ตอนที่ 250 เกลี้ยกล่อม

เสน่ห์รักร้ายคุณบอสเพลย์บอย

วันเวลาหลังจากนั้นผ่านไปอย่างสงบและสวยงาม จิ้นหยวนและเฉียวซือมู่ออกไปเที่ยวด้วยกันทุกวัน ความสัมพันธ์แนบแน่นมากขึ้นเรื่อยๆ 

 

 

เฉียวซือมู่ได้พบกับคุณแม่แล้ว จิ้นหยวนจัดแจงให้เธออยู่คฤหาสน์อีกหลังของตัวเอง ตอนนี้ร่างกายเธอแข็งแรงขึ้นมาก ใบหน้าผ่องใส เฉียวซือมู่เห็นแล้วรู้สึกซาบซึ้งและขอบคุณจิ้นหยวนมาก 

 

 

แต่ช่วงเวลาสวยงามมักจะมีเงาบางอย่างแฝงอยู่เสมอ ยามเธอนึกถึงหร่วนเซียงเซียงทีไร มันทำให้เธอไม่มีความสุขทุกที ต่อให้จิ้นหยวนให้สัญญากับเธอแล้วก็ตาม แต่ทุกครั้งที่คิดถึงสถานะของตัวเอง เธอก็ต้องกลุ้มใจทุกที 

 

 

คุณนายเฉียวดูออกว่าเธอกำลังกลุ้มใจ จึงเอ่ยถาม “เป็นอะไรไป จิ้นหยวนดีกับลูกมากขนาดนี้ ทำไมถึงยังทำหน้ากลุ้มใจแบบนี้อยู่ได้ทุกวัน?” 

 

 

เฉียวซือมู่ถอนหายใจ ตัดสินใจเล่าเรื่องตัวเองให้ท่านฟัง คุณนายเฉียวฟังแล้วหัวคิ้วชนกันมุ่น สำหรับเธอแล้ว เธอเคยถูกเมียน้อยทำร้ายมาก่อน จึงไม่ต้องการให้ลูกสาวเดินบนเส้นทางนั้น แต่ถือว่ายังโชคดี ที่ผ่านมาเธอได้ประจักษ์แล้วว่าจิ้นหยวนเป็นคนเช่นไร เธอคิดว่าจิ้นหยวนไม่ใช่คนไม่ดีแบบนั้น จึงครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วเอ่ยถาม “แล้วเขาสัญญาอะไรกับลูก?” 

 

 

เฉียวซือมู่เอ่ยตอบ “เขาบอกว่าเขาจะหย่ากับหร่วนเซียงเซียง เพราะเขาไม่เคยแตะต้องตัวเธอ และไม่เคยคิดว่าเธอเป็นภรรยาเขาค่ะ” 

 

 

“ถ้าอย่างนั้น ลูกก็ลองคิดดูให้ดีๆ แม่คิดว่าเขาไม่ใช่คนเลวร้ายแบบที่ลูกคิด เขาเป็นคนที่เชื่อถือได้” คุณนายเฉียวทอดถอนใจ “ถ้าไม่ได้เขา ป่านนี้แม่อาจจะยังนอนเป็นผักอยู่ที่โรงพยาบาลก็ได้” 

 

 

เฉียวซือมู่เกาะแขนคุณนายเฉียวอ้อนๆ “คุณแม่ก็ยังมีหนูอยู่ทั้งคนนี่คะ” 

 

 

“จ้า จ้า แม่ยังมีลูกสุดที่รักคนนี้อยู่ทั้งคน” คุณนายเฉียวเอ่ยประชด “ยังจะกล้าพูดอีกนะเรา หนีไปต่างประเทศไม่บอกไม่กล่าวสักคำ ลูกนี่นะ…” เอ่ยจบแล้วใช้นิ้วจิ้มหน้าผากเฉียวซือมู่แรงๆ “ถ้ามัวแต่พึ่งลูก ป่านนี้แม่จะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้” 

 

 

คำพูดของคุณนายเฉียวทำให้เฉียวซือมู่รู้สึกละอายใจ เธอจับมือคุณแม่เอาไว้แล้วขยับไปมาเบาๆ “หนูผิดเองค่ะ ตอนนั้น พอรู้ข่าวนั้นแล้วหนูช็อกมากจนลืมคิดถึงคุณแม่ หนูผิดไปแล้วค่ะ” 

 

 

คุณนายเฉียวถอนหายใจเบาๆ พลางลูบศีรษะลูกสาวโดยไม่ได้เอ่ยอันใด เธออาบน้ำร้อนมาก่อน ทำไมจะไม่รู้ว่าการถูกหักหลังมันเจ็บปวดทรมานแสนสาหัสมากขนาดไหน เพราะฉะนั้น หลังจากรู้ที่มาที่ไปแล้ว เธอจึงไม่ได้ตำหนิลูกสาว เพียงแค่บ่นพอเป็นพิธีเท่านั้น 

