บทที่ 1087 กลับพิภพเล็กอีกครั้ง โดย Ink Stone_Fantasy
แปลกประหลาดอัศจรรย์จริงๆ แบบนี้ก็โยงมาเกี่ยวได้เหรอ!
แต่สิ่งที่ทำให้รู้สึกเหมือนเห็นผีก็คือ คำพูดของอวี้หลิงเจินเหรินสามารถเป็นพยานให้คำพูดของเกาก้วนได้จริงๆ และยิ่งพิสูจน์ว่าเหมียวอี้คือศิษย์ต่างยุคของอสุราอัคนี
ตอนไม่ถามก็ยังดีๆ อยู่ แต่ยิ่งถามก็ยิ่งสับสนเลอะเลือน แต่เหมียวอี้ก็ยังอยากพิสูจน์อีกสักหน่อย ถามว่า “ไม่ทราบว่าเคล็ดวิชาฝึกตนของอสุราอัคนีคืออะไร?”
อวี้หลิงเจินเหรินส่ายหน้า “เรื่องนี้ข้าจะรู้ได้อย่างไร ยามปกตินอกจากเป็นเพราะคนในสำนักปากมากพูดไปเรื่อย คนทั่วไปก็ไม่มีใครเปิดเผยออกมาง่ายๆ ว่าตัวเองฝึกเคล็ดวชาอะไร ก็เหมือนทุกวันนี้ที่ข้ายังไม่รู้ว่าท่านฝึกเคล็ดวิชาอะไรนั่นแหละ ในปีนั้นอสุราอัคนีเป็นตัวละครที่ไปไหนมาไหนอย่างอิสระคนเดียว ไม่ยอมรับการควบคุมจากหกมหาราชัน เพียงแต่ไม่รู้ว่าไปยั่วโมโหอะไรประมุขไป๋ โดนประมุขไป๋ไล่สังหารมาตลอดจนถึงทุกวันนี้ ที่จริงก่อนหน้านี้ประมุขไป๋ก็ยังไม่เป็นที่รู้จัก หลังจากสังหารอสุราอัคนีแล้วถึงได้มีชื่อเสียง”
เหมียวอี้ปาดเหงื่อเล็กน้อย เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตั้งแต่ตอนประมุขไป๋ยังไม่โด่งดัง นั่นต้องเป็นเรื่องที่นานขนาดไหนกัน
จากนั้นก็ได้ยินอวี้หลิงเจินเหรินกล่าวกลั้วหัวเราะอีกว่า “ถ้าท่านเป็นศิษย์ต่างยุคของอสุราอัคนีจริงๆ จะว่าไปแล้วประมุขไป๋ก็เป็นศัตรูที่ฆ่าอาจารย์ท่านนะ ท่านได้รับวาสนาบุญคุณมาจากอสุราอัคนี ก็มีหน้าที่ต้องล้างแค้นให้อสุราอัคนีสิ!”
รู้ว่าเขากำลังล้อเล่น เหมียวอี้จึงกล่าวกลั้วหัวเราะเช่นกัน “ไม่จำเป็นต้องให้ข้าล้างแค้นแล้วล่ะ ได้ยินว่าประมุขไป๋ถูกประมุขชิงและประมุขพุทธะร่วมมือกันกำจัดทิ้งแล้วนี่?”
อวี้หลิงเจินเหรินได้ยินแล้วลังเลครู่หนึ่ง เหมือนมีความลับอะไรที่ยากจะเอ่ยออกมา
เหมียวอี้เห็นแบบนี้แล้วอดแปลกใจไม่ได้ “เจินเหริน เหตุใดจึงอึกอักอย่างนั้นล่ะ?”
