บทที่ 199

คำขอ

ลี่ตันและพรรคพวกจากไปโดยไม่บอกลา ทิ้งไว้เพียง เจาหลิงที่ยังคงนอนแน่นิ่งอยู่ เมื่อเขาเริ่มเอะใจก็รีบลุกขึ้นและวิ่งตามกวนโป๋ไป

“ท่านกวนโป๋อย่าทิ้งข้าไว้คนเดียวสิขอรับ”

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า” ชาวบ้านที่เห็นท่าทีงุ่นง่านของเขาก็กลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่ พวกเขาทั้งสมเพชทั้งรังเกียจพวกทหารในเวลาเดียวกัน

จากเหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้ยาสัตย์ปฏิญาณขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ผลประโยชน์ทั้งหมดตกเป็นของหอการค้าหยูเย่แต่เพียงผู้เดียวไม่แบ่งใคร ทั้งยอดขายถล่มทลาย ชื่อเสียงที่กระฉ่อนไปทั่วทุกมุมเมือง รวมไปถึงเงินไถ่โทษหนึ่งล้านตั๋วทองที่ได้จากพวกกังฉินอีก

“ข้าขอประกาศให้ทุกท่านทราบอย่างทั่วถึงกัน หากมีผู้ใดกล้ามาทำลายชื่อเสียงของหอการค้าหยูเย่อีก ดูลี่ตันเป็นตัวอย่างเอาไว้! แต่อย่าได้กังวลไปตราบใดที่พวกท่านเป็นลูกค้าข้า ข้ายินดีต้อนรับเสมอ!”

“ท่านพูดได้ดีมาก เถ้าแก่เย่!”

“หนึ่งล้านตั๋วทองเอามาแบ่งข้าบ้างเซ่!”

หลังจากที่สถานการณ์ทั้งหมดสงบลง หวงจิ้งเฟิงก็ขอพูดคุยกับเย่เย่เป็นการส่วนตัว พวกเขาเดินขึ้นไปยังห้องชั้นสองของอาคาร ปล่อยให้ลู่จุ้นและผู้ติดตามองค์ชายรออยู่ที่โถงกลางชั้นล่าง

“ถ้าข้าใช้ชีวิตอย่างอิสระอย่างท่านได้บ้างก็คงจะดี แต่น่าเสียดายที่ข้าไม่อาจทำเช่นนั้นได้” หวงจิ้งเฟิงตัดพ้อ

เย่เย่ไม่ได้ตอบกลับในทันที เขารินน้ำชาร้อนๆใส่แก้วเล็กให้กับองค์ชายรอง แม้ว่าหวงจิ้งเฟิงมีวรยุทธ์แค่ชั้นเทพยุทธ์ แต่คุณงามความดีที่เขาเคยฟังจากปากลู่จุ้นนั้นก็ถือว่ามีไม่น้อยเลยทีเดียว

“องค์ชายหวง ที่ท่านมาที่นี่คงไม่ใช่เพราะว่าอยากช่วยพวกเราอย่างเดียวหรอกนะ?” เมื่อพวกเขานั่งลงได้ที่แล้ว เย่เย่ก็ตัดเข้าประเด็นในทันที

หวงจิ้งเฟิงยิ้มตอบ ก่อนถามเย่เย่ขึ้น “ท่านเย่ช่างมีสง่าราศี ในอนาคตข้างหน้าชะตาคงลิขิตให้ท่านเป็นใหญ่ในแผ่นดินเป็นแน่ แต่ในตอนนี้หอการค้าของเจ้ามีเพียงเจ้ากับลู่จุ้นเพียงสองคนดูท่าว่าจะน้อยไปเสียหน่อย ถ้ายังไงข้ายกคนรับใช้บ้าน สกุลเหวินของข้าให้ท่านดีไหม?”

เย่เย่ตกใจเล็กน้อยที่องค์ชายรองเป็นคนเปิดประเด็นก่อน ก่อนหน้านี้กวนโป๋ก็เคยเสนอคนจำนวนหนึ่งแทนการเอาตัวลู่จุ้นออกจากคุกอยู่เหมือนกัน แต่เย่เย่พอจะคาดเดาได้ว่ากวนโป๋ต้องการอะไรเขาจะปฏิเสธข้อเสนอไป

แต่ครั้งนี้ หวงจิ้งเฟิงองค์ชายรองกลับหยิบยื่นข้อเสนอนี้ให้เขาด้วยตนเอง แต่เย่เย่ก็ปฏิเสธเพียงเพราะไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกับราชสำนักในขณะนี้ “ข้าซาบซึ้งในน้ำใจของท่าน เพียงแต่ข้ายังไม่พร้อมจะขยายหอการค้าในตอนนี้ ดังนั้นอย่าได้สิ้นเปลืองกับข้าเลยขอรับ หากท่านมาเพื่อพาตัวลู่จุ้นกลับไปก็เชิญเลยขอรับ”

หวงจิ้งเฟิงฟังดังนั้นเขาก็ลุกขึ้นประสานมือคำนับเย่เย่

“องค์ชายรองหวง?” เย่เย่ลุกขึ้นรับสองมือของเขาไว้ ก่อนถามขึ้นด้วยความสงสัย

หวงจิ้งเฟิงนั่งลงอีกครั้ง ก่อนแสดงสีหน้าเศร้าสร้อยออกมา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความอัดอั้นตันใจอย่างบอกไม่ถูก

“ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากจะขอร้องท่าน ได้โปรดให้ลู่จุ้นอยู่ทำงานกับท่านที่นี่ด้วยเถอะ!”