 

 

ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เฉียวซือมู่ยังคงรู้สึกผิดอยู่ดี ตอนนั้นเธอหนีไปเพราะความโกรธแท้ๆ โดยลืมคิดถึงความรู้สึกของคุณแม่ไปเสียสนิท ตอนนี้มาคิดๆ ดูแล้ว ตัวเองมุทะลุมากจริงๆ ด้วย 

 

 

เธอแอบบอกกับตัวเองในใจว่าต่อไปจะต้องดูแลคุณแม่ให้ดีที่สุด 

 

 

คุณนายเฉียวเห็นสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนักของลูกสาวแล้วไม่เอ่ยเรื่องนั้นอีก หากแต่เปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นแทน “เดือนหน้าแม่กะว่าจะออกไปข้างนอก ลูกจะไปด้วยกันไหม?” 

 

 

“ไปข้างนอกเหรอคะ? คุณแม่จะไปที่ไหนคะ?” เธอเบิกตาโต 

 

 

คุณนายเฉียวมุ่นหัวคิ้วเล็กน้อย “ก็ออกไปเที่ยวไง วันๆ อยู่แต่ในบ้านจนจะเป็นง่อยอยู่แล้ว ออกไปชมวิวบ้างก็น่าจะดีเหมือนกัน” 

 

 

เฉียวซือมู่เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเมื่อก่อนคุณแม่ชอบท่องเที่ยวมาก ปล่อยให้ท่านต้องอยู่แต่ในบ้านตั้งนาน แถมเธอก็ไม่ได้อยู่เป็นเพื่อนด้วย เธอนี่มันลูกอกตัญญูจริงๆ พอนึกขึ้นได้จึงรีบพยักหน้ารับปากทันที “อื้ม ก็ดีค่ะ คุณแม่ไปเที่ยวเถอะค่ะ” 

 

 

“แล้วลูกล่ะ” คุณนายเฉียวเอ่ยถาม 

 

 

“หนูเหรอคะ?” เธอลังเลชั่วครู่ ยังไม่รู้ว่าจะเอาอย่างไรดี 

 

 

เธอเองก็อยากไปเป็นเพื่อนคุณแม่เหมือนกัน แต่จิ้นหยวนคงไม่อนุญาตแน่ ที่สำคัญ เธอยังอยากกลับไปทำงานเหมือนเดิมด้วย 

 

 

จะว่าไปแล้วชีวิตการทำงานของเธอไปได้ไม่ดีนัก ตอนแรกเธอทำงานอยู่ดีๆ แต่เป็นเพราะเรื่องแต่งงานของจิ้นหยวนทำให้เธอโกรธจนหนีไปที่มิลาน งานที่ทำอยู่จึงต้องหยุดทำไปก่อน โชคดีที่เธอเป็นเจ้าของนิตยสารซินเฟิง ขอแค่พนักงานยังทำงานกันได้ดีตามปกติก็ไม่มีเรื่องอะไรให้เป็นห่วง 

 

 

แต่พอเธอได้งานทำที่มิลาน กลับเกิดเรื่องราวเยอะแยะมากมายจนทำให้การงานของเธอต้องหยุดชะงักอีกครั้ง เธอรู้สึกเซ็งมาก เพราะฉะนั้น ครั้งนี้เธอจะต้องแสดงฝีมือให้ดี 

 

 

คุณนายเฉียวเห็นท่าทางลังเลของลูกสาวแล้วเดาว่าเธอคงไม่อยากอยู่ห่างจิ้นหยวน “ระหว่างลูกกับเขามีหร่วนเซียงเซียงคอยแทรกกลางอยู่แบบนี้ คงลำบากน่าดู ลูกก็ออกไปเที่ยวสักพัก ปล่อยให้เขามีเวลาจัดการเรื่องนี้ให้มันจบๆ ลูกคิดว่าไง?” 

 

 

“อย่างนั้นเหรอคะ ก็ดีเหมือนกันนะคะ ถ้างั้นหนูกลับไปถามเขาก่อนดีกว่าค่ะ” เรื่องนี้เธอต้องปรึกษาจิ้นหยวนก่อน 

 

 

เมื่อจิ้นหยวนกลับถึงบ้านตอนค่ำ เขาได้รับการต้อนรับจากเฉียวซือมู่เป็นหอมฟอดใหญ่ เขาเลิกคิ้วด้วยความคาดไม่ถึง “เมียจ๋า วันนี้คุณร้อนแรงจัง” 

 

 

เอ่ยจบแล้วดึงเธอเข้าไปจูบอย่างร้อนแรง บรรดาสาวใช้ที่ยืนอยู่รอบๆ ต่างหน้าแดงหัวใจเต้นโครมครามจนต้องรีบถอยออกไปแทบไม่ทัน ดูภาพแบบนี้เดี๋ยวก็เป็นตากุ้งยิงกันพอดี 

