บทที่ 214 ออกจากรังไหม
ในลานกลางเรือนของหลิงยู่ชาน ขณะนี้รังไหมสีเลือดที่ปกคลุมรอบตัวหลิงยู่ชานเริ่มมีหมอกสีแดงสดซึมออกมาและอุณหภูมิที่อยู่บริเวณรอบ ๆ รังไหมก็เริ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ
ที่สำคัญไปกว่านั้นคือเสียงจังหวะการเต้นของหัวใจที่ดังมาจากด้านในรังไหมเริ่มที่จะดังรัวขึ้นเรื่อย ๆ
หมิงจู้ ในขณะนี้นางเองก็ไม่กล้าที่จะอยู่ในบริเวณเรือนของหลิงยู่ชานอีกต่อไปเพราะเสียงจังหวะการเต้นของหัวใจที่ดังขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้นางรู้สึกหายใจไม่ออกและไม่สามารถยืนตัวตรงได้
และที่ด้านนอกของเรือนตอนนี้ก็มีหลายคนที่กำลังเฝ้าดูอยู่ พวกเขาต่างเดาไม่ออกว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากรังไหมเปิดออก
“พวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่?” หลิงตู้ฉิงถามขึ้นขณะที่เดินตรงเข้ามาที่ทางเข้าเรือนของหลิงยู่ชาน “ยู่ชาน เขาไม่สามารถออกมาจากรังไหมนั่นได้ในเร็ว ๆ นี้หรอก เขาจะออกมาได้ก็ต่อเมื่อเขาดูดซับและหลอมรวมเลือดที่ข้าได้ให้เขากินไปจนหมดแล้วเท่านั้น”
“ท่านพ่อ! สามี! ลุงหลิง!” ฝูงชนที่อยู่ด้านนอกเรือนของหลิงยู่ชานตอบรับ
“เอาล่ะ พวกเจ้าแยกย้ายกันไปทำสิ่งที่พวกเจ้าต้องทำกันเถอะ ส่วนยู่ชานหากเขาพร้อมเมื่อไหร่เดี๋ยวเขาก็ออกมาเอง” หลิงตู้ฉิงเดินเข้าไปและกดมือของเขาลงบนรังไหมสีเลือด หลังจากส่งพลังจิตเข้าไปตรวจสอบสถานการณ์ภายในชั่วขณะหนึ่งเขาพูดว่า “ยังมีเวลาอีก 3 วันก่อนที่เขาจะออกมาได้ และนอกจากนั้น นอกจากหมิงจู้ พวกเจ้าคนอื่นไม่ควรรอดูตอนที่เขาออกมาจากรังไหม เพราะพวกเจ้าจะได้เห็นเขาแก้ผ้าล่อนจ้อนแน่นอน!”
คนอื่น ๆ เมื่อได้ยินเช่นนี้พวกเขาก็ไม่ได้สนใจคำเตือนของหลิงตู้ฉิงสักเท่าไหร่
ถ้าเขาไม่ได้สวมเสื้อผ้าแล้วยังไงล่ะ?
หลังจากผ่านไป 3 วัน นอกจากหลิงตู้ฉิงและบรรดาเด็ก ๆ ผู้ชายแล้ว บรรดาเด็กสาวหรือแม้แต่หมิงจู้ก็ไม่ได้รอดูการออกมาจากรังไหมของหลิงยู่ชาน เนื่องจากพวกนางรู้สึกเขินอายเกินไป
แม้ว่านางจะหมั้นกับหลิงยู่ชานแล้วแต่ก็ยังเร็วเกินไปที่นางจะเห็นร่างอันเปลือยเปล่าของเขา
ในขณะนี้รังไหมสีเลือดได้ลอยขึ้นอยู่ในลานของหลิงยู่ชานสูงขึ้นจากพื้นราว 1 เมตร
“ท่านพ่อ พี่ใหญ่จะออกมาเร็ว ๆ นี้ใช่ไหม?” หลิงยี่เทียนถามอย่างสงสัย “แล้วสายเลือดของพี่ใหญ่มันคืออะไรกันแน่? ทำไมมันถึงได้ดูแปลกแต่ในเวลาเดียวกันมันก็ดูทรงพลังมากขนาดนี้?”
