Dual Cultivation บทที่ 397: วันที่สี่แห่งการแข่งขัน

 

“อึก… เกิดอะไรขึ้นกับข้า” ซูหยินลืมตาขึ้นช้าๆ ยังคงรู้สึกเจ็บบนแขนทั้งสองข้างและอีกครึ่งซีกร่าง

 

“ในที่สุดเจ้าก็ตื่นขึ้น หงอวี้เอ๋อร์กระแทกเจ้าออกจากเวที” ไป่ลี่ฮัวอยู่ตรงด้านข้างขณะที่เธอตื่นขึ้น

 

“เจ้าสำนัก… เช่นนั้นข้าแพ้แล้วใช่ไหม”

 

“น่าเสียดาย”

 

“แย่จริง” ซูหยินกัดฟัน

 

ถึงแม้ว่าเธอจะเสียใจที่สำนักหงส์สวรรค์ได้แพ้การแข่งขัน แต่ก็ไม่สามารถเปรียบได้กับความเจ็บปวดที่แพ้ให้กับหงอวี้เอ๋อร์ในฐานะที่เป็นหญิง อย่างน้อยนี่ก็คือสิ่งที่ซูหยินเข้าใจ

 

“มิจำเป็นต้องหงุดหงิด หงอวี้เอ๋อร์ได้หลอกทุกคนและกลายเป็นผู้ที่อยู่ในเขตอัมพรวิญญาณ มิมีทางที่เจ้าหรือใครจักสามารถเอาชนะเธอได้ ต่อให้ข้าเองก็ยังมิมีความมั่นใจว่าข้าจักสามารถเอาชนะเธอได้” ไป่ลี่ฮัวคิดว่าซูหยินเสียใจเพราะว่าพวกเธอได้พ่ายแพ้การแข่งขันและพยายามที่จะปลอบเธอ

 

“อย่างไรก็ตามทำไมเราจึงอยู่ภายในโรงเตี๊ยม และพี่ชายข้าอยู่ที่ไหน” ซูหยินถามเธอ

 

“การแข่งขันได้จบลงไปแล้ว และเมื่อนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยได้ชนะการแข่งขัน พวกเขาควรยังคงอยู่ที่โคลีเซียม รอจับคู่รอบถัดไป

 

“ข้าเข้าใจ…” ซูหยินพยักหน้า

 

ในเวลานั้นภายในโคลีเซียม โหลวหลานจีมองไปยังกระดาษที่เธอเพิ่งจับขึ้นมา

 

“นี่…” โหลวหลานจีเผยให้ซูหยางเห็นกระดาษและหมายเลขหนึ่งบนนั้น “เราจะต่อสู้เป็นคู่แรกวันพรุ่งนี้”

 

หลังจากนั้น ครั้นเมื่อทุกคนได้หยิบหมายเลขของตนเองหมดแล้ว ซื่อตงก็เริ่มประกาศการจับคู่

 

“เราจะได้สู้กับสถาบันกระบี่ภูไค เฮ้อ…” โหลวหลานจีถอนหายใจหลังจากที่ได้ยินชื่อของอีกฝ่าย

 

“มิเคยได้ยินชื่อมาก่อน” ซูหยางยักไหล่

 

“สถาบันกระบี่ภูไค ได้รับการขนานนามว่าเป็นที่ที่ดีที่สุดอันดับสองในด้านเพลงกระบี่ในโลกนี้ เพียงแค่ด้อยกว่าสำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาค่อนข้างมีชื่อเสียงในภาคเหนือ”

 

“แค่ดีที่สุดอันดับสองรึ เปรียบเทียบกับสำนักหงส์สวรรค์หรือนิกายล้านอสรพิษแล้วเป็นอย่างไรบ้าง”

 

“พวกเขาเพียงค่อนข้างด้อยกว่าอีกฝ่ายเล็กน้อย ข้าเดาว่าเช่นนั้น”

