ตอนที่ 717 การจัดระเบียบของมนุษย์

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

เมื่อหลี่ว์เสี่ยวอวี๋บอกเขาว่าเสี่ยวซยงสวี่สั่งลูกน้องไปขุดรังปลวกได้ หลี่ว์ซู่ก็คิดได้ว่าเขาเอาลูกน้องพวกนี้ไปสู้ในสนามรบได้เหมือนกัน 

 

 

แต่ไม่มีใครรู้ว่าภับพิบัติพวกนี้จะรุนแรงสักเท่าไหร่ ถ้าเป็นภัยพิบัติขนาดเล็กๆ แล้ว ลูกน้องของเสี่ยวซยงสวี่ก็คงจะรับมือได้ 

 

 

หลี่ว์ซู่ถามข้อมูลอื่นๆ ไป ดูเหมือนว่าลูกน้องของเสี่ยวซยงสวี่หลายตัวจะยังไม่ไปถึงระดับ F และระดับ F มีเพียงแค่ร้อยตัวนิดๆ เท่านั้น เขาตัดสินใจรอดูสถานการณ์ก่อนที่จะทำอะไรต่อไป ถ้าภัยพิบัติที่เกิดจากยุคแห่งพลังจิตวิญญาณ 

 

 

จะไม่รุนแรงมากเท่าไหร่ หลี่ว์ซู่ก็คงจะต้องจัดการควบคุมกองทัพหนูของเสี่ยวซยงสวี่ให้เข้มเสียแล้ว 

 

 

ท้ายที่สุดแล้วถ้าพวกเขาเสียการควบคุมกองทัพหนูพวกนี้ไปแล้วจะเกิดภัยพิบัติขึ้นแน่ๆ ล่ะ หลี่ว์ซู่จะทำให้แน่ใจว่าทุกอย่างต้องมีขีดจำกัดของมัน 

 

 

หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ที่กำลังดูนารูโนะอยู่คิดอะไรบางอย่างออก เธอถามออกมา “สายเลือดของโอดินนี่แข็งแกร่งมากไหม” 

 

 

หลี่ว์ซู่อึ้งไป “ก็ต้องแข็งแกร่งมากอยู่นะ ดูนี่สิ บันทึกโบราณเขียนไว้ว่าเทพตนหนึ่งกล่าวว่าจะกำจัดคนชั่วออกไป แต่โอดินกลับพูดว่าเขาจะกำจัดยักษ์ไททัน โลกนี้มีคนชั่วอยู่เต็มไปหมด แต่ไม่มีไททันเหลืออยู่สักตน เพราะฉะนั้นเขาก็แข็งแกร่งมากเลยล่ะ” 

 

 

[ได้แต้มจากหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ +666!] 

 

 

หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ตอบกลับ “หลี่ว์ซู่ เธออย่าได้ก้มตัวลงเชียวนะ” 

 

 

หลี่ว์ซู่งง “ทำไมล่ะ” 

 

 

“ฉันกลัวว่าน้ำในสมองเธอจะไหลออกมาหมดน่ะสิ” หลี่ว์เสี่ยวอวี๋พูดหน้าตาย 

 

 

[ได้แต้มจากหลี่ว์ซู่ +666!] 

 

 

ได้แต้มมาขนาดนี้เอาไปแลกผลชี่ไห่ผลหนึ่งได้เลย 

 

 

หลังจากที่หลี่ว์ซู่ให้ต้นไม้แห่งโลกไป เขาก็กังวลอยู่นิดหน่อย เขายังจะได้ผลต่างๆ มาอยู่หรือเปล่านะ แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่มีผลกระทบอะไร 

 

 

แล้วอยู่ๆ หลี่ว์ซู่ก็ได้รับแจ้งเตือนว่าน่าหลานเชวี่ยได้รับแต่งตั้งให้เป็นราชันฟ้าคนที่สิบอย่างเป็นทางการ 

 

 

หลี่ว์ซู่อึ้งไปเลย เขามีความรู้สึกว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนที่น่าหลานเชวี่ยและหลี่อีเสี้ยวไปแอฟริกาด้วยกันแล้ว ช่องว่างของความสัมพันธ์ระหว่างน่าหลานเชวี่ยและครอบครัวของเธอห่างกันเรื่อยๆ ในขณะที่เธอเข้ามาเกี่ยวข้องกับเครือข่ายฟ้าดินมากขึ้น 

 

 

น่าหลานเชวี่ยช่วยจัดการเบ็นเนตต์จาก EO ในครั้งนั้นได้ดีมาก เธอเอาทรัพยากรของเบ็นเนตต์ทั้งหมดส่งให้เครือข่ายฟ้าดิน 

 

 

ตอนนั้นหลี่ว์ซู่เริ่มรู้สึกแล้วว่าน่าหลานเชวี่ยอาจจะได้เป็นราชันฟ้า เครือข่ายฟ้าดินต้องการกำลังการต่อสู้ที่เธอมีอย่างเร่งด่วน และเธอก็ได้พิสูจน์ตัวเองแล้ว 

 

 

แต่หลี่ว์ซู่ไม่ได้ฉุกคิดเลยว่าน่าหลานเชวี่ยได้รับแต่งตั้งให้เป็นราชันฟ้าคนที่สิบไม่ใช่คนที่เก้า! 