อวี้หลิงเจินเหรินพลันกล่าวเสียงต่ำว่า “ข้ากับพระอาจารย์แสงทองที่เป็นราชครูแคว้นต้าเยี่ยนมีความสนิทสนมกันอยู่บ้าง มีครั้งหนึ่งที่ไปเยี่ยมคารวะและแข่งหมากล้อมกัน พวกเราก็พูดคุยกันไปเรื่อย บางครั้งก็เคยได้ยินเขาเอ่ยถึงเรื่องประมุขไป๋ เหมือนประมุขไป๋จะยังไม่ตาย แต่ถูกกดอัดไว้ใต้เจดีย์สยบปีศาจที่ภูเขาเขาหลิงซาน”
ภูเขาเขาหลิงซานเหมียวอี้ก็รู้จัก ในแดนฝึกตนมีใครบ้างที่ไม่รู้จักภูเขาเขาหลิงซาน นั่นคือที่ฝึกตนของประมุขพุทธะที่แดนสุขาวดี แคว้นต้าเยี่ยนเหมียวอี้ก็รู้จัก ตอนที่เขามาที่ดาวไร้ลักษณ์ครั้งแรก ก็ได้คบค้ากับคนของแคว้นต้าเยี่ยนแล้ว สำนักลมปราณก็อยู่ในอาณาเขตของแคว้นต้าเยี่ยนเช่นกัน เพียงแต่คนที่ชื่อพระอาจารย์แสงทองคือใคร เขากลับไม่เคยได้ยิน ได้ยินว่าฝ่าฮ่าวกับสงเวยก็มีลูกน้องชื่อนี้เหมือนกัน
เขาอดไม่ได้ที่จะถามอย่างแปลกใจ “ประมุขไป๋ยังไม่ตายเหรอ? ข้าได้ยินว่าประมุขพุทธะกับประมุขชิงค่อนข้างระแวงประมุขไป๋ ทั้งสองจะปล่อยให้คนแบบนี้มีชีวิตรอดอยู่ได้อย่างไร? แล้วพระอาจารย์แสงทองนี่เป็นใครกัน คำพูดเชื่อถือได้หรือไม่?”
อวี้หลิงเจินเหรินยื่นมือเชิญ แล้วทั้งสองก็เหยียบพื้นที่เต็มไปด้วยใบไผ่ เดินเข้าไปในป่าภูเขาต่อ ขณะที่พูดก็กล่าวว่า “จะจริงหรือโกหกข้าเองก็ยืนยันไม่ได้ แต่พระอาจารย์แสงทองเป็นศิษย์พุทธะที่มาจากภูเขาเขาหลิงซาน จากคำพูดที่เขาบอก ไม่ใช่แค่ประมุขไป๋ที่ยังไม่ตาย ประมุขปีศาจก็ยังไม่ตายเช่นกัน เจดีย์สยบปีศาจนั่นสร้างขึ้นมาเพื่อสยบประมุขปีศาจ เพียงแต่ตอนลังถือโอกาสสยบประมุขไป๋ไปด้วยกันเลย”
เหมียวอี้ได้ฟังแล้วยังตกใจ “เก็บประมุขไป๋ไว้คนเดียวก็ถือว่าเป็นภัยแล้ว ประมุขพุทธะกับประมุขชิงจะเก็บประมุขปีศาจไว้อีกทำไม?”