หลิงตู้ฉิงยิ้มและพูดว่า “พ่อบอกเจ้าไม่ได้หรอก รอไว้ในอนาคตเมื่อเขาแข็งแกร่งขึ้นจนสามารถปกป้องตัวเองได้เขาก็จะบอกพวกเจ้าทุกคนเอง”
หลิงยี่เทียนและหลิงว่านจุนส่ายหัวและถอนหายใจ “ท่านพ่อ แล้วเมื่อไหร่พวกข้าจะเริ่มบ่มเพาะกันได้สักที ตอนนี้พวกข้ารู้ว่าการต้องนั่งเล่นหมากรุกทุกวันมันเริ่มจะน่าเบื่อมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว”
หลิงตู้ฉิงพูดอย่างรวดเร็วว่า “พวกเจ้าแตกต่างจากคนอื่น การเล่นหมากรุกของพวกเจ้ามันคือการฝึกฝนทักษะอย่างหนึ่งของพวกเจ้า สำหรับพวกเจ้าการมีทักษะที่เหนือกว่าระดับการบ่มเพาะมันคือเรื่องดี พ่อรับประกันได้หากในอนาคตที่เมื่อไหร่พวกเจ้าบ่มเพาะได้แล้วระดับการบ่มเพาะของพวกเจ้าดันแซงทักษะของพวกเจ้า ถึงวันนั้นพวกเจ้าจะได้ร้องไห้ออกมาเป็นเลือดแน่นอน!”
หลิงยี่เทียนและหลิงว่านจุนมองหน้ากัน ทั้งสองยังคงส่ายหัวและถอนหายใจ
ไม่ว่าหลิงตู้ฉิงจะพูดอย่างไร พวกเขาก็ยังคงรู้สึกอยากที่จะบ่มเพาะได้เร็ว ๆ สักที เพราะในตอนนี้เมื่อพวกเขาเห็นพี่น้องทุกคนที่สามารถเริ่มบ่มเพาะกันได้หมด พวกเขาทั้งคู่ก็เริ่มรู้สึกว่าตัวพวกเขาด้อยค่ากว่าหน่อย ๆ แล้ว
ส่วนทางด้านของหลิงเทียนหยุนนั้นเขาไม่ได้พูดอะไร เพราะเขาไม่ได้รู้สึกกังวลอะไรเลยกับเหตุการณ์ที่เขาเห็นอยู่
เขาจ้องมองไปที่หลิงยู่ชานด้วยความสงสัยซะมากกว่า เขาสงสัยว่าถ้าหากรังไหมสีเลือดและหมอกเลือดที่แพร่กระจายออกมาจากมันไม่ได้ถูกพ่อของเขาสกัดกั้นไว้ มันคงจะกระจายไปมากกว่านี้
และเสียงจังหวะการเต้นของหัวใจคงจะต้องทำให้คนทั้งคฤหาสน์ต้องทนไม่ได้แน่นอน นี่มันคือสายเลือดอะไรกันถึงได้มีความน่ากลัวได้ขนาดนี้?
ถ้าหากเหล่าศัตรูมาเจอกับความสามารถของสายเลือดพี่ชายเขาแบบนี้ คนพวกนั้นจะเอาอะไรมาสู้?
