ตอนที่ 501 หารือการทหารบนกระดาษ

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 501 หารือการทหารบนกระดาษ

“มีสิ่งใดมิเหมาะสมกัน ? ”

ฮ่องเต้ตรัสถามพร้อมพระขนงที่ขมวดขึ้นเล็กน้อย

ในสายตาของฮ่องเต้ เยี่ยนเป่ยซีหรือผู้ใดก็ตาม ย่อมเห็นว่าการที่ฟู่เสี่ยวกวนขัดวิธีการของฝ่าบาทมิใช่เรื่องแปลก ชายผู้นี้มักขัดแย้งด้านวิธีการกับฝ่าบาทเสมอ จนถึงตอนนี้ สิ่งที่เขาแย้งมาทั้งหมดมักสมเหตุสมผลกันอย่างยิ่ง

ทว่ามองเยี่ยงไรก็มิเห็นว่าวิธีการจัดการของฝ่าบาทมิได้มิเหมาะสมตรงไหน ดังนั้นฝ่าบาทจึงดำเนินมาหยุดอยู่เบื้องหน้าของแผนที่เช่นกัน

ฟู่เสี่ยวกวนนิ่งมองอีกครู่หนึ่งแล้วจึงหันกลับมา “กระหม่อมคิดว่า การที่หยูชุนชิวมุ่งหน้าจากตะวันออกไปทางตะวันตกจนถึงสู่โจว จำต้องอ้อมฉ่านโจวเพื่อผ่านฉินหลิงและเข้าเจี้ยนโจว… ความยากลำบากของเส้นทางนี้ ไม่ต่างจากการเข้าซีฮวง เกรงว่าผ่านไปสองเดือนก็ยังไม่สามารถไปถึงสู่โจวได้

ดังนั้น กระหม่อมจึงคิดว่าฝ่าบาทมิสมควรมีราชโองการถึงจือโจวเมืองสู่โจวเท่านั้น แต่ควรมีราชโองการถึงเต้าถายของเจี้ยนหนานทั้งตะวันออกและตะวันตกอีกคนละหนึ่งฉบับ เมืองยุทธศาสตร์ทั้งสองทาง… ต้องเสริมการป้องกันเมือง ทหารรักษาการณ์ต้องฝึกอบรมและเตรียมชุดเกราะ

นอกจากนี้ ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา กระหม่อมได้ส่งปืนใหญ่หงอีกว่าหนึ่งร้อยกระบอกไปให้กับกองทัพชายแดนตะวันออก หากสงครามรุกเข้ามาก่อน…”

ฟู่เสี่ยวกวนหันกลับไปมองแผนที่อีกครา นิ้วมือชี้ลงตำแหน่งที่ตั้งของด่านชีผาน ซึ่งเป็นด่านแรกหากออกจากสู่โจวไปถึงซีฉินของฉ่านโจว

“กระหม่อมมีความเห็นว่า ให้กองทัพของหยูชุนชิวเข้ารักษาการ ณ ด่านชีผาน จะเหมาะสมกว่า”

เยี่ยนซือเต้าขยับมายืนหน้าแผนที่ พร้อมพิจารณาโดยละเอียดแล้วเอ่ยถามขึ้นมาว่า “หากกองกำลังศัตรูยึดหลิงโจวหรือหยูโจวแล้วเข้าสู่สองเส้นทางของเจียงหนานโดยใช้แม่น้ำแยงซีเล่า จะจัดการเยี่ยงไร ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนส่ายศีรษะ “ด้วยกำลังการเดินเรือในปัจจุบันมิสามารถรองรับจำนวนทหาร 300,000 นายรวมผู้ติดตามอีกเกือบ 400,000 นาย อย่างน้อยต้องใช้เรือขนาดใหญ่จำนวน 100 ลำ หากเซวี๋ยติ้งชานต้องการเรือคุณสมบัติเยี่ยงนั้น คงมิใช่เรื่องง่ายเพราะอย่างน้อยเขาต้องเสียเวลามากกว่าหนึ่งเดือน