 

 

เธอนึกไม่ถึงเลยว่าการที่เธอเป็นคนเริ่มก่อนจะทำให้เขาตอบรับกลับอย่างร้อนแรงเช่นนี้ เขานำเธอเข้าสู่จังหวะที่ร้อนแรง จุมพิตร้อนแรงของเขาแทบจะกระชากวิญญาณเธอให้หลุดออกจากร่าง เขาจูบเธอเนิ่นนานกว่าจะยอมปล่อยมือออก เธอเข่าอ่อนจนแทบจะยืนไม่ไหว เขารีบรั้งตัวเธอเข้าไปกอดไว้ “ระวัง” 

 

 

ใบหน้าเธอแดงก่ำ ชายตามองใบหน้าที่เต็มไปด้วยยิ้มร้ายๆ ของเขา เธอได้แต่ใช้กำปั้นเล็กๆ ทุบลงบนต้นแขนเขาสองที 

 

 

กว่าจะไปนั่งลงที่โต๊ะทานอาหารได้ ก็หลังจากผ่านไปแล้วครึ่งชั่วโมงนั่นแหละ 

 

 

จิ้นหยวนมองอาหารบนโต๊ะแล้วยกยิ้มมุมปาก 

 

 

เฉียวซือมู่มองดูเขาคีบอาหารเข้าปากแล้วเอ่ยถามด้วยความตื่นเต้น “อร่อยไหมคะ?” 

 

 

เขาพยักหน้าน้อยๆ “วันนี้เปลี่ยนแม่ครัวเหรอ? รสชาติก็งั้นๆ” 

 

 

เธอตัวแข็งทื่อ เบิกตาโตอย่างไม่อยากจะเชื่อ “รสชาติงั้นๆ เหรอคะ?” 

 

 

เขามองเธอยิ้มๆ “ก็ใช่นะสิ แล้วคุณว่าไงล่ะ?” 

 

 

เธอเบือนหน้าหนีไปทางอื่นอย่างงอนๆ 

 

 

เขาหัวเราะร่าแล้วดึงเธอเข้าไปกอด “โอ๋ๆ ผมล้อเล่น วันนี้คุณเป็นคนทำอาหารเองใช่ไหมล่ะ เห็นแวบเดียวผมก็รู้แล้ว” 

 

 

เธอครางเสียงฮึ่ม “รู้ว่ารสชาติแย่ใช่ไหมล่ะ?” 

 

 

แมวน้อยตัวนี้อารมณ์ร้ายจัง เขาหอมแก้มเธอเป็นการขอโทษ “อาหารที่เมียจ๋าทำก็ต้องอร่อยที่สุดอยู่แล้ว เมื่อกี้ผมแค่อยากเห็นปฏิกิริยาของคุณก็เท่านั้นเอง” 

 

 

“เชอะ!” เธอยังไม่หายงอนจนจิ้นหยวนต้องขอโทษไม่หยุด เธอนึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองยังมีเรื่องต้องขอร้องเขาอีกถึงได้เลิกงอน 

 

 

ไม่นานทั้งสองก็รับประทานอาหารมื้อเย็นเสร็จเรียบร้อย เฉียวซือมู่เห็นจิ้นหยวนวางตะเกียบลงอย่างสง่างาม เธอลังเลเล็กน้อยว่าควรพูดกับเขาตอนนี้หรือว่าพูดทีหลังดี? 

 

 

เขาดูออกตั้งนานแล้วว่าเธอมีเรื่องอยากจะคุยกับเขา เขาแอบขำในใจ แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ จากนั้นลุกเดินออกไป “ผมไปที่ห้องหนังสือก่อนนะ” 

 

 

ถ้าเขาเข้าห้องหนังสือ อย่างน้อยก็อีกสามชั่วโมงถึงจะออกมา เฉียวซือมู่รู้กิจวัตรของเขาเป็นอย่างดี เธอครุ่นคิดเล็กน้อย จากนั้นเดินตามเขาเข้าไปในห้องหนังสือ 

 

 

เขาเห็นท่าทางเธอแล้วจึงตัดสินใจเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อนเสียแทน “คุณมีอะไรจะพูดกับผมหรือเปล่า?” 

 

 

เฉียวซือมู่แปลกใจเล็กน้อย “คุณรู้ได้ไงคะว่าฉันมีเรื่องอยากจะพูดกับคุณ?” 

 

 

“ผมก็ต้องรู้สิ” เขาจิ้มจมูกเธอเบาๆ “ก็สายตาคุณมันฟ้องนี่นา” 

 

 

เธอถูจมูกตัวเองเบาๆ พลางถอนหายใจ “ค่ะ ถ้างั้นฉันพูดตรงๆ เลยก็แล้วกัน เดือนหน้าฉันอยากออกไปเที่ยวกับคุณแม่ค่ะ”