ตอนที่ 359 จะใช้คนก็อย่าระแวง / ตอนที่ 360 การหารือไม่เป็นผล

เช่าท่านประธานมาปิ๊งรัก

ตอนที่ 359 จะใช้คนก็อย่าระแวง

 

 

เหยียนเฟิงไม่ได้ยินเสียงตอบรับจากเธอ จึงเงยหน้าขึ้นมอง “หิวไหม”

 

 

เบลล์เห็นเขาก็ไร้ซึ่งความอยากอาหาร จึงส่ายหน้า ยังคงไม่ปริปากพูด

 

 

“ไม่อยากพูดกับฉันเหรอ” เหยียนเฟิงรู้ว่าเมื่อคืนเขาทำเกินไปหน่อย แต่เห็นท่าทางเบลล์เฉยชากับเขาเช่นนี้แล้วก็อารมณ์เดือดขึ้นมา

 

 

“เปล่าค่ะ” เบลล์ฝืนเหยียดยิ้ม “ฉันจะไปล้างหน้าแปรงฟัน” ตอนแรกเธอนึกว่าเหยียนเฟิงไม่อยู่ จึงไม่ได้เปลี่ยนชุด

 

 

หน้าต่างถูกเปิดออก ภายในห้องถูกปกคลุมไปด้วยความหนาวเย็น เฉกเช่นบรรยากาศระหว่าง

 

 

เหยียนเฟิงและเบลล์ในตอนนี้

 

 

“เฮ้อ” เบลล์ยืนพิงบานประตูแล้วลูบหน้าตัวเอง ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องน้ำอย่างเศร้าใจ

 

 

“เธอจะออกไปข้างนอกเหรอ” เขาเห็นเบลล์สวมชุดสำหรับออกนอกบ้าน จึงถามอย่างฉงนใจ

 

 

เบลล์พยักหน้า “ฉันขอตัวกลับก่อนนะคะ” เธอไม่อยากอยู่กับเหยียนเฟิงทั้งวัน วิธีคบหากันแบบนี้ไม่เหมาะกับพวกเขาสองคนเลยสักนิด

 

 

เป็นครั้งแรกที่เหยียนเฟิงรู้สึกหมดแรงจะโต้เถียงกับผู้หญิงคนหนึ่ง “กินข้าวก่อนเถอะ กินเสร็จค่อยกลับ”

 

 

เบลล์คาดไม่ถึงว่าเขาจะพูดจาดีขนาดนี้ เนิ่นนานกว่าจะดึงสติกลับมาได้

 

 

“เธอไม่อยากกลับแล้วหรือไง ยืนเหม่ออะไรอยู่ล่ะ” เหยียนเฟิงลุกขึ้นเดินเข้าไปในครัว

 

 

เบลล์จำต้องเดินตามหลังเขาไป ไม่รู้ว่าเขาสั่งอาหารมาเมื่อไร กับข้าววางเต็มโต๊ะไปหมด

 

 

“เยอะขนาดนี้จะกินหมดได้ยังไงล่ะคะ” เบลล์หาคำมาพูดเพื่อทำลายบรรยากาศอันหนักหน่วงระหว่างพวกเขา

 

 

“ก็ไม่ได้บังคับให้กินหมดเสียหน่อยนี่” เหยียนเฟิงนั่งลงตรงหัวโต๊ะ รอให้เบลล์ยกอาหารมาวาง

 

 

ทั้งสองคนนั่งกินข้าวเงียบๆ เบลล์ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดกับเหยียนเฟิงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้โซฟา “งั้นฉันกลับก่อนนะคะ”

 

 

“อืม” เหยียนเฟิงไม่ได้มองเธอ “เดี๋ยวตอนบ่ายค่อยเข้ามาใหม่ เอาข้าวมาให้ด้วย”

 

 

เบลล์พยักหน้า เสียงล็อกประตูอัตโนมัติดังขึ้นหลังประตูปิด ทำให้เธอผ่อนคลายความตึงเครียดในใจ ในที่สุดก็หลุดพ้นจากเงื้อมมือมารแล้ว

 

 