หากเซวี๋ยติ้งชานต้องการถอยหลังต้องถอยโดยเร็ว ดังนั้นที่กระหม่อมคิดว่าเซวี๋ยติ้งชานจะออกเดินทางจากฉินหลิงไปฉ่านโจวและลงใต้อีกนั้น เหตุผลมีเพียง 3 ประการ

ประการที่หนึ่ง ช่วงฤดูหนาวถึงฤดูใบไม้ผลิคือช่วงที่แม่น้ำแยงซีแห้งขอด มิเอื้อต่อการสัญจรของเรือขนาดใหญ่

ประการที่สอง กองทัพของเซวี๋ยติ้งชานมิใช่ทหารเรือ แม้มิได้ต่อสู้กันบนน้ำ แต่น่านน้ำของแม่น้ำแยงซีตรงบริเวณช่องแคบฉวีถาง ช่องแคบอู รวมถึงช่องแคบซีหลิง… ก็คือตรงนี้”

ฟู่เสี่ยวกวนชี้ไปยังสามจุดบนแผนที่ แล้วกล่าวอีกว่า “ช่องแคบแต่ยาวทั้งสามนี้มีกระแสน้ำไหลเชี่ยว และหินโสโครกใต้น้ำที่ซับซ้อน ทหารบกเมื่อไปอยู่บนน้ำย่อมเกิดอาการเมาเรือเป็นจำนวนมาก… พวกท่านรู้จักอาการเมาเรือหรือไม่ ?

หากเมาเรือ หลังยกพลขึ้นบกต้องใช้เวลาฟื้นฟูกำลังมิต่ำกว่า 5 วัน หากโดนกองทัพของกระหม่อมจู่โจม ทัพศัตรูย่อมเสียหายอย่างหนัก ดังนั้นนี่มิใช่สิ่งที่เซวี๋ยติ้งชานอยากเห็นเป็นแน่ หากเขาสามารถขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดได้ย่อมทราบถึงเหตุผลนี้ดี”

ฟู่เสี่ยวกวนหันหลังกลับพร้อมกล่าวอย่างช้า ๆ “ประการสุดท้าย สิ่งที่กระหม่อมกังวลก็คือเซวี๋ยติ้งชานอาจจะไม่เข้าไปในซีฮวงตามราชโองการ หากเขาคิดจะต่อต้านต้องเป็นหลังจากรับราชโองการแล้วเป็นแน่ ดังนั้นเขาย่อมต้องเดินทัพจากเจี้ยนหนานตงเต้าเข้าเจี้ยนโจวจนถึง…”

ฟู่เสี่ยวกวนหันหน้ากลับมาดูแผนที่อีกครา จากนั้นก็ชี้นิ้วลงตำแหน่งทางสายเก่าจินหนิว “เขาต้องใช้ทางสายเก่าจินหนิวเพื่อข้ามด่านซีฉิน เข้าสู่เมืองเปาฉ่านโจวเลียบแม่น้ำเปาผ่านฉือเหมินแล้วผ่านฉินหลิง ออกจากซอกเขาเพื่อไปถึงชุนชวนระยะทางกว่าแปดร้อยลี้”

ชายหนุ่มเดินกลับไปยังโต๊ะน้ำชา ยกชาขึ้นดื่มจอกใหญ่แล้วกล่าวอย่างฉะฉานว่า “กระหม่อมคิดว่ากองทัพของเซวี๋ยติ้งชานไร้หนทางไปยังเจี้ยนหนานซีของสู่โจว ดังนั้นให้กองทัพของหยูชุนชิวประจำการ ณ ด่านชีผานจึงจะสามารถป้องกันจุดยุทธศาสตร์ด้านตะวันออกและตะวันตกของฉินหลิงเอาไว้ได้