 

 

ส่วนตำแหน่งราชันฟ้าคนที่เก้ายังคงว่างอยู่ มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย 

 

 

ในขณะเดียวกัน ทุกคนในเครือข่ายฟ้าดินก็สับสนกันหมด ไม่มีราชันฟ้าคนที่เก้าแต่ข้ามไปคนที่สิบเลยงั้นเหรอ 

 

 

คนที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเข้าใจกันหมด แต่หลายๆ คนก็ยังไม่รู้ 

 

 

หลี่ว์ซู่หัวเราะอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร แปลกมาก แต่การที่คนอย่างหลี่อีเสี้ยวเป็นราชันฟ้าได้นี่แปลกกว่าอีก… 

 

 

ตอนนี้ในกระทู้ของมูลนิธิเริ่มจะมีสัญญาณโต้แย้งเกี่ยวกับเรื่องการเปลี่ยนแปลงของสัตว์ทั้งหลายแล้ว บางคนบอกว่าสัตว์ต่างๆ จะไม่เปลี่ยนแปลงไปมาก และสัตว์เลี้ยงวิเศษที่บ้านก็ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ พวกมันไม่ได้สร้างความเสียหายอะไร 

 

 

บางคนก็บอกว่าเห็นสุนัขจิ้งจอกบนภูเขาทำตัวเหมือนมนุษย์และมีความคิดเป็นของตัวเอง 

 

 

ยังมีบางคนพูดด้วยว่าเห็นสุนัขพันธุ์ฮัสกี้ของพวกเขาออกไปนั่งจีบสาวอยู่ที่ระเบียง… 

 

 

คนที่เรียกตัวเองว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญเปิดเผยผลการวิจัยของตัวเองลงในกระทู้ของมูลนิธิ ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงจะไม่เป็นไปในวงกว้าง และพวกสัตว์จะไม่เข้าโจมตีมนุษย์ก่อน 

 

 

ในตอนนั้นข่าวเกี่ยวกับแมงมุมแม่หม้ายหลังแดงที่เข้าโจมตีเมืองในออสเตรเลียให้กลายเป็นเมืองนรกยังถูกเก็บไว้เป็นความลับอยู่ คนธรรมดาๆ ไม่มีทางรู้เรื่องนี้แน่ 

 

 

หลี่ว์ซู่หัวเราะอย่างเย็นชา เขาไม่รู้ว่าผู้เชี่ยวชาญคนนั้นสรุปออกมาแบบนี้ได้อย่างไร แต่เขาไม่เชื่อผู้เชี่ยวชาญคนนี้หรอก 

 

 

ก่อนหน้านี้ผู้เชี่ยวชาญอีกคนก็พูดว่าถ้าคนเราได้ใช้จ่ายอยู่บ่อยๆ จะทำให้ความขุ่นข้องใจลดไป 80% แต่ค่าความฉลาดทางอารมณ์จะลดไปเช่นกัน หลี่ว์ซู่รู้สึกว่ามันก็ไม่ได้ผิดอะไร แต่ผู้เชี่ยวชาญไม่ได้บอกอย่างชัดเจนว่าเงินที่จะเอาไปใช้จ่ายมาจากช่องทางไหน 

 

 

วันต่อมานักเรียนห้องเต้าหยวนทั้งเมืองลั่วก็ได้รับแจ้งให้ไปรวมตัวที่โรงเรียนภาษาต่างประเทศลั่วเฉิง 

 

 

หลี่ว์ซู่รู้ว่าเรื่องนี้คงเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของพืชและสัตว์ พอเขามาถึงโรงเรียนก็เห็นว่ามีคนมารวมตัวกันอยู่เเล้ว คนที่นำพูดคือจงอวี้ถัง มือของเขายังใส่เฝือกอยู่เลย 

 

 

พอจงอวี้ถังเห็นหน้าหลี่ว์ซู่แล้วเขาก็ตกใจจนตัวลอย จากนั้นเขาก็เห็นหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ยืนอยู่ข้างๆ หลี่ว์ซู่ 