เธอออกมาจากบ้านเหยียนเฟิงแล้วก็ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน ขณะกำลังเดินแบบไร้จุดหมายไปบนถนนอยู่นั้น ก็ได้รับโทรศัพท์จากผู้ช่วยของเหยียนเค่อ

 

 

“สวัสดีค่ะ” เสียงของเบลล์ทุ้มต่ำ

 

 

ผู้ช่วยหวังได้ยินเสียงของหญิงสาววัยรุ่นก็ตกใจ เขานึกว่าเหยียนเค่อจะหา ‘สาวสวย’ อายุสี่สิบกว่ามาเสียอีก แต่ฟังจากเสียงแล้วกลับไม่เหมือนคนในช่วงอายุนั้น

 

 

[ประธานเหยียนอยากพบคุณน่ะครับ ไม่ทราบว่าคุณพอมีเวลาไหม]

 

 

“มีสิคะ ฉันรู้สึกเป็นเกียรติมากเลยค่ะ”

 

 

พวกเขาสองคนต่างก็ผ่านความยากลำบากในการเป็นผู้ช่วยเช่นเดียวกัน ดังนั้นการพูดการจาจึงดูสุภาพและเกรงใจ

 

 

ผู้ช่วยหวังบอกสถานที่มา ก่อนจะกลับไปทำงานต่อโดยไม่รบกวนต่อ

 

 

“คุณเบลล์บอกว่า วันนี้ตอนบ่ายเธอว่างมาพบท่านได้ครับ”

 

 

“แผนกไหนขาดคนบ้าง” เหยียนเค่อคิดไม่ออกว่าตำแหน่งงานไหนที่เหมาะกับเบลล์

 

 

ผู้ช่วยหวังลังเลอยู่สักครู่ นึกไปถึงแผนกที่เหยียนเค่อปรับปรุงแก้ไขก่อนหน้านี้ จึงแนะนำ “แผนกที่รวมกับฮุยเถิงต้องการผู้ช่วยหนึ่งคนครับ เรา…”

 

 

เหยียนเค่อก็ตัดสินใจยาก ตอนรับปากก็บอกเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าไม่มีปัญหา แต่พอต้องจัดหาตำแหน่งงานกลับกลายเป็นว่าตรงนี้ก็ไม่ได้ ตรงนั้นก็ไม่ได้

 

 

เขามองสถานการณ์ได้เฉียบขาดพอสมควร แต่ไม่เคยประกาศออกไปว่าฮุยเถิงเป็นธุรกิจภายใต้เครือของ YAN ให้เบลล์ไปทำงานที่นั่นก็ต้องคำนึงถึงความคิดของเธอ โดยต้องสอดคล้องกับสภาพปัจจุบันด้วย และภายในบริษัท YAN ตอนนี้กำลังมุ่งพัฒนาและขยับขยายพื้นที่หนานซานและแหล่งบันเทิงอยู่ เหยียนเฟิงยื่นมือเข้าไปยุ่งกับหนานซานไม่ได้จึงทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับแหล่งบันเทิง ถ้าจัดให้เบลล์ไปติดตามดูแลโครงการนั้นก็เท่ากับว่าเป็นการทำให้สถานภาพของเธอถูกเปิดเผย และส่วนใหญ่ที่

 

 

หนานซานก็มีสวีอันหรานคอยจัดการอยู่แล้ว คนที่ถูกส่งตัวไปทำงานที่นั่นก่อนแล้วต้องไม่ยอมรับแน่นอน

 

 

ผู้ช่วยหวังพอจะรับรู้และเข้าใจว่าเหยียนเค่อคิดเรื่องอะไรอยู่ จึงเอ่ยอย่างลังเล “ในเมื่อไม่ได้ งั้นก็ให้เขามาทำงานกับพวกผู้ช่วยแล้วกันครับ ผมว่าความสามารถทางด้านการติดต่อสื่อสารของเขาโดดเด่นกว่าชวีไหน่เสียอีก”

 

 

“อืม” เหยียนเค่อโบกมือเป็นเชิงให้เขาออกไปได้แล้ว

 

