บทที่ 3 บทที่ 3 ตอนที่ 2

สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด

หลีจื่อมองคนที่นั่งเบาะหน้าทั้งสองจากเบาะหลัง

 

คนที่บริษัทต่างก็รู้ว่าพี่เริ่นมีลูกชายวัยรุ่นแล้วคนหนึ่ง ดูเหมือนว่ามีเพียงคนเก่าแก่ของบริษัทจำนวนน้อยไม่กี่คนที่เคยเห็น อย่างไรนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เธอเห็น

 

อืม รู้สึกยังไงน่ะเหรอ?

 

น่าจะเป็นคนที่เงียบมากๆ คนหนึ่ง…และผิวก็ขาวมากๆ ไม่เหมือนคนที่ออกกำลังกายกลางแจ้งเป็นประจำเลย

 

อายุประมาณนี้น่าจะยังเรียนไม่จบมหาวิทยาลัยล่ะมั้ง?

 

ด้วยยังอยู่บนรถพี่เริ่น เธอกับลั่วชิวก็มีความสัมพันธ์จำกัดอยู่ในขอบเขตแค่เคยแนะนำตัวกันเท่านั้น

 

ดูเหมือนหาเรื่องคุยด้วยยากแฮะ…หลีจื่อเริ่มเลื่อนรายชื่อเพื่อนในโทรศัพท์ ในนั้นมีข่าวบางอย่างที่ส่งมา “เอ๊ะ พี่เริ่น พยากรณ์อากาศบอกว่าเหมือนจะมีพายุไต้ฝุ่นมาอีกแล้ว!”

 

“เกิดพายุไต้ฝุ่นแล้วมีปัญหาอะไรเหรอ?” เริ่นจื่อหลิงกำลังซิ่งรอบภูเขาด้วยความเร็วสูง ดูเหมือนว่าความเร็วที่ร้อยสี่สิบห้ากิโลเมตรต่อชั่วโมงยังทำให้เธอพอใจไม่ได้ “นี่มันหน้าร้อนแล้ว ไม่มีพายุไต้ฝุ่นสิแปลก”

 

หลีจื่อรู้สึกว่าวันนี้พี่เริ่นตื่นเต้นเป็นพิเศษ ก็แค่ไปชายหาดเท่านั้นเอง ไม่เห็นจะน่าตื่นเต้นขนาดนั้น?

 

“นี่ๆ เหมือนว่าแถวบ้านพักตากอากาศแห่งนี้จะมีตำนานเรื่องหนึ่งด้วยนะคะ” หลีจื่อราวกับได้ค้นพบแผ่นดินใหม่ เธอดูโทรศัพท์ไปพลางพูดด้วยความตื่นเต้นอย่างที่สุด

 

“ตำนานอะไร?” น่าจะด้วยความเคยชินในสายอาชีพ เริ่นจื่อหลิงจึงเผลอหันหน้ามา แต่เธอเพิ่งจะหันหัวมา ลั่วชิวที่นั่งอยู่ข้างๆ กลับผลักหน้าเธอให้หันกลับมาอย่างไม่เกรงใจสักนิดเดียว

 

“ขับรถ”

 

นี่น่าจะเป็นประโยคแรกที่หลีจื่อได้ยินลั่วชิวพูดหลังจากขึ้นรถมา

 

“รู้แล้วน่า!”

 

นี่เป็นครั้งแรกที่หลี่จื่อเห็นราชินีเริ่นผู้ปกครองกองบรรณาธิการเป็นเหมือนเด็กว่านอนสอนง่าย…ลบล้างสิ่งที่เธอรู้เกี่ยวกับราชินีเริ่นไปหมดเกลี้ยงเลย

 

“ตำนานเล่าว่า…” หลีจื่อพูดต่อว่า “ทุกปีเมื่อถึงเวลานี้ ในสถานที่หนึ่งบนอ่าวนี้จะได้ยินเสียงร้องเพลงค่ะ”

 

ลั่วชิวขมวดคิ้ว

 

แต่เริ่นจื่อหลิงกลับพูดเหยียดว่า “ตำนานอะไรกันล่ะ เป็นเสียงตอนที่ลมทะเลพัดผ่านพวกหินโสโครก ผาหิน หรือถ้ำอะไรพวกนี้แล้วเกิดเสียงมากกว่ามั้ง? ฉันว่านะ นี่เป็นแค่เรื่องที่นักธุรกิจในแหล่งท่องเที่ยวพวกนั้นตั้งใจปั้นแต่งขึ้นมาเพื่อดึงดูดลูกค้าน่ะสิ! นี่เป็นเรื่องเห็นได้บ่อย หลีจื่อ พวกเราทำงานด้านสื่อสารมวลชนนะ”

 

หลีจื่อส่ายหน้าตอบ “ไม่ใช่ค่ะ ไม่ใช่ เป็นเสียงเพลงจริงๆ นะคะ จากที่เล่ามายังเป็นภาษาที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน…อ๋อ คนที่เขียนกระทู้นี้บันทึกเสียงไว้ช่วงหนึ่งด้วยค่ะ ฉันเปิดให้พวกคุณลองฟังดูนะคะ?”

