ตอนที่ 368 คำรายงาน / ตอนที่ 369 ช้อนตาประสบ

บุปผาเคียงบัลลังก์

ตอนที่ 368 คำรายงาน 

 

 

หยวนซิ่วฟังสั่งคนอื่นๆ ให้ออกไปแล้วเข้าไปในห้องหนังสือกับจินเฮ่า จากนั้นเล่าเรื่องเหลวไหลที่จินกุ้ยเฟยกับสามีอีกทั้งยังมีแม่สามีร่วมกันกระทำออกมาจนหมด 

 

 

จินเฮ่าโกรธพลุ่งพล่านคิดจะระบายโทสะ แต่ในห้องมีเพียงหยวนซิ่วฟังเท่านั้นเขาจึงต้องอดกลั้นไว้ แต่เพียงตบฝ่ามือลงบนโต๊ะเท่านั้น เสียงก็ดังสนั่นหวั่นไหว 

 

 

“ท่านพ่ออย่าโกรธเลยเจ้าค่ะ อย่างไรเรื่องก็เกิดขึ้นมาแล้วโกรธไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร เหตุที่วันนั้นฝ่าบาททรงอภัยโทษให้อวิ๋นเทียนกลับบ้านเดิมได้นั้นเป็นเพราะอวิ๋นเซียงฉืออยู่ข้างกายพระองค์ และพระองค์ไม่โปรดให้นางถูกผู้อื่นควบคุม ซึ่งเป็นเหตุผลที่เข้าใจได้” 

 

 

“ทว่ากุ้ยเฟยทรงไม่พอพระทัย จึงมีพระเสาวนีย์มาถึงให้เข่นฆ่าสกุลอวิ๋นทั้งครอบครัว ซึ่งความจริงก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เพียงแต่กระทำไม่ถูกเวลาเท่านั้น” 

 

 

“คนยังไม่ทันออกพ้นชังโจวก็ถูกประทุษร้าย ทั้งยังตายอยู่ในเหมืองของบ้านเราอีกด้วย” 

 

 

“เรื่องนี้ความจริงก็ไม่ได้สำคัญนัก แต่บิดาของลูกบอกว่าเป็นเพราะเหอเจี่ยนสุยหัวหน้าสำนักศึกษาถวายฎีกาต่อฝ่าบาท เพื่อจะขอกระดูกของอวิ๋นเทียนจากจวนขุนพลของพวกเรา เมื่อเกิดเรื่องขึ้นเช่นนี้ ฝ่าบาทย่อมไม่พอพระทัยเจ้าค่ะ” 

 

 

หยวนซิ่วฟังเป็นหญิงสาวที่เฉลียวฉลาด สามารถศึกษาเข้าใจความคิดอ่านผู้อื่นได้อย่างถี่ถ้วน หากมิใช่ด้วยความสามารถนี้ นางคงไม่สามารถผ่านเข้าประตูจวนขุนพล ทั้งยังมาเป็นนายหญิงของบ้านสกุลจินได้ 

 

 

“ฝ่าบาทไม่พอพระทัยรึ พระองค์…” 

 

 

ขุนพลจินฟังคำพูดของหยวนซิ่วฟังแล้วพอจะมองอะไรออก สายตาจึงเย็นเยียบลง 

 

 

“เจ้าโง่สองคนนั่น สร้างความเดือดร้อนอย่างมหันต์ให้ข้าเสียแล้ว!” 

 

 

แน่นอนว่าขุนพลจินเข้าใจถึงจุดสำคัญในเรื่องนี้ เขาตบฝ่ามือลงบนโต๊ะอีกครั้ง ทำให้โต๊ะที่ถูกกระทบด้วยเรี่ยวแรงมหาศาลถึงกับส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดขึ้น 

 

 

หยวนซิ่วฟังรู้ดีว่าจินเฮ่าจะต้องเป็นเช่นนี้ นางไม่ลนลาน ยังคงนั่งอย่างสงบอยู่ด้านข้างมองดูไฟโทสะของจินเฮ่าที่ลุกโชน 

 

 

“ท่านพ่อจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้เจ้าคะ ฝ่าบาทพิโรธนั้นก็จริงอยู่ แต่ดูจากที่ทรงกระทำแล้วไม่ได้ทรงมีเจตนาจะนำเรื่องนี้มาคิดบัญชีอะไร กลับเห็นชัดตามความรู้สึกของลูกว่าฝ่าบาทเพียงเตือนท่านพ่อเท่านั้น” 

 

 

“พระองค์ยังทรงรำลึกถึงความสัมพันธ์ครั้งเก่าก่อน แล้วเรื่องนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการลบหลู่พระองค์โดยตรง ส่วนลูกเองก็ทำงานไม่รอบคอบ หากรู้เรื่องนี้ก่อนแต่ต้น คงจะไม่เลินเล่อจนเกิดความผิดพลาดใหญ่หลวงเช่นนี้” 

 

 