 

จะใช้คนก็อย่าระแวง หากระแวงก็อย่าใช้เขา เหยียนเค่อก็ขี้เกียจจะไปสงสัยคนนู้นคนนี้แล้ว กล้าใช้คนก็ไม่กลัวมีปัญหา เพียงแต่สถานะในตอนนี้กำลังอยู่ในจุดที่กระอักกระอ่วนเท่านั้น

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 360 การหารือไม่เป็นผล

 

 

[นายโทรหาฉันทำไม] เสียงของฉินซื่อหลานสั่นเครือ ทำเอาขนฟังขนลุกซู่ด้วยความพะอืดพะอม

 

 

เหยียนเค่อได้ยินเสียงอู้อี้ขึ้นจมูกของเขา “นายนอนอยู่เหรอ”

 

 

[ก็ใช่น่ะสิ ฉันเฝ้าซย่าเสี่ยวมั่วของนายมาทั้งคืน ก็ต้องกลับมานอนพักหน่อยสิ]

 

 

“ระวังคำพูดด้วย” เหยียนเค่อเตือนเขาเสียงเย็น

 

 

ฉินซื่อหลานดึงผ้าห่มผืนบางของตนแล้วพึมพำตอบกลับ [รู้แล้วจ้า รู้แล้ว แล้วนายมีอะไร]

 

 

“ฉันควรให้เขาไปทำตำแหน่งไหนดีอะ” เหยียนเค่อก็ต้องการปรึกษาหารือกับคนที่เข้าใจสถานการณ์เป็นอย่างดีเช่นกัน

 

 

ฉินซื่อหลานไม่ได้คิดมากเท่าเขา [ตอนนี้เขายังไม่เป็นพี่สะใภ้นายสักหน่อย จะคิดมากทำไม]

 

 

เหยียนเค่อก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน แต่ให้มีผู้หญิงมาคอยตามเขาต้อยๆ แบบนี้เขาไม่ชินเอาเสียเลย “เขาจะเป็นพี่สะใภ้ฉันหรือเปล่าฉันก็ไม่อยากจะยุ่งหรอกนะ แต่ประเด็นคือเขาควรจะไปอยู่ตำแหน่งไหน”

 

 

ฉินซื่อหลานก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่นึกไปถึงสิ่งที่เหยียนเฟิงทำแล้วก็ถามอย่างสงสัย [พี่นายซื้อตัวพนักงานไปตั้งเยอะ เขาเอาไปไว้ที่ไหนกันนะ]

 

 

ความจริงมีบุคคลมากความสามารถแค่หนึ่งถึงสองคนก็ทำให้ทั้งแผนกทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว เมื่อผู้มากความสามารถมารวมตัวกัน ทุกคนต่างก็มีวิธีที่ดีที่สุดในความคิดตัวเอง รังแต่จะทำให้ประสิทธิภาพองค์รวมลดลง ดังนั้นเหยียนเฟิงทำได้อย่างไรกัน

 

 

เหยียนเค่อยักไหล่ “ฉันจะไปรู้ได้ยังไงล่ะ” ดูท่าแล้วเขาคงต้องถอยหลังสักก้าว “คงเป็นได้แค่ผู้ช่วยพิเศษของฉันแล้วล่ะ”

 

 

[เอ…] น้ำเสียงของฉินซื่อหลานทำให้คนคิดไปไกล [ผู้ช่วยพิเศษ ฟังดูพิเศษดีเนอะ]

 

 

“อยากตายเหรอ” เหยียนเค่อไม่อยากมาล้อเล่นกับเขา “ถ้านายกลับมาแล้วฉันจะให้เขาไปทำงานกับนาย”

 

 

[ไม่ต้องหรอกๆ อย่ามาคิดแทนฉันเลย] ฉินซื่อหลานชอบเป็นหมอมากกว่า ตอนสมัยเรียนการจัดการการเงิน เหยียนเค่อก็เอาชนะเขาได้หมดเลย โชคดีที่เหยียนเค่อเป็นเพื่อนเขา ถ้าพวกต่างคนต่างเปิดบริษัทละก็ สักวันหนึ่งบริษัทเขาคงต้องโดนกลืนแน่นอนเลย

