคนไปแจ้งให้ทราบเองว่า…”

“เกิดสงครามจำต้องหารือกันอยู่แนวหน้า หากสงครามสงบลงจึงจะกลับจวน”

หนานกงอี้หยู่นึกประหลาดใจขึ้นมา จึงได้เอ่ยถามขึ้นว่า “สงครามที่ใดกัน ? ”

“ไอหยา… ถ้าเช่นนั้นก็จงสร้างสถานการณ์ขึ้นมากันเองเถิด… ตัวอายเจียจะขึ้นครองบัลลังก์นับแต่นี้สืบไป มีราชโองการปลดอู๋จ้าวออกจากตำแหน่งจักรพรรดินี แต่ทว่านางยังคงเป็นหลานสาวของอายเจีย ดังนั้นอายเจียจึงขอมอบบรรดาศักดิ์องค์หญิงไท่ผิงให้แก่อู๋จ้าว และให้ประทับอยู่ในคฤหาสน์จิ้งหูสืบต่อไป”

“พวกเจ้า… มิมีข้อคัดค้านใช่หรือไม่ ? ”

“กระหม่อม ขอคัดค้าน ! ”

องค์ไทเฮาไม่แม้แต่จะเหลือบสายพระเนตรมองคนผู้นั้นเลยด้วยซ้ำ เพียงรับสั่งสองคำอย่างแผ่วเบาเท่านั้นว่า “สังหาร ! ”

หนึ่งในองครักษ์ชุดแดงจึงตวัดคมดาบลง เสียง ฉัวะ ! ดังขึ้น จากนั้นจึงปรากฏภาพศีรษะของคนผู้หนึ่งตกกระทบลงกับพื้น

“ยังมีผู้ใดนึกคัดค้านอีกหรือไม่ ? ”

ทันใดนั้นหนานกงอี้หยู่จึงนึกถึงพระราชโองการสืบทอดบัลลังก์ที่ซ่อนอยู่หลังแผ่นป้ายตำหนักหยางซิน รวมถึงคทาอาญาสิทธิ์เคลื่อนทัพที่ซ่อนอยู่ ณ ที่เดียวกัน เขาจึงข่มกลั้นโทสะเอาไว้แล้วทำเพียงก้มหน้ามิสบตา

จัวอี้สิงเองก็ย่อมมิกล้าแสดงตนเช่นกัน จึงทำได้เพียงก้มหน้าลง

เหล่าขุนนางทั้งหลายล้วนหวั่นวิตก เมื่อมองไปทางอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายและขวาที่ยังไร้การเคลื่อนไหว พวกเขาจึงพร้อมใจกันก้มหน้าลง

“เมื่อมิมีผู้ใดคัดค้าน อายเจียจะดำรงตำแหน่งจักรพรรดินีแห่งราชวงศ์อู๋สืบต่อแต่นี้ไป ส่วนนามของราชวงศ์ใหม่นี้ยังมิต้องรีบร้อน บัดนี้ อายเจียจะประกาศราชโองการออกไป 4 ฉบับ”

“ฉบับที่หนึ่ง ตำแหน่งผู้บัญชาการทหารองครักษ์ชุดแดง ให้เสนาบดีฉีเหรินแห่งกรมกลาโหมเป็นผู้ควบตำแหน่ง”

หนานกงอี้หยู่ตกตะลึงขึ้นมาอีกครา เนื่องจากมิคาดคิดว่าฉีเหรินแห่งกรมกลาโหมจะเป็นคนของนาง

ปิศาจผู้นี้ !

ฉีเหรินก้าวออกไปด้านหน้า โน้มกายคำนับพร้อมกับกล่าวทูลว่า “กระหม่อมฉีเหรินน้อมรับราชโองการพ่ะย่ะค่ะ”

“ฉบับที่สอง เห็นว่าอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายและขวาล้วนชรามากแล้ว ที่ผ่านมาต่างก็ทำงานหนักเพื่อบ้านเมืองมาตลอดจึงสมควรแก่เวลาพักผ่อนแล้ว เจ้าทั้งสองจงเร่งเขียนจดหมายลาออกเสียเถิด สมควรจัดการเรื่องนี้โดยเร่งด่วน ส่วนผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งแทนทั้งสองคนนี้ อายเจียจะแต่งตั้งในภายหลัง ในตอนนี้… ให้หนังสือรายงานทางราชการทุกฉบับผ่านการอนุมัติจากอายเจียเพียงผู้เดียว”

เหล่าขุนนางต้องตะลึงขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า คาดมิถึงว่าพระนางจะกล้าปลดอัครมหาเสนาบดีทั้งสองออกจากตำแหน่ง !