 

เธอเพิ่มระดับเสียงในโทรศัพท์ให้ดังสุด พอจะได้ยินเสียงบางอย่างดังแว่วๆ แต่การขับด้วยความเร็วสูง เสียงลมที่อัดเข้ามาในรถดังมากไปหน่อย เริ่นจื่อหลิงก็จำต้องลดความเร็วลงอย่างเลี่ยงไม่ได้

 

เห็นระดับความเร็วของรถนี่ลดลงไปแล้ว ลั่วชิวก็สบายใจแล้ว…เขาหลับตาลง ให้ตนเองพอจะฟังเสียงบันทึกนั่นที่ดังมาจากโทรศัพท์มือถือได้ดีขึ้น

 

เสียงร้องแผ่วเบาและนุ่มนวลต่ำๆ ราวกับเสียงร้องของนกนางแอ่น…ลั่วชิวก็จนปัญญาแยกแยะว่าเป็นเสียงอะไรกันแน่เช่นกัน ในตอนนี้แค่พอจะฟังออกว่าเสียงนี้ไพเราะและกังวานอย่างมาก

 

น่าจะเป็นเสียงของผู้หญิง

 

ฉับพลันลั่วชิวก็หวั่นใจ ตอนที่คิดจะลองอ่านบทความในกระทู้นี้ให้ดีๆ สักหน่อยกลับพบว่าเริ่นจื่อหลิงกับหลีจื่อเหมือนใจลอยไปแล้ว

 

เขาขมวดคิ้ว แล้ววางมือไปบนพวงมาลัย…ข้างหน้าก็คือทางเลี้ยวโค้ง แต่รถกลับไม่เลี้ยวเลย

 

วินาทีที่พวงมาลัยหักเลี้ยว ลั่วชิวก็บีบแตรไป เสียงแตรที่ดังแสบหูทำให้เริ่นจื่อหลิงสะดุ้งขึ้นมาทันที สองมือรีบร้อนจับพวงมาลัยแน่น

 

“แม่-เอ๊ย…ทำฉันตกใจแทบตายเลย!” เริ่นจื่อหลิงยังมีท่าทางนึกกลัวอยู่ มือข้างหนึ่งก็ตบที่หน้าอกของตัวเอง

 

หลีจื่อที่เพิ่งจะรู้ตัวว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็ตกใจจนเหงื่อแตกพลั่ก

 

รถจอดลงตรงข้างทาง ข้างล่างก็เป็นจุดที่มองเห็นทะเลได้แล้ว เริ่นจื่อหลิงถอนหายใจเฮือกหนึ่งยาวๆ “เพลงนี้มีอาถรรพ์นะ! ฟังไปก็ใจลอยเลย!”

 

หลีจื่อพยักหน้าพูด “ใช่ค่ะ…กับคนที่โพสต์ก็พูดแบบนี้เหมือนกัน พวกเขาบอกว่า ฟังไปฟังมาก็ราวกับลืมตัวไปอย่างนั้น ตอนแรกฉันก็ไม่ค่อยเชื่อ ตอนนี้พอเจอด้วยตัวเองจริงๆ แล้ว แน่นอนว่า ฉันไม่คิดอยากจะลองเรื่องแบบนี้อีกแน่ ยังดีที่ลั่วชิวได้สติกลับมา ไม่อย่างนั้นละก็…เหอะๆ”

 

หลีจื่อทำหน้าผี แลบลิ้นออกมาเหมือนผีสาวตนหนึ่ง

 

แล้วเริ่นจื่อหลิงถ่มน้ำลายออกมา แต่กลับเห็นลั่วชิวเหมือนไม่ได้ยินอะไร แค่มองไปนอกหน้าต่าง

 

“สรุปว่า…สรุปว่าไปถึงบ้านที่พักก่อนแล้วค่อยว่ากันเถอะ” เริ่นจื่อหลิงตั้งสติได้แล้ว ก็สตาร์ทรถใหม่อีกครั้ง

 

แล้วหลีจื่อก็ไม่ได้พูดเรื่องตำนานนี้อีก

 

