ตอนที่ 715 บทนำของวิวัฒนาการระดับโลก

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

พวกนักเรียนธรรมดาไม่ได้มองหลี่ว์ซู่แปลกไปเลย เขาก็แค่เป็นผู้บำเพ็ญคนหนึ่งที่ไม่ค่อยจะเด่นเท่าไหร่นัก 

 

 

แต่สำหรับนักเรียนเต้าหยวนแล้วพวกเขาทำเป็นไม่สนหลี่ว์ซู่ไม่ได้จริงๆ 

 

 

นักเรียนหลายคนที่มาจากพื้นที่อื่นๆ ในโบราณสถานหลัวปู้พัวไม่ได้รู้จักหลี่ว์ซู่เท่าไหร่ บางคนยังจำชื่อเขาผิดเลย มีนักเรียนที่มาจากเมืองหลวงเคยถามเฉินจวนด้วยว่า “ขอถามชื่อหัวหน้ากลุ่มระลอกทองแดงหน่อยสิ ชื่ออะไรนะ ลิโป้ใช่ไหม หรือหลี่ว์ซู่ เอ๊ะ หรือว่าหลี่ว์หงหลิว” 

 

 

แต่พวกนักเรียนเต้าหยวนจากเมืองลั่วกลับรู้สึกต่างออกไป เหตุการณ์ล่าสุดทำให้พวกเขาเปลี่ยนความคิดที่มีต่อหลี่ว์ซู่ไปอย่างมาก หลี่ว์ซู่สู้อยู่ในเวทีต่างประเทศมาตลอด แต่คนอื่นๆ ยังต้องบำเพ็ญเพียรในประเทศจีนอยู่เลย 

 

 

“มีอะไรกันเหรอ” คนบางคนถามนักเรียนห้องเต้าหยวนที่อยู่ข้างๆ ขึ้นมา 

 

 

นักเรียนเต้าหยวนที่เพิ่งจะได้รับคำชื่นชมแบบเกินจริงจากเพื่อนร่วมชั้นที่เป็นนักเรียนธรรมดาตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ไม่มีอะไรหรอก เดี๋ยวฉันกลับบ้านละ ทุกคนต่อกันเลยนะ” 

 

 

“ทำไมรีบจัง” เพื่อนร่วมชั้นคนนั้นดูไม่เข้าใจ 

 

 

แล้วนักเรียนเต้าหยวนก็สูดหายใจเข้าลึกก่อนตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “ต้องไปฝึกบำเพ็ญต่อน่ะ” 

 

 

เมื่อก่อนการเป็นราชันฟ้าดูเหมือนจะเป็นเป้าหมายที่อยู่ไกลเกินเอื้อม เพราะพวกราชันฟ้าเป็นคนที่มีพลังมากที่สุดในประเทศแล้ว ซึ่งก็เข้าใจได้อยู่ 

 

 

แต่เมื่อเพื่อนร่วมชั้นของพวกเขาไปถึงเป้าหมายนั้นได้แล้ว พวกเขาก็คิดได้ว่าพวกเขาไม่มีเวลาเหลือมากแล้ว 

 

 

ตอนนี้แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญอย่างหลี่ว์ซู่ยังกลับบ้านไปบำเพ็ญต่อ แล้วพวกเขาจะพอใจกับสถานะที่เป็นอยู่และจะรับคำชมที่พวกเขาไม่สมควรได้รับได้อย่างไรกัน 

 

 

นักเรียนเต้าหยวนคนนั้นเดินออกจากห้องเรียนไปเงียบๆ แล้วไปเจอหลี่ว์ซู่ที่กำลังอยู่กับราชันฟ้าครูใหญ่หลี่อีเสี้ยวเข้า 

 

 

หลี่อีเสี้ยวพูดขึ้นมา “ปะ ไปหาอะไรดื่มกัน” 

 

 

“ได้สิครับ” หลี่ว์ซู่ตอบกลับ 

 

 

นักเรียนเต้าหยวนคนนั้นอึ้งไปเลย นี่สินะความแตกต่างระหว่างหลี่ว์ซู่กับเขา! โหดร้ายเกินไปแล้ว! 