 

“ถ้าเช่นนั้นก็มิมีอะไรต้องกังวลใจ”

 

“ม-มิมีอะไรต้องกังวลใจงั้นรึ” โหลวหลานจีเลิกคิ้ว “อย่างไรก็ตามในเมื่อเราได้เอาชนะนิกายดอกบัวเพลิง สถาบันกระบี่ภูไคควรจักมิมีปัญหามากนัก…”

 

หนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้นนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็กลับไปยังโรงเตี๊ยม ซูหยางก็เรียกประชุมเหล่าศิษย์และกล่าวว่า “สำหรับการต่อสู้พรุ่งนี้ ข้าต้องการให้ฟางซีหลานสู้ทั้งหมดสิบรอบ”

 

“อ-อะไรนะ” เหล่าศิษย์ต่างพากันมองดูเขาและฟางซีหลานด้วยดวงตาเบิกกว้าง

 

“เจ้าคิดว่าเจ้าสามารถทำได้หรือไม่” ซูหยางถามเธอ

 

“…”

 

หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ ฟางซีหลานก็พยักหน้า “ข้าเป็นเพียงคนเดียวที่ยังมิได้สู้แม้แต่รอบเดียวนับตั้งแต่วันแรก ข้าเองก็เริ่มสงสัยว่าข้าจักมีโอกาสได้ขึ้นเวทีหรือไม่”

 

“และเพื่อที่จะทำเกิดความตื่นเต้นมากกว่านี้ ถ้าเจ้าสามารถที่จะเอาชนะได้ทั้งสิบรอบติดต่อกัน ข้าจักให้รางวัลเจ้าด้วยวิชาระดับเซียน” ซูหยางกล่าว

 

“อะไรนะ”

 

เหล่าศิษย์ต่างแสดงสีหน้าตระหนกหลังจากที่ได้ยินคำพูดของเขา และกระทั่งฟางซีหลานเองก็อดไม่ได้ที่จะจ้องไปยังเขาด้วยสีหน้างงงัน

 

“ข-ข้าจักมิทำให้ท่านผิดหวัง” ฟางซีหลานกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียดในเวลาถัดไป

 

เช้าวันถัดมา นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยได้ออกเดินทางไปยังโคลีเซียมเป็นวันที่สี่ติดต่อกัน

 

และถึงแม้ว่าจะมีสำนักน้อยกว่าสามสิบสำนักต่อสู้กันในวันนี้ ผู้คนกลับยิ่งมากและส่งเสียงเอะอะกว่าวันก่อน

 

“ยินดีต้อนรับสู่วันที่สี่ของการแข่งขันระดับภูมิภาค สำหรับการแข่งขันรอบแรกในวันนี้ เรามีสถาบันกระบี่ภูไคปะทะกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ม้ามืดที่น่าประหลาดใจที่สุดอันดับสองของปีนี้” ซื่อตงกล่าว

 

“พวกเราเป็นเพียงแค่อันดับสอง สำนักเมฆม่วงต้องเป็นอันดับหนึ่ง เฮ้อ…” ซุนจิงจิงเดา

 

“นั่นช่วยไม่ได้ หงอวี้เอ๋อร์อยู่ในเขตอัมพรวิญญาณย่อมน่าตระหนกเป็นธรรมดา” ฟางซีหลานกล่าว

 

“พูดถึงหงอวี้เอ๋อร์ เจ้าได้ยินว่าเกิดอะไรขึ้นหรือไม่เมื่อวานนี้ คนนับพันแห่กันไปโรงเตี๊ยมหยกร้อยปีหลังจากการแข่งขันวานนี้เพราะว่าพวกเขาต้องการที่จะพบกับหงอวี้เอ๋อร์ กระทั่งคนจากตระกูลใหญ่ก็ยังพยายามที่จะเกี้ยวเธอด้วยทรัพย์สินมูลค่ามหาศาล” โหลวหลานจีกล่าวขณะที่มองดูซูหยาง