 

 

“ในที่สุดก็มาถึงแล้ว”

 

ขับรถตั้งแต่เช้าตรู่จนถึงตอนนี้ก็เป็นเวลากลางวันแล้ว ตอนที่ลงรถ รองบรรณาธิการเริ่นก็ยืดเส้นยืดสายตัวเองแป๊บหนึ่ง

 

หากมองจากไกลๆ …ก็ดูจะมีรูปร่างดึงดูดสายตามากเลย

 

หลีจื่อมองแวบหนึ่งด้วยความอิจฉาอย่างมาก หลังจากนั้นก็เผลอมองตนเอง…รู้สึกว่าตนเองไม่ควรยืดตัวบิดเอวน่าจะดีกว่า

 

จริงที่ว่าไม่เปรียบเทียบก็ไม่เจ็บปวด

 

“นี่…ฉันยกเองก็ได้”

 

กลับเห็นลั่วชิวเดินตรงไปที่ท้ายรถแล้วเริ่มยกกระเป๋าสัมภาระ

 

“ไม่เป็นไรครับ ไม่หนัก”

 

ไม่หนักจริงๆ เหรอ…หลีจื่อนิ่งตะลึง เด็กหนุ่มคนนี้ดูยังไงก็ไม่เหมือนคนออกกำลังกายยบ่อยๆ แต่กลับยกกระเป๋าสัมภาระใบใหญ่ๆ สามใบในมือราวกับไม่ได้ออกแรงอะไรมาก

 

เริ่นจื่อหลิงกลับไม่ได้สนใจอะไรเท่าไหร่ เธอเดินมาข้างๆ ลั่วชิว แล้วยื่นมือแตะไปบนบ่าของเขา ก่อนหันหน้ามาพูดเสียงเล็กเสียงน้อย ฉีกยิ้มตาหยี ชวนให้น่าขนลุกอย่างบอกไม่ถูก “เด็กดี ไหนเมื่อคืนนี้บอกว่าแฟนจะมาเองไง อย่าได้คิดโกหก อีกเดี๋ยวถ้าฉันไม่เห็นล่ะก็ คืนนี้เธอก็นอนห้องเดียวกับหลีจื่อแล้วกัน ฉันจะช่วยมอมเหล้าเธอเอง”

 

เจ้าของร้านลั่วอยากเขวี้ยงกระเป๋าสัมภาระในมือกระแทกตัวผู้หญิงคนนี้จริงๆ

 

เขาลอบถอนหายใจเงียบๆ

 

ด้วยรู้จักนิสัยแย่สุดๆ ของผู้หญิงคนนี้ดี เขาถึงได้เลือกให้โยวเย่มาเอง ถ้าอยู่บนรถล่ะก็ น่าจะ…เป็นเส้นทางที่เรียกได้ว่าค่อนข้างยากลำบากทีเดียว

 

“ไม่ต้องหรอกครับ” ลั่วชิวส่ายหน้า มองไปข้างหน้าแล้วพูดว่า “เธอมาถึงแล้ว”

 

“ถึงแล้ว อยู่ไหน…” เริ่นจื่อหลิงมองตามลั่วชิวไปข้างหน้า พอมองก็ละสายตาของตัวเองไปไม่ได้ “ฉันไป…”

 

เด็กสาวคนหนึ่งยืนอยู่ตรงข้างทางเข้าบ้านพักตากอากาศ

 

ชุดเดรสสีขาวบริสุทธิ์ สวมหมวกปีกกว้างบังแดดทรงกลมสีเหลืองนวล ในขณะเดียวกันสายลมก็พัดชุดกระโปรงของเธอปลิวขึ้นเบาๆ และพัดเส้นผมของเธอปลิวสยาย

 

มือข้างหนึ่งของเด็กสาวเหน็บเส้นผมไว้ที่ข้างหู และกำลังมองมาทางนี้

 

วินาทีที่รอยยิ้มเธอปรากฏ สายน้ำและภูเขาที่กว้างใหญ่แห่งนี้ก็สูญเสียสีสันเดิมที่มีไปทันที

 

เวลาผ่านไปพอประมาณ รองบรรณาธิการเริ่นถึงได้สติกลับคืนมา เธอถอนหายใจเฮ้อยาวๆ แล้วพูดเรื่องน่าระอาอีกว่า “ฉันตัดสินใจแล้ว ลูกชาย! คืนนี้ฉันจะช่วยมอมเหล้าเธอเอง!”

 

“…”

 

 

ฉันไม่ควรให้โยวเย่มาเลยใช่ไหม…