 

 

[ได้แต้มจากเฉินปั๋วคัง +666!] 

 

 

… 

 

 

ที่วิทยาลัยบำเพ็ญลั่วเฉิงจะเปิดภาคเรียนเร็วกว่าโรงเรียนอื่นๆ ไปเล็กน้อย นักเรียนทุกคนจะต้องส่งเอกสารที่เกี่ยวข้องให้เรียบร้อย ทรัพยากรการบำเพ็ญรวมถึงศิลาวิญญาณจะถูกโอนไปให้วิทยาลัยบำเพ็ญลั่วเฉิงทั้งหมดตั้งแต่นั้น จะไม่ใช่ของโรงเรียนก่อนหน้าอีกต่อไป 

 

 

ใบหน้าของหลี่อีเสี้ยวเปลี่ยนสีแดงก่ำเพราะถ่านร้อนๆ ที่จุดใต้หม้อในร้านหม้อไฟ ดูเหมือนกับว่าเขากำลังเมาเหล้า 

 

 

หลังจากที่เขาดื่มเบียร์ไปสองแก้วหลี่อีเสี้ยวก็พูดขึ้นมาว่า “ช่วงนี้มีเหตุการณ์แปลกๆ เกิดขึ้นในบริเวณที่เต็มไปด้วยคลื่นพลังจิตวิญญาณทั่วโลก” 

 

 

หลี่ว์ซู่ชะงักไป โยวหมิงอวี่ก็บอกเขามาแบบนี้เหมือนกัน แต่ตอนนั้นเขาไม่ได้ใส่ใจอะไร “เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ” 

 

 

“ก็พวกสัตว์วิเศษและพืชพรรณวิเศษมีเยอะขึ้นมากเลยน่ะสิ” หลี่อีเสี้ยวตอบ “มันไม่เป็นปัญหาสำหรับเราหรอก แต่ทำเอาพวกคนธรรมดาปวดหัวกันมาก” 

 

 

หลี่ว์ซู่พยักหน้าเห็นด้วย “จริงครับ ขนาดพวกสัตว์ระดับ F ยังก่อปัญหาให้ชีวิตของพวคนธรรมดาได้เยอะมากจริงๆ “ 

 

 

เมื่อก่อนสัตว์วิเศษเป็นที่นิยมมาก พวกคนรวยๆ ยอมจ่ายเงินกันก้อนโตเพื่อซื้อพวกมันมา แล้วพอได้เป็นเจ้าของสัตว์พวกนั้นแล้วก็เหมือนจะได้ยกสถานะทางสังคมของตัวเองได้ แต่ปัญหาก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อสัตว์พวกนี้เริ่มจะแสดงความแข็งแกร่งที่ผิดธรรมดาของพวกมันออกมา 

 

 

“มีเศรษฐีตะวันออกกลางบางคนเลี้ยงเสือดาวและสิงโตวิเศษไว้ แต่สัตว์พวกนั้นก็เกิดขบถขึ้นมาและพวกสัตว์เลี้ยงระดับ D สามตัวนี้ก็หนีเข้าป่าไปหลังจากออกไปฆ่าคนเป็นร้อยๆ คน” หลี่อีเสี้ยวกล่าว “เหตุการณ์นี้ยังแค่เบาะๆ นะ ของจริงน่ะคงก็คงเป็นเหตุการณ์ของชาวเมืองจากเมืองในออสเตรเลียสองสามปีก่อน อยู่ๆ คืนนั้นก็มีแมงมุมแม่หม้ายหลังแดงกินเนื้อกลุ่มหนึ่งมาปรากฏตัวในเมือง คืนเดียวเท่านั้นก็ทำให้เมืองนั้นกลายเป็นนรกไปเลย พวกมันทั้งตัวใหญ่ทั้งดุร้ายเป็นธรรมดาอยู่แล้ว แถมมันยังฉลาดกันมาก พวกคนธรรมดาไร้ทางสู้ไปเลย” 