อวี้หลิงเจินเหรินส่ายหน้า “เรื่องนี้ข้าก็ไม่ทราบด้วยแล้ว เดาว่าพระอาจารย์แสงทองคงรู้ความจริงที่ซ่อนอยู่ในนั้น เพียงแต่เขาไม่อยากบอก ข้าจึงไม่สะดวกจะถามมาก”
เหมียวอี้พยักหน้าเบาๆ ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับประมุขพุทธะ พระอาจารย์แสงทองไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องนี้มาก็พอจะเข้าใจได้ “ข้าได้ยินว่าเดิมทีประมุขพุทธะ ประมุขชิง ประมุขไป๋และประมุขปีศาจมีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างดีต่อกัน ตอนหลังประมุขไป๋กับประมุขปีศาจอยากจะครองใต้หล้าเพียงผู้เดียว ประมุขพุทธะกับประมุขชิงถึงต้องร่วมมือกันกำจัดสองคนนั้น ถ้าประมุขไป๋กับประมุขปีศาจยังไม่ตาย นี่ก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เหมือนกัน บางทีประมุขพุทธะกับประมุขชิงอาจจะเห็นแก่ไมตรีในปีนั้นก็ได้”
อวี้หลิงเจินเหรินที่เอามือไขว้หลังช้าๆ ถอนหายใจแล้วบอกว่า “เรื่องนี้ใครจะพูดได้ชัดเจนล่ะ ประมุขพุทธะ ประมุขชิงและประมุขไป๋เดิมทีเป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน เห็นแก่ไมตรีเก่าก็เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ แต่กับประมุขปีศาจเหมือนจะไม่ได้สนิทสนมกันสักเท่าไร ที่จริงตอนแรกก็ไม่ได้มีสี่มหาราชันอะไรเลย หลังจากประมุขพุทธะ ประมุขชิงและประมุขไป๋ร่วมมือกันกำจัดหกมหาราชัน เดิมทีใต้หล้าเป็นของพวกเขาสามคน ได้ยินว่าประมุขปีศาจคือผู้ที่ประมุขไป๋ดึงตัวเข้ามาตอนหลัง ตอนนี้ถึงได้มีสี่มหาราชัน มีบางคนบอกว่านี่ต่างหากที่เป็นจุดเริ่มต้นบุญคุณความแค้นของทั้งสี่คน ถึงอย่างไรก็มีตำนานเรื่องเล่าแตกต่างกันไป ถ้าไม่ใช่คนที่ผ่านเรื่องราวในปีนั้นมา ไม่ว่าใครก็พูดได้ไม่ชัดเจน”
จากนั้นก็หัวเราะแล้วบอกอีกว่า “เรื่องในอดีตนานมากแล้ว ต่อให้ประมุขไป๋ยังมีชีวิตอยู่แล้วอย่างไรล่ะ อย่าบอกนะว่าผู้บัญชาการใหญ่คิดจะล้างแค้นให้อสุราอัคนีจริงๆ?”
เหมียวอี้ตอบกลั้วหัวเราะว่า “ถ้าข้าเป็นศิษย์ต่างยุคของอสุราอัคนีจริงๆ อย่างมากก็จุดธุปบูชาเขาเยอะๆ หน่อย ขนาดในปีที่เขาเฟื่องฟูยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของประมุขไป๋เลย ข้าจะนับว่าสำคัญอะไร จะมีคุณสมบัติอะไรไปประสมโรงด้วย เกรงว่าทั้งชีวิตนี้จะไม่มีโอกาสได้เข้าใกล้เจดีย์สยบปีศาจนั่นด้วยซ้ำ”
ทั้งสองพูดคุยยิ้มแย้มกันไปตลอดทาง ส่วนเป่าเหลียนที่อยู่ข้างหลังก็ก้มหน้าเงียบๆ
เป็นเพราะนักพรตเต๋าเฒ่าอวี้หลิงเปิดเผยความจริงแล้ว เหมียวอี้รับปากไว้แล้วว่าจะพักอยู่ที่นี่หลายวัน แต่รู้สึกว่าถ้าให้เป่าเหลียนคอยรับใช้อีกจะอึดอัดนิดหน่อย ไม่สู้แยกกันให้สงบลงสักหน่อย เขาเลยปล่อยให้เป่าเหลียนหยุดพัก