 

ได้ยินว่ามีเหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้น ซูหยางก็ยิ้มและกล่าวว่า “น่าตระหนกเช่นนั้นเลยเชียวรึ หงอวี้เอ๋อร์เป็นคนสวยทั้งยังมีพรสวรรค์หาใดเทียบในโลกนี้อย่างแท้จริง ถ้าข้ามิรู้อะไรมากกว่านี้ ข้าก็คงจะพยายามเข้าไปหาเธอเช่นกัน”

 

“ถ้าเจ้ามิรู้อะไรมากกว่านี้งั้นรึ” โหลวหลานจีเลิกคิ้ว งงงันว่าทำไมเขาจึงใช้ประโยคคำพูดเช่นนั้น

 

สองสามนาทีหลังจากนั้น เมื่อซื่อตงเรียกให้นักสู้ขึ้นสู่เวที ฟางซีหลานก็เริ่มตรงไปยังเวทีด้วยสีหน้าจริงจังบนใบหน้า

 

“โชคดี ศิษย์พี่หญิง” เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์พากันส่งเสียงให้กำลังใจเธอ

 

“ถล่มพวกนั้นให้ยับ พี่สาวฟาง” เช่นเดียวกับศิษย์คนอื่น

 

ในเวลานั้นผู้ชมต่างพากันมีสีหน้าประหลาดใจกับการปรากฏตัวของฟางซีหลาน เพราะว่าเธอไม่เคยต่อสู้แม้สักรอบมาก่อนนับตั้งแต่วันแรก พวกเขาคิดว่าเธอเป็นไพ่ใบสุดท้ายของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ตอนนี้เมื่อเธอขึ้นสู่เวทีเป็นรอบแรกนั่นหมายความว่าอะไร

 

“สถาบันกระบี่ภูไคได้ส่งศิษย์ตูออกมา ซึ่งอยู่ในระดับเจ็ดเขตสัมมาวิญญาณ” ซื่อตงแนะนำคู่ต่อสู้ของฟางซีหลาน

 

“สำหรับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยได้เลือกศิษย์ฟางมาเป็นนักสู้ของพวกเขา ซึ่งน่าตกใจเป็นอย่างยิ่ง เธออยู่ในระดับเจ็ดเขตปฐพีวิญญาณ”

 

หลังจากที่รู้ว่าพลังการฝึกปรือของฟางซีหลาน ผู้ชมกว่าครึ่งอ้าปากค้างด้วยความตระหนก

 

“อะไรกันเรื่องนี้เป็นไปได้อย่างไร นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็มีคนที่มีพรสวรรค์ในหมู่พวกเขาด้วยเช่นกันรึ”

 

“แม้ว่าจะมิได้ใกล้เคียงระดับน่าตระหนกของหงอวี้เอ๋อร์ แต่นี่ก็ยังชวนงงงันทีเดียวเชียว”

 

“ทำไมจึงมีอัฉริยะยากหาใดเทียบมากมายปานนี้ปรากฏตัวในปีนี้ พวกเขาไปซ่อนตัวที่ไหนมา ทำไมจึงปรากฏตัวขึ้นตอนนี้”

 

“ร-ระดับเจ็ดเขตปฐพีวิญญาณ นั่นล้อเล่นหรือเปล่า”

 

กระทั่งศิษย์ของสถาบันกระบี่ภูไคก็ไม่อยากจะเชื่อ เขาจะสู้กับคนที่อยู่เหนือกว่าตนเองไปอีกช่วงชั้นได้อย่างไร เขาไม่สามารถแม้กระทั่งจะรับมือการโจมตีของเธอได้แม้สักครั้ง บ้าแล้ว ไม่ต่างกับสู้กับหงอวี้เอ๋อร์ในตอนนี้เลยแม้แต่น้อย