วันนั้นหยวนซิ่วฟังกลับบ้านเดิม ส่วนข่าวจากในวังก็ส่งมาถึงมือจินฮูหยินพอดี มิเช่นนั้นแล้วข่าวคราวเช่นนี้นางย่อมต้องตรวจสอบหาความจริงเสียก่อน จะไม่มีทางปล่อยให้จินรั่วหลินกระทำการเลอะเทอะเช่นนี้ 

 

 

เมื่อนางพูดเช่นนั้น จินเฮ่ากลับสะบัดมือ 

 

 

“เรื่องนี้โทษเจ้าไม่ได้ เจ้าสองตัวดีนั่นจะต้องจัดการอย่างจริงจังเสียที คนหนึ่งไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำคิดว่าเมืองหลวงเป็นชังโจว ส่วนอีกคนก็โง่งมตลอดกาลหมดทางเยียวยา!” 

 

 

หยวนซิ่วฟังไม่แยแส นางเองก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร เพราะในใจนางก็คิดเช่นนั้น ครั้งนั้นที่บิดาให้นางแต่งเข้าบ้านสกุลจิน ก็เพราะเห็นว่าจินเฮ่าฉลาดปราดเปรื่อง ส่วนจินรั่วหลินก็เชื่อฟังบิดาเป็นอันมาก 

 

 

เขาเป็นพวกมือไม้แคล่วคล่องทว่าไร้สมอง เพียงหยวนซิ่วฟังมาเป็นมันสมองให้เขาก็ใช้ได้แล้ว 

 

 

ซึ่งทั้งสองครอบครัวต่างรู้กันดี ขอเพียงหยวนซิ่วฟังมีความฉลาดปราดเปรื่องก็เพียงพอแล้ว ซึ่งนางเองก็คิดเช่นนั้น ดังนั้นตั้งแต่ที่นางเข้าบ้านสกุลจินมา นอกจากจินเฮ่าแล้วคนอื่นล้วนไม่อยู่ในสายตานาง สามีนางก็เช่นกัน 

 

 

จินเฮ่าไม่รู้ความคิดของหยวนซิ่วฟัง เขายังคงโกรธอยู่ภายใน แต่โทสะของเขาในตอนนี้ไม่ใช่พุ่งไปที่ฮ่องเต้แต่เป็นเหอเจี่ยนสุย ล้วนเป็นเพราะเขาที่ถวายฎีกาขอกระดูกคืน 

 

 

นี่เป็นการยุแหย่ฝ่าบาทให้เกิดความแตกแยกอย่างแน่ชัด แล้วฝ่าบาทก็ทรงเชื่อเขาเสียด้วย 

 

 

ถึงแม้ครั้งนี้ฝ่าบาทจะตำหนิเขาอย่างเปิดเผยเพื่อแสดงให้เห็นว่าพระองค์ไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้นัก แต่เขาเป็นนักรบที่อยู่ในราชสำนักในนานปีเช่นนี้ มีหรือจะไม่รู้ว่าการนี้มีแผนการอะไรอยู่ 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 369 ช้อนตาประสบ 

 

 

วันนี้หรงจิงมีงานต้องสะสางมากมาย เหล่าท่านอ๋องพระญาติทั้งหลายที่ไม่ได้พบกันมานานวันนี้ต่างพากันมาเยี่ยมคารวะพูดคุย เขาเองก็คร้านจะปฏิเสธจึงได้ให้เข้าพบจนครบทุกคน ดังนั้นตลอดทั้งวันจึงมีงานที่ไม่ได้ทำมากมายแต่กลับได้พบปะผู้คนมากหน้าหลายตา 

 

 

กว่าจะกลับไปถึงตำหนักเจิ้งหยางฟ้าก็มืดแล้ว เมื่อผ่านเข้าประตูตำหนักพบเพียงความเงียบสงัดและไม่เห็นเซียงฉือเดินไปมาอยู่ในนั้น 

 

 

หรงจิงฝึกวิทยายุทธเป็นประจำ ทำให้เสียงฝีเท้าของเขาเบาโดยไม่เจตนาและเป็นความเคยชินไปแล้ว เขาเดินด้วยฝีเท้าแผ่วเบาเข้าไปยังโถงด้านใน 

 

 

เขาไม่คิดว่าจะมีใครอยู่ข้างในจึงเดินไปถึงหน้าโต๊ะตามสบายเพื่อจะไปอ่านรายงานต่อ ช่วงนี้เขายุ่งไปกับการงานอื่นจนแทบจะไม่มีเวลา 

 

 

แน่นอนว่าเขาก็ทุ่มเททั้งแรงกายและความคิดเกือบทั้งหมดไว้กับสิ่งนี้ พอเข้าไปถึงตำหนักฉินเจิ้ง ก็เห็นเซียงฉือขดตัวเป็นก้อนฟุบอยู่บนโต๊ะหนังสือหลับสนิท 

 

 

“จะนอนทั้งทีเหตุใดต้องประหลาดเช่นนี้ด้วย ไม่รู้จักไปหลับไปนอนบนเตียงให้ดี” 

