ตอนที่ 793 ตาต่อตา ฟันต่อฟัน / ตอนที่ 794 อย่ายั่วโมโหข้า!

เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ

ตอนที่ 793 ตาต่อตา ฟันต่อฟัน

 

 

“ซูหลี!?” ใบหน้าของป๋ายเฮ่อเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก ทั้งยังใช้สายตาเหลือเชื่อมองนาง

 

 

“รีบทำตามที่ข้าบอกเร็วเข้า!” ซูหลีหาได้สนใจเขา เพียงปรายตามองชุยตานอย่างเกียจคร้าน

 

 

ชุยตานเห็นดังนั้นจึงรีบขานรับ เขาสาวเท้าเพียงไม่กี่ก้าวก็ถึงหน้าแผ่นป้าย จากนั้นจึงยกแผ่นป้ายที่งามวิจิตร ซึ่งเขียนได้ว่า ‘ที่หนึ่งในใต้หล้า’ ขึ้นสูง จากนั้น…

 

 

“ปัง!”

 

 

“กรอบแกรบ!”

 

 

เขาใช้เท้าเหยียบลงบนแผ่นป้ายอย่างรุนแรง แผ่นป้ายนั้นแตกหักจนเกิดเสียงดังกังวาน ทำให้พวกเขารู้สึกกลัว

 

 

“…ใต้เท้าซูใช้อำนาจบาตรใหญ่กระทำเช่นนี้ในจวนป๋ายของข้า เจ้าเห็นนายท่านของพวกเราสกุลป๋ายในสายตาหรือไม่” หลี่ซื่ออดกลั้นความโกรธต่อไปไม่ไหว นางโมโหจนสั่นเทาไปทั้งร่าง นางแทบจะกระโจนเข้าข่วนหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มเบิกบานใจของซูหลี!

 

 

“ฮูหยิน เอาคำพูดนี้มาจากที่ไหนกัน” ซูหลีคล้ายกับประหลาดใจ นางมองหวังซื่อด้วยสายตาไม่เข้าใจ พร้อมทั้งแสดงสีหน้าไร้เดียงสา

 

 

“นี่มิใช่เพราะคุณชายป๋ายมิต้องการทำตามที่สัญญาไว้หรือ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ของสิ่งนี้ก็ไม่จำเป็นจะต้องเก็บไว้” สีหน้าของซูหลียังคงนิ่งเฉย ทั้งยังอธิบายให้หวังซื่อฟังอย่างเอาจริงเอาจัง

 

 

หากนางไม่อธิบายก็คงจะดี ยิ่งนางพูดอธิบายยิ่งทำให้หวังซื่อโมโหกว่าเดิม

 

 

“ใต้เท้าซู โทสะรุนแรงนัก” เพียงแต่หวังซื่อยังไม่ทันจะเปิดปากพูด ก็ได้ยินเสียงของคนที่อยู่ด้านข้างเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเบาเสียก่อน

 

 

ซูหลีค่อยๆ เงยหน้าขึ้นก็สบเข้ากับดวงตาเย็นชาขององค์หญิงใหญ่คู่นั้น

 

 

นางผงะไปครู่หนึ่ง องค์หญิงใหญ่ผู้นี้เป็นบุคคลที่เก่งกาจอย่างที่ผู้คนเล่าขานโดยแท้

 

 

“ใช่แล้ว!” ทันทีที่องค์หญิงใหญ่เอ่ยขึ้น ทำให้สติสัมปชัญญะของหวังซื่อหวนคืนมา ไม่ถูกซูหลีจูงจมูกอีกต่อไป

 

 

“ใต้เท้าซู เฮ่อเอ๋อร์ก็เตรียมไปสำนักเต๋อซั่นกับท่านแล้ว ไยเจ้าถึงกระทำเช่นนี้กัน หากผู้อื่นทราบเรื่องนี้ เกรงว่าคงจะไม่ดีต่อชื่อเสียงของใต้เท้าซูเท่าไรนัก!”

 

 

หวังซื่ออดกลั้นโทสะเอาไว้ในใจ แสยะยิ้มเย้ยหยันออกมา

 

 

ซูหลีได้ยินแล้วกลับไม่โกรธ นางเพียงผินหน้ามองหวังซื่อปราดหนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “เช่นนั้นข้าขอคำแนะนำจากป๋ายฮูหยินเสียหน่อย เรื่องนี้จะสามารถส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของข้าได้อย่างไร”

 

 

“จะพูดว่าข้าใช้อำนาจกลั่นแกล้งผู้อื่น? หรือข่มเหงคนที่อ่อนแอ? หรือจะกล่าวว่าใช้อำนาจบาตรใหญ่โดยไม่เห็นผู้อื่นให้สายตา?”