อวี้หลิงเจินเหรินเองก็เข้าใจ จึงส่งคนคุ้นเคยมาดูแลรับใช้เหมียวอี้ เป่าหนิงและเป่าซิ่น ยังคงพักที่เรือนเล็กในป่าไผ่ผืนนี้
วันต่อมา เหมียวอี้ถือสุราไปเยี่ยมท่านนักพรตเต๋าเต๋อสือที่สวนสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ หรือท่านตาเหล่ที่คอยดูแลสวนสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง ในปีนั้นที่เหมียวอี้มาที่นี่ใหม่ๆ ก็มักจะมาอยู่กับท่านตาเหล่ที่นี่ ในเมื่อมาแล้วก็ต้องไปเยี่ยมสักหน่อย
คิดไม่ถึงว่าจะได้เห็นนักพรตเต๋าที่มอมแมมสกปรกอีกคนอยู่ในรังของท่านตาเหล่ ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นนักพรตเต๋าเต๋อหมิงผู้ที่สร้างผลงานตอนเปิดร้านค้าแรกๆ และเป็นลูกชายของอวี้หลิงเจินเหริน พ่อของเป่าเหลียน ผู้จัดการร้านคนแรกของร้านขายของชำซื่อตรง ตอนหลังสมคบกับหวงฝู่จวินโหรวหมายจะปล้นอำนาจเจ้าสำนัก จึงถูกลดตำแหน่งมาอยู่ที่นี่
เรื่องราวประเภทหลอกลวงอาจารย์เป็นข้อห้ามร้ายแรงในสำนัก เหมียวอี้รู้ว่าทั้งชีวิตนี้เต๋อหมิงไม่มีทางลืมตาอ้าปากได้แล้ว แต่นึกไม่ถึงว่าไม่เจอกันแค่ไม่กี่ปี อีกฝ่ายจะผิดหวังท้อใจจนกลายสภาพเป็นแบบนี้ เป็นขี้เมาที่สกปรกมอมแมมไปทั้งตัว ผมเผ้ายุ่งเหยิง จะเหลือสภาพของผู้จัดการร้านเต๋อหมิงที่จิตใจเร่าร้อนฮึกเหิมได้อย่างไรกัน แทบจะจำไม่ได้แล้ว
ท่านตาเหล่กลับตื่นเต้นดีใจ เขารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเหมียวอี้มา เพียงแต่ฐานะของทั้งสองไม่ค่อยเท่ากัน เขาไม่สะดวกจะไปเคาะประตูหาเหมียวอี้ ถึงอย่างไรก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะยังเห็นตนอยู่ในสายตาหรือเปล่า นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะไม่ได้ดูถูกคนอื่นเพราะมีฐานะตำแหน่งสูงขึ้น ยังคิดถึงเขาอยู่ ยังรู้จักมาหาเขาเพื่อดื่มเหล้า
การดื่มสุราครั้งนี้ท่านตาเหล่ย่อมดื่มอย่างเบิกบานใจมากอยู่แล้ว ไม่ต้องพูดถึงบุญคุณความแค้นในอดีต ทั้งสามล้อมโต๊ะดื่มกันอย่างถึงอกถึงใจ
ขณะที่ดื่มสุรากันอย่างถึงอกถึงใจ ท่านตาเหล่ก็ชี้เหมียวอี้พร้อมตำหนิว่าในปีนั้นที่ปลูกสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์เหมียวอี้โง่ทึ่มขนาดไหน จากนั้นก็ทอดถอนใจอีก นึกไม่ถึงว่าชั่วพริบตาเดียวเหมียวอี้จะกลายเป็นผู้บัญชาการใหญ่ที่คุมตลาดสวรรค์แล้ว จากทหารเลวคนหนึ่งกลายเป็นผู้มีตำแหน่งสูงและมีอำนาจมาก แต่เขายังคงขุดดินอยู่ที่นี่
จะเห็นได้ว่าถึงแม้จิตใจของเขาจะสงบ แต่ก็รู้สึกไม่ยอมที่ต้องอยู่อย่างไร้ชื่อเสียงที่นี่ไปทั้งชีวิต
ทั้งสามดื่มสุรากันจนดึกดื่นพระจันทร์ขึ้นสูง เหมียวอี้ถึงได้ลุกขึ้นแล้วกล่าวอำลา
ตอนที่กำลังจะออกประตูไป จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงคนตะโกนเรียกตามหลัง “หนิวโหย่วเต๋อ!”