 

 

หลี่ว์ซู่คิดตามที่หลี่อีเสี้ยวพูดออกมา พวกสัตว์เลี้ยงที่เกิดขบถยังเข้าใจได้ เพราะพวกมันส่วนมากโดนปฏิบัติแบบไม่ถูกต้องกันอยู่แล้ว แต่ก็ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นประจำเท่าไหร่ อย่างน้อยเขาก็ปฏิบัติกับเสี่ยวซยงสวี่ดี เป็นต้น… 

 

 

ถึงเสี่ยวซยงสวี่น่าจะไม่เห็นด้วยก็ตามแต่… 

 

 

เมื่อพวกสัตว์วิเศษแข็งข้อกับเจ้าของแล้ว พวกมันก็จะตอบโต้ความรุนแรงนั้นกลับไปสู่คนที่ทำร้ายพวกมัน ซึ่งจะก่อหายนะอย่างมากกับพวกคนธรรมดา 

 

 

แต่อย่างสัตว์พวกแมงมุมแม่หม้ายหลังแดงนั้นอันตรายยิ่งกว่า พวกมันจะโจมตีสัตว์ที่พวกมันกินได้ทุกชนิด ไม่ใช่เพียงมนุษย์เท่านั้น เพราะเป็นธรรมชาติของมันอย่างไรล่ะ! 

 

 

“สังเกตเห็นบ้างหรือเปล่าว่าพืชพรรณในเมืองลั่วมีเยอะขึ้นมาก แต่ก็ยังไม่มีรายงานว่ามีคนโดนพืชพวกนี้โจมตีกัน” หลี่อีเสี้ยวอธิบาย “แต่เราก็ยังนิ่งนอนใจไม่ได้เพราะเมืองลั่วเป็นหนึ่งในเมืองที่มีคลื่นพลังจิตวิญญาณมากที่สุดในประเทศ” 

 

 

หลี่ว์ซู่ถอนหายใจด้วยอารมณ์ที่ปะปนกันไป “ผมไม่รู้เลยว่าคุณจะจริงจังได้ขนาดนี้… “ 

 

 

หลี่อีเสี้ยวตอบกลับอย่างภูมิใจ “แน่สิ ก็นี่เป็นเรื่องจริงจังนี่นา” 

 

 

“อย่างที่คิดไว้เลยว่าโบราณสถานในต่างประเทศคงจะไม่ใช่เรื่อง ‘จริงจัง’ สำหรับคุณ…” หลังจากที่หลี่ว์ซู่คิดไปพักหนึ่งก็พูดต่อ “เราต้องระวังพืชพรรณของเราด้วยนะครับ มันก็มีธรรมชาติของมันเหมือนกัน” 

 

 

“พืชพรรณไม่มีธรรมชาติของมันหรอก” หลี่อีเสี้ยวแย้ง “มันไม่ได้มีสติปัญญานะ” 

 

 

“แต่มันก็ปกป้องเมล็ดของมัน” หลี่ว์ซู่อธิบาย “พืชบางอย่างก็พัฒนากลไกพิเศษอย่างปล่อยพิษหรือว่าพรางตัวเพื่อปกป้องเมล็ดของมันด้วย ที่เรียกว่าวิวัฒนาการน่ะครับ จะได้สืบต่อพันธุ์ของมันต่อไป แล้วตอนนี้เรากำลังจะได้เห็นวิวัฒนาการระดับโลกด้วย” 

 

 

ถึงมันจะไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไร แต่มนุษย์จะไม่ใช่จำพวกเดียวที่จะได้รับผลประโยชน์จากคลื่นพลังจิตวิญญาณเท่านั้น สิ่งมีชิวิตทั้งหมดก็จะได้รับผลกระทบไปด้วย 