นี่คือการรวบอำนาจทั้งหมดไว้ในกำมือใช่หรือไม่ ?

หนานกงอี้หยู่และจัวอี้สิงมิได้เงยหน้าขึ้นรับ ซ้ำมิได้ก้าวออกไปเบื้องหน้าเพื่อรับราชโองการ พวกเขายังจดจ้องไปที่พื้นอันเกลี้ยงเกลาอย่างเงียบงัน โดยมิสามารถคาดเดาได้ว่าพวกเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่

ไทเฮาซีหาได้สนใจไม่ และมุ่งประกาศราชโองการฉบับที่สามต่อไป

“ฉบับที่สาม ให้องครักษ์ชุดแดงทำการจับกุมคนทรยศโจวถงถง จับเป็นหรือตายมิสำคัญ ! ”

ครานี้จัวอี้สิงจึงเงยหน้าขึ้นแล้วท้วงว่า “โจวถงถงมีความผิดอันใดกัน ? ”

องค์ไทเฮาจ้องหน้าจัวอี้สิง “โจวถงถงควบคุมหอเทียนจีมาหลายสิบปี มีความสัมพันธ์อันดีต่อราชวงศ์หยู คอยขายข่าวคราวของราชวงศ์อู๋จนได้รับค่าตอบแทนมากถึง 3,000,000 ตำลึง หากมิเรียกว่าเป็นการทรยศแล้วจะเรียกว่าอันใด ? ”

“ไอหยา ถูกต้องแล้ว อายเจียอายุมากเสียจนลืมเรื่องเล็กน้อยไป ขุนนางฉีรับราชโองการ อายเจียขอสั่งให้เจ้าปรับปรุงกองทัพรักษาเขตแดนทางเหนือโดยทันที มิใช่ว่าต้องการทำสงครามเยี่ยงนั้นหรือ หลังจากจัดเตรียมเสบียงเรียบร้อยแล้ว

คำกล่าวเพียงแผ่วเบา แต่ทว่ายามตกกระทบพื้นกลับก่อให้เกิดหลุมขนาดใหญ่

คาดมิถึงว่าพระนางจะเปิดสงครามกับราชวงศ์หยู !

ฉีเหรินเองก็ชะงักลงทันพลัน เพราะการโยกย้ายกองทัพจำต้องมีคทาอาญาสิทธิ์เคลื่อนทัพในมือ ทว่าไทเฮาซีกลับประกาศไว้เพียงราชโองการเท่านั้น มิได้มอบคทาอาญาสิทธิ์นั้นให้แก่ตน…

แต่กระนั้น เขาก็ยังค้อมศีรษะลงและรับราชโองการนั้นไว้ “กระหม่อม น้อมรับพระบัญชา”

ไทเฮาซีทรงยืนขึ้น “วันนี้ให้พอเพียงเท่านี้ก่อน อายเจียเหนื่อยมากแล้ว พวกเจ้าทั้งหลายก็แยกย้ายไปยังสำนักงานเพื่อสะสางงานเถิด ค่ำนี้จงพักผ่อนอยู่ในวังหลวง มิต้องหารือเกี่ยวกับการบริหารบ้านเมืองเพราะข้ามิต้องการ หากจะโทษผู้ใดสักคนก็โทษสองพี่น้องนั่นที่มิระมัดระวังเถิด”

นางเสด็จออกจากพระราชวังจวี้หัว แต่ทว่ามิได้กลับไปยังตำหนักไทเฮา แต่กลับมายังตำหนักหยางซินแทน

“หาคทาอาญาสิทธิ์พบแล้วหรือยัง ? ”

“ทูลฝ่าบาท ขันทีอาวุโสซือหลี่เจี้ยนกล่าวว่า คทาอาญาสิทธิ์มิได้อยู่ในวังหลวงแต่อย่างใด”

“แล้วอยู่ที่ใดกัน ? ”

“เกรงว่าจะอยู่บนชั้นสิบแปดของหอเทียนจีพ่ะย่ะค่ะ”

“…รีบไปบอกฉีเหรินว่าโจวถงถงต้องจับเป็นเท่านั้น ! ”