เหมียวอี้หันกลับไปมอง เห็นเพียงเต๋อหมิงที่เมามายสกปรกมอมแมม จู่ๆ ก็มองเขาด้วยสายตาแจ่มชัดได้สติ “เรื่องของเจ้ากับเป่าเหลียน ข้าได้ยินพ่อข้าพูดถึงแล้ว ทำดีกับเป่าเหลียนหน่อย!”
เหมียวอี้หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก นักพรตเฒ่าอวี้หลิงพูดอะไรไป? แต่เขาก็ยังพยักหน้า อาศัยความสัมพันธ์ของตนกับสำนักลมปราณ เขาจะไม่ปฏิบัติกับเป่าเหลียนอย่างขาดความยุติธรรม จากนั้นก็เดินออกจากประตูมาพร้อมกลิ่นสุราติดเต็มตัว
ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากสำนักลมปราณ พักอยู่ที่สำนักลมปราณไม่กี่วัน เหมียวอี้ก็กล่าวอำลาแล้ว ไม่ได้พาเป่าเหลียนไปด้วย ไม่สะดวกจะพาเป่าเหลียนกลับพิภพเล็ก ให้เป่าเหลียนอยู่ที่สำนักลมปราณ นัดกันแล้วว่าหลังจากเขากลับมาจากเที่ยวทัศนาจรค่อยพานางกลับตลาดสวรรค์ด้วยกัน…
แดนเซียน สายมะโรง ยอดเขาหยกนครหลวง ฉินเวยเวยที่เป็นตัวแทนอำนาจของท่านทูตกำลังนั่งอยู่หลังโต๊ะยาวและตรวจอ่านแผ่นหยกที่เบื้องล่างรายงานขึ้นมา หน้าตาดีงามดุจภาพวาดเจือด้วยความน่าเกรงขามอยู่หลายส่วน ว่ากันว่าที่อยู่เปลี่ยนนิสัย การบำรุงเปลี่ยนร่างกาย เมื่อครองตำแหน่งสูงมานาน ลักษณะท่าทางก็เปลี่ยนไปอย่างเลี่ยงไม่ได้
หลังจากอนุมัติและตอบลงบนแผ่นหยกแล้ว ฉินเวยเวยก็ยื่นให้ “ส่งไปให้ผู้การใหญ่ดูหน่อย เผื่อมีอะไรไม่เหมาะสม”
“เจ้าค่ะ!” ลู่หลิ่วเพิ่งจะรับแผ่นหยกมาไว้ในมือ ฉินเวยเวยก็ขมวดคิ้วอีก จากนั้นก็ทำสีหน้าดีใจทันที พลิกมือหยิบระฆังดาราออกมาอันหนึ่ง
เป็นข้อความจากเหมียวอี้ : ปากทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของทะเลสาบหยก บนเรือโหลวฉวนที่เรียบง่ายลำหนึ่ง เหมียวอี้อยู่ที่นี่ รอการมาเยือนของอนุภรรยาสุดที่รัก!
ฉินเวยเวยลุกพรวดอย่างตื่นเต้นดีใจ ก่อนหน้านี้เหมียวอี้ไม่ได้บอกอะไรนางเลย เรียกได้ว่าสร้างความตื่นเต้นประหลาดใจใหญ่โตมาก นางตอบกลับทันทีว่า : จะไปเดี๋ยวนี้!
นางเก็บระฆังดารา แล้วกล่าวพร้อมใบหน้าสดใสดุจฤดูใบไม้ผลิ “นายท่านกลับมาแล้ว! ลู่หลิ่วรีบไปเชิญผู้การใหญ่มาพบข้าเร็ว!”