 

 

[ได้รับแต้มจากจงอวี้ถัง +555] 

 

 

หลี่อีเสี้ยวเดินมาหาหลี่ว์ซู่ ดูท่าทางอารมณ์เสียมาก 

 

 

“นี่น้องชาย ได้เงินแค่ห้าสิบหยวนต่อวันก็แย่พอแล้วนะ นี่ตั้งใจบอกเธอไปอย่างนั้นหรือเปล่า” 

 

 

หลี่ว์ซู่ถอนใจ “เป็นครั้งแรกเลยนะครับที่มีคนอยากเลี้ยงข้าวผมแต่พอตอนคิดเงินกลับแกล้งเมาจนจ่ายค่าอาหารไม่ได้” 

 

 

[ได้รับแต้มจากหลี่อีเสี้ยว +199] 

 

 

วันนี้เครือข่ายฟ้าดินมารวมตัวกันเพื่อพูดถึงการเปลี่ยนแปลงของเหล่าสัตว์ นักเรียนเต้าหยวนทั้งหลายไม่ต้องมานับคะแนนหรือส่งรายชื่อโรงเรียนที่อยากเรียนต่อแล้ว ทุกคนได้พักผ่อนกันยาวๆ หลังจากกลับมาจากโบราณสถานหลัวปู้พัว 

 

 

จงอวี้ถังแบ่งคนออกเป็นกลุ่มๆ ตามระดับ เขาตั้งใจจะเสริมสร้างความแข็งแรงภายในเครือข่ายฟ้าดินในระหว่างการลาดตระเวนประจำวัน 

 

 

ตอนนี้มีสัตว์กลายพันธุ์มากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาจะต้องทำตัวเองให้แข็งแกร่งเข้าไว้ มีสมาชิกมากกว่าพันๆ คนเพิ่งเข้าร่วมมาใหม่ และพวกเขาก็เป็นพวกแข็งแกร่งด้วย 

 

 

นักเรียนเต้าหยวนระดับ F ทั้งหลายก็สามารถจัดการเรื่องสัตว์กลายพันธุ์พวกนี้ได้แล้ว เพราะสัตว์กลายพันธุ์ที่เจอส่วนมากก็อยู่ในระดับ F ทั้งนั้น 

 

 

“ถ้าจัดการกับสัตว์ที่ไม่ใช่ระดับ F ก็คงไม่มีปัญหาใช่ไหมครับ” หลี่ว์ซู่ถามจงอวี้ถังที่เข้ามาหาเขาหลังจากแบ่งกลุ่มเรียบร้อยแล้ว 

 

 

จงอวี้ถังมองหลี่ว์ซู่ด้วยความไม่สบายใจแปลกๆ เขาไม่ได้จัดให้หลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋อยู่ในกลุ่มไหนเลย เขาหวังว่าสองคนนี้จะเข้ามาช่วยเมื่อไหร่ก็ตามที่นักเรียนห้องเต้าหยวนต้องการความช่วยเหลือ 

 

 

“ปัญหาตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่สัตว์ที่เราเจอแล้วหรอก” จงอวี้ถังพูดหลังจากหยุดคิดไปนิดหนึ่ง “พวกมันไม่ได้แข็งแกร่งขึ้นมาอย่างเดียวนะ แต่มีสติปัญญาขึ้นด้วย ลองคิดดูสิว่าถ้าพวกมันฉลาดขึ้นมาขนาดนั้นแล้วมันจะไปหลบซ่อนตัวเพื่อพัฒนาความแข็งแกร่งของตัวเองหรือเปล่า แล้วพวกสัตว์ก็ขยายพันธุ์ได้เร็วกว่ามนุษย์ด้วย” 

 

 

หลี่ว์ซู่อึ้งไป เขานึกถึงพวกกิ้งก่ากินคนที่โบราณสถานหลัวปู้พัวขึ้นมา สัตว์พวกนี้แอบซุ่มเพื่อพัฒนาตัวเองอยู่ในความมืดมานานหรือยังนะ 

 

 

จนป่านนี่หลี่ว์ซู่ยังไม่เข้าใจเลยว่ากิ้งก่าตัวนั้นแพร่พันธุ์กิ้งก่ากินคนมากขนาดนั้นได้อย่างไร แถมตอนนั้นมันยังถูกตรึงไว้กับพื้นด้วย… 

 

 

โทรศัพท์ของจงอวี้ถังดังขึ้นมา เขานั่งฟังอยู่ประมาณยี่สิบวินาทีก่อนวางสายไป จากนั้นสีหน้าเขาก็จริงจังขึ้นมา