 

 

หรงจิงมองดูเซียงฉือฟุบอยู่ในที่นั้นอย่างน่าเอ็นดูก็บังเกิดความรักใคร่เอ็นดูขึ้น เขาชอบการตรวจอ่านรายงาน เพราะนอกจากเขาจะเป็นฮ่องเต้ที่ต้องการจะเป็นฮ่องเต้ที่ดีแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดคือเขาชื่นชอบจัดการงานเมือง และงานเมืองสำหรับเขานั้นก็เป็นเรื่องง่าย 

 

 

ตรงกันข้ามกับฝ่ายใน ความสกปรกโสมมในที่นั้นเป็นสิ่งที่เขาไม่พึงปรารถนาแลเห็นอย่างที่สุด แต่จำเพาะผู้หญิงพวกนั้นก็เป็นผู้หญิงของเขาทั้งสิ้น นอกจากความถูกต้องแล้วยังมีความผูกพัน ซึ่งจะจัดการอะไรขึ้นมาล้วนทำให้เขาลำบากใจ 

 

 

ดังนั้นเขาจึงชอบตำหนักเจิ้งหยางที่อยู่ระหว่างฝ่ายในกับราชสำนักฝ่ายหน้าที่สุด ที่นี่เป็นสถานที่ที่เขาใช้เวลาอยู่ได้นานที่สุด 

 

 

และเป็นสถานที่ทำงานที่สำคัญของเซียงฉือ ส่วนเขาก็ได้อยู่ในสถานที่ที่สบายที่สุดและพบกับหญิงสาวที่เขาคิดว่าให้ความสบายใจเป็นที่สุดอีกด้วย 

 

 

หญิงสาวคนนี้ถึงจะมีความคิดอ่านแผนการอยู่บ้างแต่ทว่าปรากฏให้เห็นได้ง่ายดาย ถึงจะต้องการให้ตนเองได้มีชีวิตที่ดีขึ้นบ้างแต่ก็ไม่ทำร้ายคนอื่นทั้งไม่เจ้าเล่ห์เพทุบาย ทำให้หรงจิงมองความคิดอ่านของนางได้อย่างชัดเจน 

 

 

นางเผยตัวโจ่งแจ้งอยู่ต่อหน้าเขา ใช้ชีวิตอยู่ในความเป็นจริง และเป็นความเป็นจริงที่เขาชื่นชอบ 

 

 

หรงจิงเดินไปข้างกายเซียงฉือ เขายื่นนิ้วมือออกไปเขี่ยเส้นผมที่ปรกหน้าผากนาง เผยให้เห็นหน้าผากที่ขาวผุดผาด ท่านอนหลับของเซียงฉือนับว่าดี เพราะอย่างน้อยก็ไม่มีน้ำลายยืดออกมา 

 

 

เมื่อเขาเห็นนางรู้สึกหนาวเย็นจึงไปหาผ้าคลุมมาคลุมให้นางผืนหนึ่ง สัมผัสที่นุ่มแผ่วเบาสร้างความพึงพอใจแก่นาง ทำให้นางยิ่งซุกตัวแนบแน่นกิริยาท่าทางออดอ้อนแบบเด็กๆ 

 

 

หรงจิงมองดูท่าทางของนางอยู่อย่างนั้น เขานั่งลงข้างกายนาง ลูบเส้นผมยาวดำแล้วไล้แก้มนาง ความรู้สึกนั้นเป็นไปโดยธรรมชาติ เขามองดูจมูกได้รูปของนางกับคิ้วที่มีความคล้ายคลึงกับของเขา หากเปรียบกับสตรีอื่นแล้ว คิ้วของนางแลดูเชิดเกินไปสักหน่อย 

 

 

แต่เมื่อประกอบเข้ากับดวงตาหงส์ของนางแล้วแลดูเหมาะสมที่สุด ดูมีชีวิตชีวา ตื่นตัวเฉลียวฉลาด 

 

 

นิ้วมือของเขาลูบไล้ไปช้าๆ ดวงตากับริมฝีปากเขาก็ค่อยๆ เคลื่อนเข้าใกล้ เป็นความรู้สึกที่ถูกนำพาไปตามธรรมชาติ 

 

 

ราวกับควรเป็นไปเช่นนี้อยู่แล้ว เขาลูบไล้แก้มนวลของนางเบาๆ คิดที่จะประทับจูบแผ่วๆ ลงบนแก้มสีชมพูคู่นั้น 

 

 

หรงจิงเคลื่อนเข้าไปจนลมหายใจยิ่งชิดใกล้ รอยยิ้มหวานฉ่ำผุดขึ้นบนริมฝีปากเขา 

 

 

เซียงฉือรู้สึกว่ามีคนเข้ามาใกล้ ทั้งลมหายใจของหรงจิงก็ยิ่งกระชั้นชิด ขนตานางสั่นไหวขึ้นเบาๆ ดวงตาดำสดใสก็ลืมขึ้นมาในทันที