เมื่อเขาครุ่นคิดได้อยู่ครู่หนึ่ง หลิงเทียนหยุนจึงลองส่งร่างเงาของเขาร่างหนึ่ง พุ่งเข้าไปในกลุ่มหมอกเลือด และเมื่อเขาตระหนักได้ว่าหมอกสีเลือดนี้ไม่มีผลต่อเงาของเขา เขาจึงพยักหน้าด้วยความเข้าใจและเรียกเงากลับมา
เมื่อเห็นภาพเช่นนี้ หลิงว่านจุนและหลิงยี่เทียนก็ยิ่งรู้สึกอิจฉา
“ท่านพ่อ ในอนาคตพวกเราจะทำเช่นนั้นได้หรือไม่?” หลิงยี่เทียนพูดด้วยความคาดหวัง “แล้วทักษะนั่นของเทียนหยุนมันแข็งแกร่งกว่าของพี่สองและน้องห้ารึเปล่า?”
หลิงตู้ฉิงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “พวกเจ้าทุกคนล้วนแต่ยอดเยี่ยมกันทั้งหมด แต่ถ้าหากจะให้วัดว่าพวกเจ้าคนไหนเก่งกว่าหรือด้อยกว่ากันนั้นมันวัดกันไม่ได้หรอก เนื่องจากพวกเจ้าแต่ละคนล้วนมีจุดเด่นที่แตกต่างกันทั้งหมด ฉะนั้นเจ้าทั้งคู่ไม่มีความจำเป็นต้องไปอิจฉาใคร เพราะไม่แน่เมื่อถึงเวลาที่พวกเจ้าเข้าใจในสิ่งที่ตัวพวกเจ้าเองมีและเมื่อคนอื่น ๆ ได้เห็นพวกเขาอาจจะอิจฉาพวกเจ้าแทนก็ได้”
“จริงเหรอท่านพ่อ?” หลิงยี่เทียนกระพริบตา
ในเวลาเดียวกับที่พวกเขาคุยกันอยู่ จู่ ๆ ก็มีเสียง ‘ปัง!’ ดังขึ้น
ตามมาด้วยร่างของหลิงยู่ชานที่กระโดดออกมาจากรอยแตกของรังไหมสีเลือดและยืนเปลือยอยู่กลางลาน
ในตอนนี้ร่างกายของหลิงยู่ชานดูราวกับว่าเขาได้รับการถูกเร่งการเจริญเติบโตของตัวเองอย่างรวดเร็ว ร่างของเขาในตอนนี้ทั้งสูงใหญ่ขึ้นและกระดูกของเขาก็หนาขึ้นมาก
“พี่ใหญ่ท่านควรไปใส่เสื้อผ้าซะก่อนนะ!” หลิงยี่เทียนตะโกนขึ้นพลางโยนเสื้อผ้าที่เขาเตรียมมาให้กับพี่ชายของเขา
“เขายังไม่ตื่น ตอนนี้เขาคงไม่ได้ยินเจ้าหรอก” หลิงตู้ฉิงพูด
หลิงตู้ฉิงสะบัดนิ้วของเขาทำให้เกิดระลอกคลื่นพลังวิญญาณกระจายไปยังหลิงยู่ชาน ในเวลาเดียวกันเขาก็ตะโกนว่า “ยู่ชาน ใส่เสื้อผ้าซะและเริ่มฝึกออกหมัดแบบที่พ่อเคยสอนเจ้าเพื่อทำการปรับพลังปราณและสายเลือดของเจ้าให้เข้าที่”
ภายใต้การกระเพื่อมของระลอกพลังวิญญาณ หลิงยู่ชานก็ตื่นขึ้น เขาพยักหน้าและจากนั้นเขาใส่เสื้อผ้าและเริ่มฝึกออกหมัดทันที
แรงหมัดของเขาบางครั้งก็เร็วและบางครั้งก็ช้าและหมอกสีเลือดที่กระจัดกระจายอยู่บริเวณรอบ ๆ กายของเขาก็เริ่มถูกดูดซึมกลับเข้าสู่ร่างกายของเขา