 

 

ตอนนี้พลังกายของพวกคนธรรมดาก็เพิ่มขึ้นมาแล้ว ถึงแม้จะไม่ได้มากมายและอยู่ที่ประมาณหนึ่งในสิบของพวกระดับ F เท่านั้น แต่ก็แสดงให้เห็นถึงอะไรบางอย่าง 

 

 

“พูดก็พูดเถอะ แล้วเสี่ยวซยงสวี่เสี่ยวซยงสวี่ของนายล่ะ” หลี่อีเสี้ยวถามอ้อมแอ้ม 

 

 

หลี่ว์ซู่เข้าใจแล้วว่าหลี่อีเสี้ยวต้องการจะพูดถึงอะไร 

 

 

“ผมเพิ่งพูดอะไรไปนะครับ” หลี่ว์ซู่ถาม 

 

 

“นายกำลังพูดถึงธรรมชาติของสัตว์หรือพืชอยู่” 

 

 

“ไม่ครับ ผมกำลังพูดว่าขอให้การร่วมมือของเราครั้งหน้าสำเร็จด้วยดีด้วยครับ” หลี่ว์ซู่พูดอย่างหนักแน่น 

 

 

“อ๋อ เออ ใช่ เมื่อกี้นายกำลังพูดถึงเรื่องนี้นี่นา มาเถอะ ยกให้หมดแก้วเลย” หลี่อีเสี้ยวพูดออกมาด้วยสีหน้าชื่นบาน 

 

 

หลี่ว์ซู่ขมวดคิ้ว เขาสงสัยว่าทำไมเครือข่ายฟ้าดินถึงต้องมาสนใจเรื่องสิ่งมีชีวิตอย่างเสี่ยวซยงสวี่ด้วย 

 

 

สุดท้ายแล้วหลี่อีเสี้ยวก็ดื่มจนเมามายอย่างกับว่าไม่ค่อยได้มีโอกาสดื่มมาก่อน จากนั้นเขาก็เริ่มบ่นกับหลี่ว์ซู่ “ทำไมชีวิตฉันถึงได้ยากขนาดนี่นะ ความสัมพันธ์ครั้งที่สองของฉันพังอีกแล้ว” 

 

 

หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าเขาเห็นใจหลี่อีเสี้ยวได้ยากจริงๆ …เขายิ้ม “ผมคิดว่าคุณกับน่าหลานเชวี่ยคงจะรักกันไม่ว่าจะมีเกิดอะไรขึ้นซะอีก แล้วเกิดอะไรขึ้นกับความสัมพันธ์แรกกันล่ะครับ” 

 

 

“เมื่อก่อนเรารักกันมากจริงๆ แล้วฉันก็บอกว่าฉันอยากทำเรื่องอย่างว่ากับเธอ แต่เธอปฏิเสธ เธอบอกว่าจะทำได้ก็หลังแต่งงานเท่านั้น ฉันก็เลยบอกว่าไม่มีปัญหา ถ้าแต่งงานแล้วอย่าลืมมาบอกฉันด้วยล่ะ… ” หลี่อีเสี้ยวเริ่มพูดไม่ชัดด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ 

 

 

หลี่ว์ซู่อึ้งไป “แล้วจากนั้นเกิดอะไรขึ้นครับ” 

 

 

“จากนั้นเธอก็หนีตามผู้ชายคนอื่นไปน่ะสิ! ” หลี่อีเสี้ยวทำหน้าเศร้า 

 

 

ดูเหมือนว่าเธอจะทำถูกต้องแล้วล่ะ…ผู้หญิงคนที่สองของหลี่อีเสี้ยวควรจะเป็นน่าหลานเชวี่ย แต่หลี่ว์ซู่ก็ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างพวกเขา 

 

 

หลี่ว์ซู่ก็เลยถาม “แล้วคนที่สองล่ะครับ” 

 

 

“เธอไม่ยอมหนีไปน่ะสิ… “