เพียงรักษามิให้ด่านชีผานแตก ที่ราบภาคกลางย่อมมิถูกโจมตี เป็นไปมิได้ที่จินหลิงจะถูกรุกราน ทว่าทหารรักษาการด้านทิศตะวันออกและตกของเจี้ยนหนานต้องมีกำลังพร้อมรบ หากกองทัพของเซวี๋ยติ้งชานถูกสกัดที่ด่านชีผาน กองทหารรักษาการตะวันออกและตกต้องรวมกันเป็นกองทัพเดียวเพื่อช่วยกันเข้าปราบเซวี๋ยติ้งชานจากด้านหลัง มิเช่นนั้น…”

ฟู่เสี่ยวกวนสูดลมหายใจเข้าลึกพร้อมเลิกคิ้วขึ้น “มิเช่นนั้น เกรงว่าเซวี๋ยติ้งชานจะหันกลับมายึดเจี้ยนโจว หากเป็นเช่นนั้น คงมิง่ายที่กองทัพของกระหม่อมจะเข้าสู่ถนนเจี้ยนหนานซีได้

ทันทีที่ถนนเจี้ยนหนานซีตกอยู่ในเงื้อมมือของเซวี๋ยติ้งชาน เขาจะประสบความสำเร็จในการที่มียุ้งฉางหนึ่งเดียวในใต้หล้า ได้ครอบครองพื้นที่ราบขนาดใหญ่ ซีหรงจะกลายเป็นฐานกำลังขนาดใหญ่ของเขา เมื่อถึงเวลานั้น สงครามก็ยากที่จะรับมือแล้ว ! ”

ฮ่องเต้ทอดพระเนตรแผนที่พร้อมพระขนงที่ยังคงมิคลายปม ทบทวนอยู่นานสองนาน จากนั้นจึงกลับมาประทับยังโต๊ะน้ำชา

“ที่เจ้ากล่าวมาก็มีเหตุผล ทว่ากำลังพลของทหารรักษาการเขตเมืองช่างน่าเป็นห่วงยิ่ง ผู้ใดจะมีความสามารถในการรวบรวมกำลังพลให้เป็นหนึ่งกัน ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนกระตุกยิ้มมุมปาก “กระหม่อมคิดว่าเฟ่ยอันสามารถทำได้”

“เพียงมอบราชโองการลับให้แก่เฟ่ยอัน เขาย่อมมีอำนาจปกครองกองกำลังรักษาการแห่งเจี้ยนหนานซี ทั้งยังสามารถจัดการได้สำเร็จอย่างแน่นอน ทว่ากำลังพลนี้จะมีความสามารถเทียบเท่ากับกองทัพชายแดนตะวันตกได้หรือไม่ กระหม่อมมิกล้ารับประกัน ดังนั้นจึงอยากให้ทุกท่านเข้าใจเอาไว้ด้วยว่า…

หากศึกครานี้ได้รับความพ่ายแพ้ มิใช่เพราะเฟ่ยอันไร้ความสามารถ แต่ทว่าเกิดจากการเสียเปรียบด้านกำลังพลต่างหากเล่า ดังนั้นกระหม่อมจึงอยากทูลขอฝ่าบาทว่าอย่าได้ลงโทษเฟ่ยอันเลยพ่ะย่ะค่ะ”

“หากเฟ่ยอันพ่าย การรบในครานี้มิเท่ากับว่าเกิดเรือล่มเมื่อจอดหรอกหรือ ? ”

“มิถูกต้องเพราะตราบใดที่เฟ่ยอันสามารถประวิงเวลาเซวี๋ยติ้งชานได้ครึ่งเดือนและตรึงกำลังเอาไว้ หยูชุนชิวจะมีโอกาสเข้าโจมตีศัตรูได้”

เยี่ยนซือเต้าครุ่นคิด “กลับกัน หากเป็นเซวี๋ยติ้งชานที่เฝ้าเจี้ยนเหมินอยู่จะทำเยี่ยงไร ? ”

“หากเซวี๋ยติ้งชานยึดด่านชีผานมิได้ เขาย่อมถอยกลับเจี้ยนเหมินอย่างแน่นอน ทว่าเจี้ยนเหมินเพียงอย่างเดียวนั้นไร้ความหมาย เขาจะต้องส่งทหารออกไปยึดเมืองเฉิงตูเป็นการล่วงหน้าอย่างแน่นอน ดังนั้นทหารที่คอยเฝ้าเจี้ยนเหมินย่อมเหลือไม่มาก