 

 

“นี่เป็นเรื่องธรรมชาติ ไม่ว่าใต้เท้าซูจะกระทำสิ่งใด อย่างไรก็เป็นสตรี สำหรับสตรีแล้วยังมีอะไรสำคัญกว่าชื่อเสียงอีกกัน

 

 

“หึ!” หลังจากซูหลีได้ยินคำพูดของหวังซื่อแล้ว ก็กลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่ได้

 

 

องค์หญิงใหญ่ที่อยู่ด้านข้างถึงกับขมวดหม่นย่นคิ้ว

 

 

ที่จริงจะว่าไปแล้ว ซูหลีเป็นคนที่เฉลียวฉลาดมาก แม้ฐานะของสกุลซูจะไม่สูงนัก ทว่าซูหลีกลับมีตำแหน่งขุนนางใหญ่ขั้นสอง หากพูดตามข้อเท็จจริงแล้ว ถือว่าไม่เลวทีเดียว

 

 

เมื่อครู่นางเห็นสายตาที่เซี่ยเสียนจ้องมองซูหลีแล้ว ในใจยังรู้สึกวูบไหว

 

 

หลังจากเห็นซูหลีเผยท่าทีเช่นนี้ออกมา นางจึงรู้สึกไม่เบิกบานใจนัก

 

 

อุปนิสัยที่เหิมเกริม ไม่ไว้หน้า ไม่ใส่ใจสิ่งใดเช่นนี้ หากแต่งเข้ามาในบ้าน เช่นนั้นวันเวลาเหล่านี้เกรงว่าคงไม่มีทางมีความสุข!

 

 

“ใต้เท้าซูหัวเราะอะไรกัน หรือเจ้าคิดว่าชื่อเสียงของสตรีมิสำคัญหรือ” คิดได้เช่นนี้องค์หญิงใหญ่เอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา น้ำเสียงที่เอ่ยออกมานั้นเป็นการย้อนถาม

 

 

ซูหลีได้ยินดังนั้นจึงมองนางปราดหนึ่ง องค์หญิงใหญ่เพิ่งจะพบนางคราแรกก็ไม่ชอบนางขนาดนี้เสียแล้ว

 

 

“ทูลองค์หญิง ข้าน้อยมิได้หมายความเช่นนี้ ชื่อเสียงของสตรีย่อมสำคัญอยู่แล้ว เพียงแต่ข้าน้อยให้คนทำลายแผ่นป้ายนี้เท่านั้น จะเกี่ยวข้องกับชื่อเสียงได้อย่างไร”

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 794 อย่ายั่วโมโหข้า!

 

 

องค์หญิงใหญ่ได้ยินดังนั้น จึงหรี่ตาลงเล็กน้อย จากนั้นจึงเอ่ยว่า “ความประพฤติที่เจ้ากระทำเมื่อครู่นั้น มีแค่สตรีชั่วร้ายเท่านั้นที่กระทำ สตรีชั้นสูงที่ถูกเลี้ยงห้องหับของสตรี และเข้าใจกฎเกณฑ์เป็นอย่างดี จะมีใครที่ใจกล้าบ้าบิ่นเหมือนเจ้ากัน!”

 

 

“ท่านแม่!” ทันทีที่เซี่ยเสียนได้ยินคำพูดของมารดาตนเองแล้ว ในใจก็เกิดลางสังหรณ์ที่มิดีนัก เมื่อได้ยินคำพูดที่เริ่มเกินกว่าเหตุมากขึ้นเรื่อยๆ ขององค์หญิงใหญ่ เขาจึงอยากยับยั้งนางเอาไว้

 

 

“ทำไมรึ หรือข้าพูดผิดกัน สตรีในใต้หล้ามีใครที่ทำตามอำเภอใจเช่นนางกัน นี่เป็นถึงจวนของป๋ายไต้ซือ ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ขั้นหนึ่ง!”

 

 

“ที่องค์หญิงตรัสมานั้นถูกต้องแล้ว” หลังจากหวังซื่อผงะไปเล็กน้อยก็มีท่าทีตอบโต้ และเข้าร่วมการพูดปรามซูหลี

 

 

“เรื่องที่มาโดยมิได้รับเชิญก็ช่างเถอะ นี่ยังพูดมิกี่ประโยคก็กระทำการอย่างมิมีเหตุผลเช่นนี้ มิรู้ว่าคิดจะข่มขู่ใครกัน!?” ในคำพูดของหวังซื่อนั้นยังแฝงไปด้วยการปลุกปั่น

 

 

นางต้องการให้องค์หญิงรังเกียจซูหลีมากกว่าเดิม หากสามารถทำให้องค์หญิงปะทะกับซูหลีแล้วล่ะก็ ความเกรี้ยวกราดนี้ก็ถือว่ามีคนออกแรงแทนพวกเขา!