หงเหมียน ลู่หลิ่วก็ทำสีหน้าตื่นเต้นยินดีเช่นกัน ท่านเขยผู้นั้นก็เหลวไหลเกินไปแล้ว ทิ้งคุณหนูไว้หลายปีขนาดนี้ ยังนึกว่าลืมคุณหนูไปแล้วเสียอีก ลู่หลิ่วย่อมรีบออกไปทำตามคำสั่ง
ผ่านไปครู่เดียว หยางชิ่งก็รีบร้อนมาหา แต่พอมาถึงหน้าประตูก็ผ่อนฝีเท้าให้ช้าลง แล้วกุมหมัดคารวะ “หยางชิ่งคำนับท่านผู้แทน!”
“ท่านพ่อ! เหมียวอี้กลับมาแล้วค่ะ กำลังรอข้าอยู่ที่ทะเลสาบหยก ข้าต้องส่งต่อที่นี่ให้ท่านดูแลแล้ว” ฉินเวยเวยรีบร้อนพูดทิ้งไว้แล้วทำท่าจะไป
หยางชิ่งขมวดคิ้ว “ลุกลี้ลุกลนแบบนี้ไม่เรียบร้อยเลย ตอนนี้เจ้าเป็นผู้แทนอำนาจของท่านทูต ถ้าให้คนเห็นเป็นตัวตลก แล้วจะเอาความน่าเกรงขามมาจากไหน?”
ฉินเวยเวยสีหน้าชะงักเล็กน้อย แต่ยังคงกล่าวอย่างอดใจรอไม่ไหว “ท่านพ่อ! ข้าต้องไปก่อนแล้ว ถ้าช้ากว่านี้เดี๋ยวเหมียวอี้จะรอจนร้อนใจ”
หยางชิ่งรู้สึกจนใจทันที แต่ก็ยังยื่นมือห้าม “เวยเวย! ในเมื่อนายท่านไม่อยากโผล่หน้ามาที่นี่โดยตรง บางทีอาจจะไม่อยากเปิดเผยให้ใครรู้ เจ้าเปลี่ยนเสื้อผ้าปลอมตัวก่อนสักหน่อย ออกไปแบบนี้สะดุดตาเกินไป เดี๋ยวข้าจะหาคนมาคุ้มกันอีก ทางที่ดีอย่าให้คนอื่นรู้ว่าเจ้าจะลงจากเขาแล้ว”
เมื่อได้ยินเขาพูดแบบนี้ ฉินเวยเวยก็พบว่าตัวเองไม่ค่อยมีระเบียบแบบแผนจริงๆ ยังเป็นหยางชิ่งที่พิจารณาได้รอบด้าน จึงทำได้เพียงปฏิบัติตามที่หยางชิ่งบอก
ตรงปากน้ำน้ำทิศตะวันออกเฉียงใต้ของทะเลสาบหยก เรือโหลวฉวนที่หน้าตาเรียบง่ายลำหนึ่งลอยอยู่บนคลื่นสีหยก ไม่โดดเด่นสะดุดตาเหมือนเรือดอกไม้ลำอื่น เหมียวอี้กำลังเอามือไขว้หลังยืนพิงรั้ว ขณะกำลังทอดสายตาชมทิวทัศน์เมืองหลวง ตู่ๆ ก็รู้สึกได้ถึงคลื่นพลังอิทธิฤท จึงพลันหันกลับไปมอง
จ๋อมแจ๋มๆ! เงาคนหลายคนฝ่าน้ำขึ้นมา หยางชิ่ง ฉินเวยเวย หงเหมียนและลู่หลิ่วเหยียบลงบนตึกเรือพร้อมกัน
เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ ในดวงตางามของฉินเวยเวยสดใสเป็นพิเศษ นางถลันตัวเข้ามาโดยตรง โผเข้าไปกอดราวกับเป็กนกนางแอ่นน้อยบินเข้าป่า ทั้งสองโอบกอดกัน กอดแล้วไม่อยากแยกจากกัน
“นายท่าน!” หยางชิ่งที่ยิ้มบางๆ เดินเข้ามาคำนับ
ถึงแม้ในตอนนี้ตำแหน่งของเขาที่ยอดเขาหยกนครหลวงจะสูงกว่าที่ปรึกษาอย่างเหมียวอี้ แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นเสียมารยาทเพราะไม่รู้จักชั่งน้ำหนักความสำคัญ
“นายท่าน!” หงเหมียน ลู่หลิ่วก้าวขึ้นมาคำนับด้วยสีหน้าเขินอายเล็กน้อยเช่นกัน
เหมียวอี้ตบหลังฉินเวยเวยเบาๆ คลายกอดนาง แล้วกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้มว่า “ผู้การใหญ่สบายดีมั้ย!”