หลิงตู้ฉิงพูดด้วยความพึงพอใจกับหลิงเทียนหยุนและคนอื่น ๆ ว่า “พวกเจ้าจงเอาพี่ใหญ่ของพวกเจ้าเป็นตัวอย่าง และพยายามอย่างเต็มที่ให้ดีที่สุด พี่ใหญ่ของพวกเจ้าได้ก้าวไปข้างหน้าในเส้นทางการบ่มเพาะของเขาอย่างเต็มตัวแล้ว ส่วนพวกเจ้าที่เหลือทุกคนจงอาศัยสายเลือดที่พิเศษของตัวเองพัฒนาและฝึกฝนให้มากขึ้น ที่พวกเจ้าเป็นอยู่ตอนนี้ยังไม่ได้แตะขอบของเส้นทางการบ่มเพาะเลยด้วยซ้ำ”
หลิงว่านถิงและคนอื่น ๆ เมื่อได้ยินคำพูดของหลิงตู้ฉิงเช่นนี้ จึงล้อมวงเข้ามาหาเขา ทุกคนต่างก็รู้สึกอิจฉาเท่านั้น
“หลังจากยู่ชานฝึกหมัดเสร็จแล้ว พ่อจะทำการบรรยายบทเรียนพิเศษให้กับพวกเจ้าด้วยตัวเองที่นี่ และเมื่อผ่านบทเรีนของพ่อไปแล้วพวกเจ้าทุกคนต้องขยันให้มากขึ้นในอนาคต” หลิงตู้ฉิงพูดต่อ
“ท่านพ่อแล้วพวกเรายังไม่ต้องไปศาลาศักดิ์สิทธิ์งั้นเหรอ?” หลิงไช่หยุนถามอย่างสงสัย
หลิงตู้ฉิงยิ้มและพูดว่า “ยังไม่ใช่เร็ว ๆ นี้”
ทุกคนดีใจมากที่ได้ทราบว่าหลิงตู้ฉิงกำลังจะขึ้นบรรยาย ทุกคนต่างเคยได้รับประโยชน์อย่างมากจากการบรรยายสองครั้งของหลิงตู้ฉิง และคราวนี้พวกเขาก็จะได้รับผลประโยชน์เช่นนั้นอีกครั้งแล้ว
“พี่ใหญ่ รีบฝึกหมัดให้เสร็จ ๆ เถอะ ท่านพ่อจะได้เริ่มสอนพวกเราได้สักที!” หลิงว่านถิงกระตุ้น ในช่วงที่ผ่านมานางถูกซือโถวเหวินหยวนเอาชนะจนแทบจะคลั่งตายอยู่แล้ว แต่แน่นอนว่าผลประโยชน์ที่นางได้เรียนรู้มาก็มากเช่นกัน นางต้องการผสมผสานประสบการณ์การต่อสู้ที่นางได้รับมาเข้ากับบทเรียนของหลิงตู้ฉิงเพื่อให้มีความเข้าใจในเส้นทางบ่มเพาะของตัวเองมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม หลิงยู่ชานยังคงฝึกออกหมัดออกไปโดยไม่สนใจเสียงรอบข้าง เขายังคงออกหมัดต่อยไปยังอากาศตรงหน้า หมัดของเขาที่ออกมานั้นมีทั้งหมัดเร็วและช้าสลับกันไปมา และใขณะเดียวกันมันก็ได้ดึงหมอกสีเลือดที่ลอยอยู่ทั้งหมดกลับคืนเข้ามาในร่างกายของเขา
เมื่อหมอกสีเลือดได้ถูกดูดซึมหมดไปแล้ว หลิงยู่ชานจึงหยุดออกหมัด จากนั้นเขายิ้มและพูดกับหลิงตู้ฉิงว่า “ขอบคุณท่านพ่อ! ข้าขอบคุณท่านแม่ รวมถึงน้อง ๆ และพี่สาวหมิงจู้ที่คอยเป็นห่วงข้าด้วย”
“พี่ใหญ่ อย่ามัวแต่พูดอะไรให้ยืดยาวอีกเลย ไปกันเถอะรีบไปเตรียมตัวฟังชั้นเรียนของท่านพ่อก่อนเถอะ!” หลิงว่านถิงคร่ำครวญ