 

 

“ช่วงนี้มีโครงการเยอะ พอเซ่าหมิงฟ่านกลับไปฉันก็เหนื่อยจนจะตายอยู่แล้ว” เหยียนเค่อแค่อยากหาแรงงานมากขึ้นอีกหน่อย ไม่คิดว่าฉินซื่อหลานจะเป็นคนที่ไม่ได้เรื่องแบบนี้ หัวเด็ดตีนขาดก็ไม่ตอบตกลง

 

 

[นายไม่ต้องมาใช้งานฉันเลย ฉันทนให้นายกดขี่มามากพอแล้ว] ฉินซื่อหลานพูดความจริง คนเลวมักจะอายุยืน เหยียนเค่อเหนื่อยง่ายแต่ไม่ตายง่ายๆ หรอก

 

 

“ได้ เอาเวลาคุยไปดูเอกสารต่อดีกว่า วางละ” เหยียนเค่อเองก็ไม่ได้คาดหวังอะไรกับเขามากนัก ไอ้พวกนี้มันเชื่อถือไม่ได้

 

 

คนไม่ทำการทำงานอย่างพวกเขานั้นก็ไร้ความสามารถจริงๆ นั่นล่ะ ฉินซื่อหลานขดตัวอยู่ในผ้าห่ม ไม่คิดว่าการไม่ทำการทำงานจะน่าอายเลยสักนิด [ตอนนั้นนายบอกว่าจะกลับไปหาพนักงานใหม่ที่โรงเรียนไม่ใช่เหรอ อย่าบอกจะว่าไม่เข้าตาเลยสักคนน่ะ]

 

 

เหยียนเค่อกดปากกาแล้วตอบอย่างไม่ยี่หระ “ให้ลูกน้องไปน่ะ มีคนจะมาคนหนึ่งแต่โดนพี่ฉันซื้อตัวไปแล้ว”

 

 

ฉินซื่อหลานหัวเราะชั่วร้าย [นายนี่โคตรลำบากเลย ให้ทางอเมริกาส่งมาให้สั่งสองสามคนสิ]

 

 

“จะบ้าหรือไง สำนักงานใหญ่อยู่ที่นี่ก็เอาคนมาเยอะพอแล้วนะ จนทางนั้นใช้แต่พนักงานที่เป็นคนนู่นหมดแล้ว คนที่อยากมาทำงานที่นี่ก็น้อยเสียยิ่งกว่าน้อย” ทำไมเหยียนเค่อจะไม่เคยคิด ในเวลาแบบนี้จำนวนคนไม่พอก็จริง แต่คนที่รับเข้ามาก็ทำประโยชน์อะไรไม่ได้

 

 

[อย่างนายคงหาไม่ได้สักคนหรอก] ฉินซื่อหลานเองก็จนใจ

 

 

คนที่นั่งอยู่บนตำแหน่งสูงสุดไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่เก่งสุดก็ได้ ขอแค่มีภาวะความเป็นผู้นำก็บริหารต่อไปได้เช่นกัน แต่เหยียนเค่อที่นั่งอยู่บนตำแหน่งสูงสุดนั้นดันเป็นคนที่มีฝีมือด้วย แถมยังไม่ให้คนอื่นได้ล่วงรู้อีกต่างหาก เขาเป็นตัวอย่างของคนที่แสร้งทำเป็นอ่อนแอให้ศัตรูตายใจ ไม่อย่างนั้นคงไม่ทำให้คุณพ่อเหยียนคิดว่าเขาทำตัวเละเทะอยู่ข้างนอกได้ถึงทุกวันนี้หรอก

 

 

เหยียนเค่อขี้เกียจจะพูดกับเขา “เย็นนี้ฉันไปกินข้าวที่โรงพยาบาลนะ” จากนั้นก็กดวางสายไป

 

 

ฉินซื่อหลานตวัดผ้าห่มคลุมตัวแล้วนอนต่อ อีกตั้งนานกว่าจะถึงตอนเย็น