“ลำบากให้นายท่านเป็นห่วงแล้ว ไม่เจอกันหลายปี นายท่านยังคงสง่างามเช่นเดิม!” หยางชิ่งกุมหมัดคารวะ จากนั้นกวาดสายตามองไปรอบๆ แล้วถามอีกว่า “ไม่ทราบว่าท่านทูตอยู่หรือไม่ขอรับ?”
“ท่านทูตไม่อยู่ กำลังเก็บตัวฝึกตน ข้ามาที่นี่เพราะเตรียมจะพาเวยเวยนั่งเรือล่องแม่น้ำ เที่ยวชมธรรมชาติไปตลอดทาง เรื่องที่ยอดเขาหยกนครหลวง เกรงว่าต้องขอให้ผู้การใหญ่ทำแทนแล้ว” เหมียวอี้ถือโอกาสยื่นมือไปช้อนเอวฉินเวยเวย
“เอ่อ…” หยางชิ่งค่อนข้างลำบากใจ “ท่านทูตไม่อยู่ ถ้าท่านผู้แทนก็ไม่อยู่…”
“ท่านพ่อ!” ฉินเวยเวยกระทืบเท้า รู้สึกไม่ค่อยเต็มใจ ชีวิตนางง่ายเหรอ เพิ่งแต่งงานได้ไม่นานก็ไม่เห็นผู้ชายของตัวเองแล้ว ไม่ง่ายเลยกว่าผู้ชายของตัวเองจะกลับมาสักครั้ง ทั้งยังจะพานางไปท่องเที่ยวตามลำพังด้วย เป็นเรื่องที่งดงามขนาดไหน แต่พ่อตัวเองกลับไม่ยอม จะให้นางตอบตกลงได้อย่างไร
เมื่อเห็นแววตาคับแค้นใจแบบนั้นของลูกสาว หยางชิ่งก็ยิ้มเจื่อนในใจ ลูกสาวโตแล้วรั้งไว้ไม่อยู่จริงๆ จึงกุมหมัดคารวะพร้อมบอกว่า “เวยเวย ดูแลนายท่านให้ดีๆ นะ! ข้าน้อยขอตัว!”
“ผู้การหยางช้าก่อน!” เหมียวอี้ตะโกนเรียก แล้วสั่งว่า “เดี๋ยวกลับไปแล้วเชิญจ้าวเฟยกับภรรยา ซือคงอู๋เว่ยกับภรรยา แล้วก็กู่ซานเจิ้ง ถานเล่า เย่ซิน ให้พวกเขารอข้าที่ปากทางออกทะเลของแม่น้ำสายนี้ เก็บเรื่องนี้เป็นความลับด้วย!”
“ข้าน้อยจะเตรียมการเดี๋ยวนี้!” หยางชิ่งกุมหมัดรับคำสั่ง แล้วหันตัวเดินออกไป ก่อนจะกระโดดหายไปในทะเลสาบอีกครั้ง
…………………………