 

 

อีกทั้ง…

 

 

“ข่มขู่ใคร?” ซูหลีเอ่ยคำพูดสามคำนี้ออกมา สีหน้าที่แสดงออกมานั้นพลันเย็นยะเยียบ นางมองหวังซื่อผู้นั้นด้วยใบหน้าเหมือนยิ้มแต่ก็เหมือนไม่ยิ้มแล้วเอ่ยว่า

 

 

“นี่ข้ากำลังข่มขู่ใคร ป๋ายฮูหยินยังมิทราบอีกหรือ”

 

 

หวังซื่ออ้ำอึ้งไปในทันที ชั่วขณะนี้นางมิทราบว่าซูหลีหมายความว่าอย่างไร

 

 

“ซูหลี เจ้าดูให้กระจ่าง ที่นี่เป็นถึงจวนป๋าย มิใช่สถานที่ที่เจ้าจะมาทำตัวอันธพาลตามอำเภอใจได้!?” ป๋ายเฮ่อเอ่ยขึ้นอย่างมิอดทน เขาชี้ไปที่จมูกของซูหลีและก่นด่าด้วยความโมโห

 

 

“เหอะ” ทว่าสิ่งที่ตอบกลับเขา มีเพียงแค่เสียงหัวเราะเย็นชาของซูหลีเท่านั้น นางเงยหน้าจ้องมองป๋ายเฮ่อกับหวังซื่อ แล้วเอ่ยด้วยเสียงเยียบเย็นว่า

 

 

“เช่นนั้นคุณชายป๋ายกับป๋ายฮูหยินฟังไว้ให้ดี!”

 

 

“เรื่องทั้งหมดที่ซูหลีทำในวันนี้ เป็นอย่างหวังฮูหยินพูดไว้มิผิด ข้าอยากจะข่มขู่ผู้อื่น เพียงแต่คนที่ข้าอยากข่มขู่นั้นมิใช่ใครอื่น คือพวกเจ้าสกุลป๋าย!” ทันทีที่ซูหลีพูดจบ ทุกคนก็ต่างตื่นตกใจ

 

 

ใครก็ล้วนคิดไม่ถึงว่า ซูหลีจะเปิดเผยตัวตนของตนเองในที่นี้

 

 

“คนสกุลป๋ายคงจะมิเข้าใจข้าเท่าไรกระมัง ข้าผู้นี้แม้เป็นเรื่องเล็กน้อยก็ต้องแก้แค้น ข้อดีของข้าที่สุดก็คือ เป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น หรือป๋ายฮูหยินกับคุณชายป๋ายรู้สึกว่า สกุลของพวกเจ้าใช้ทุกวิถีทาง เพื่อต้องการให้ข้ารับเคราะห์แล้ว ข้ายังต้องวางตัวนอบน้อม ยกยอปอปั้นพวกเจ้าอีกหรือ?”

 

 

“ขอโทษ ข้าทำมิได้!” คำพูดนี้แม้จะเอ่ยว่าขอโทษ ทว่าใบหน้าของซูหลีกลับมิมีความรู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อย

 

 

“วันนี้ที่มาหาถึงที่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทำลายแผ่นป้ายหรือทะเล่อทะล่าเข้ามาภายในจวนก็ตาม ข้าเพียงต้องการจะเตือนคนสกุลป๋ายว่า อย่ายั่วโมโหข้า…” นางพูดถึงตรงนี้พลันหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง ในดวงตาคู่งามนี้เต็มไปประกายลุ่มลึก

 

 

“ซูหลีนั้นมิใช่คนที่อารมณ์ดีอะไรตั้งแต่แรกอยู่แล้ว มิเหมือนคนหน้าหนาไร้ยางอายบางคน ที่มิทำตามที่ตนเดิมพันไว้ แต่กลับอยากจะแว้งกัดผู้อื่น! คำพูดนี้ใครอยากรับก็รับไป ข้ามิสนใจ!”

 

 

“ชุยตาน!” ในขณะที่ทุกคนยังไม่มีท่าทีตอบสนอง ซูหลีพลันส่งเสียงเรียกชุยตาน

 

 

“ขอรับ” ชุยตานขานรับ

 

 

“ตุบของสิ่งนี้ให้แตกซะ สกุลป๋ายส่งแผ่นป้าย นี่เป็นทัศนคติของสกุลป๋ายมีต่อข้า และทัศนคติของข้าซูหลีผู้นี้ คือต้องการทำลายแผ่นป้ายนี้ส่งคืนให้กับสกุลป๋าย!”

 

 

“ขอรับ!”

 

 

เมื่อซูหลีเห็นชุยตานขานรับอย่างมิลังเล มุมปากนางจึงยกขึ้น นางสาวเท้าก้าวเดินไปด้านหน้าก้าวหนึ่ง เพื่อจะยืนอยู่ใกล้กับสองแม่ลูกสกุลป๋ายมากขึ้น

 

 

“หากป๋ายฮูหยินกับคุณชายป๋ายมิพอใจ ก็สามารถไปเขียนจดหมายฟ้องร้องข้าต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาทได้!”