ถึงเวลานั้น แม้ว่าปืนใหญ่หงอีจะอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่าแต่ก็ยังสามารถยิงไปถึงด้านล่างของเจี้ยนเหมินได้ การบุกเข้าเจี้ยนเหมินย่อมมิใช่เรื่องยากอีกต่อไป สิ่งที่กระหม่อมกังวลก็คือถ้าเซวี๋ยติ้งชานสามารถยึดเฉิงตูได้จะทำให้ชาวบ้านล้มตายจำนวนมาก ส่วนเสบียงคงมิเพียงพอให้ชาวเฉิงตูดำรงชีวิตได้ถึงฤดูกาลเก็บเกี่ยวคราหน้าเป็นแน่”

เยี่ยนซือเต้าพยักหน้าเล็กน้อย “ดังนั้น จุดประสงค์ของกลศึกนี้คือให้หยูชุนชิวปิดเส้นทางหลบหนีของเซวี๋ยติ้งชานและให้เฟ่ยอันรวบรวมกองกำลังป้องกันเมืองเพื่อถ่วงเวลาการยึดเฉิงตูของเซวี๋ยติ้งชาน เพื่อเอื้อให้หยูชุนชิวมีเวลาไล่ตามศัตรูมากพอใช่หรือไม่ ? ”

“เป็นเช่นนั้น ความเห็นของกระหม่อมหากเฟ่ยอันฉลาดพอ เขาจะเลือกใช้วิธีรบแบบกองโจรนั่นจะทำให้กองทัพของเซวี๋ยติ้งชานตื่นตระหนกตลอดทั้งวัน ส่วนกองทัพของหยูชุนชิวที่รุกเข้าไปอย่างไม่เร่งรีบต้องรักษาให้แนวหลังมีเมืองคอยเสริมเสบียง หากมิสามารถรักษาที่มั่นเอาไว้ได้ ทันทีที่เซวี๋ยติ้งชานโต้กลับ เกรงว่าหยูชุนชิวจะเกิดการสูญเสียคราใหญ่เพราะมีกำลังทหารเพียงหนึ่งแสนห้าหมื่นกว่านายเท่านั้น”

หลังจากที่ฮ่องเต้ได้ฟังดังนั้นจึงใช้เวลาทบทวนอีกชั่วครู่ แล้วจึงสรุปออกมาว่า “เยี่ยงนั้นก็ทำตามที่เสี่ยวกวนกล่าวมาเถิด ข้าจะออกราชโองการลับไปถึงเฟ่ยอันเพื่อให้เขาตรงไปยังถนนเจี้ยนหนานซีทันที”

เรื่องราวจึงถูกกำหนดไว้เช่นนี้ ในที่สุดฟู่เสี่ยวกวนก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาเล็กน้อย ด้านฝ่าบาทตรงไปยังโต๊ะทรงพระอักษรเพื่อเขียนราชโองการลับ ฟู่เสี่ยวกวนจึงหันไปทางเยี่ยนเป่ยซี “หลักฐานที่แน่นอนเล่า ? ”

หมายถึงเรื่องที่เซวี๋ยติ้งชานอาจจะก่อกบฏ

เยี่ยนเป่ยซีพยักหน้ารับ “ล้วนมีเค้าลางบ่งชี้อย่างชัดเจน เกรงว่าจิ่นชินอ๋องจะทนรอมิไหว”

“หากจิ่นชินอ๋องและลัทธิจันทราร่วมมือกันจริง เกรงว่ากองทัพนี้ต้องเพิ่มจำนวนทหารอย่างน้อย 100,000 นายขึ้นไป ! ”

เยี่ยนเป่ยซีตกใจขึ้นมาทันพลัน แล้วเงยหน้ามองฟู่เสี่ยวกวน