“ท่านหวงไม่ได้มาที่นี่เพื่อพาลู่จุ้นกลับหรือขอรับ?” เย่เย่กะพริบตาอย่างสงสัย

“ในเมื่อท่านเย่ถาม ข้าก็จะไม่ปิดบังท่าน ที่จริงสถานการณ์ของบ้านสกุลเหวินของข้าใกล้มาถึงจุดแตกหักเต็มทีแล้ว ข้าและคนของข้ากำลังจะอพยพกลับไปบ้านเกิดของข้าที่ ตงเฉิง แต่ลี่เฉินไม่คิดจะปล่อยพวกเราไปง่ายๆ เขากล่าวหาว่าข้าลักลอบซ่องสุมกำลังขึ้นที่ตงเฉิงและออกอาสามาฆ่าข้าด้วยตนเอง ด้วยเหตุนี้ข้าจึงไม่พาลู่จุ้นกลับไปและเสนอคนรับใช้ให้กับท่าน เพื่อไม่ให้เขาต้องมาติดร่างแหนี้ไปด้วย อย่างไรก็ตามถ้าท่านเย่ไม่สะดวกจะรับไว้ ข้าจะไม่บังคับท่าน แต่ได้โปรดฝากดูแลลู่จุ้นด้วย เท่านี้ข้าก็หมดห่วงแล้ว”

เมื่อพูดจบหวงจิ้งเฟิงก็ลุกขึ้นคำนับเย่เย่อีกครั้ง เย่เย่นิ่งเงียบไปพักใหญ่เขาไม่คิดมาก่อนว่าองค์ชายรองจะตกอยู่ในที่นั่งลำบากเช่นนี้ ถึงขนาดที่สละตำแหน่งและกลับบ้านเกิดก็ยังทำไม่ได้ แต่ไม่ว่ายังไงตงเฉิงก็เป็นบ้านเกิดของเขา ครึ่งชีวิตของเขาอยู่ที่นั่น องค์ชายรองหวงจึงยืนยันที่จะกลับไปให้ได้ถึงตายก็ไม่เสียดาย

“องค์ชายรองได้โปรดวางใจ ข้ายินดีตอบรับคำขอของท่าน ขอให้ท่านเดินทางโดยสวัสดิภาพ” เย่เย่ประสานมือคำนับตอบ

“ขอบคุณท่านเย่ ข้าก็หวังว่ามันจะเป็นเช่นนั้น” เมื่อเย่เย่รับคำขอ เขาก็เบาใจ

หลังจากการหารือเสร็จสิ้น หวงจิ้งเฟิงก็ออกเดินทางพร้อมกับคนของเขา ดูเหมือนว่าทางฝั่งลู่จุ้นเองก็รู้สถานการณ์ของคนสกุลเหวินคร่าวๆ เขามองดูพ่อบุญธรรมเดินจากไปด้วยสีหน้าที่เศร้าสร้อย

“ลู่จุ้น มัวทำอะไรอยู่? นี่อย่ามัวแต่คิดถึงเรื่องไม่เป็นเรื่อง ถ้าไม่อยากทำให้องค์ชายรองผิดหวังล่ะก็หมั่นฝึกยุทธ์เข้าไว้ ท่านจะได้วางใจ” เย่เย่กล่าวขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าที่อ้างว้างของลู่จุ้น

ลู่จุ้นยังคงนิ่งเงียบไม่ยอมพูดอะไร ดูเหมือนว่าจะทำใจได้แล้ว แต่ไฟโทสะในดวงตาของเขายังไม่มอดสนิท

ในคืนหนึ่ง จู่ๆค่ายทหารยามหวางตู้ก็ลุกเป็นไฟขึ้นมา ชายสวมเสื้อคลุมดำที่ดูเหมือนว่าจะเป็นผู้ก่อเหตุ เงื้อคันศรและโจมตีไปที่ม้าของพวกทหาร

“ฮี้~~”

เหล่าอาชาร้องระงมด้วยความเจ็บปวด ก่อนล้มแดดิ้นลงกับพื้นจนขาดใจ

“ใครกัน!? หยุดเดี๋ยวนี้นะ”

“มีผู้บุกรุก มีผู้บุกรุก!”

“จับมันอย่าปล่อยให้หนีไปได้!”

ทหารยามที่สังเกตเห็นเงาตะคุ่มๆ ลั่นกลองส่งสัญญาณเรียกทหารเวรยามกลุ่มใหญ่ออกมาพยายามไล่ต้อนคนร้ายไป หวังจับเป็น

เมื่อถูกทหารล้อมรอบเอาไว้ได้ เขาก็ลุกลี้ลุกลน ทำตัวไม่ถูก พยายามทุกวิถีทางเพื่อให้รอดพ้นการจับกุม..