ภาคที่ 5 บทที่ 41 ไกล ไม่อาจเอื้อม

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

เสียงฝีเท้าสับสนทำลายความเงียบสงัดเคร่งขรึมของพระราชวัง ขุนนางหลายคนแทบจะวิ่งฉิว แต่ไม่มีใครตำหนิการเสียมารยาทของพวกเขา

“บุกมาถึงที่นี่ตั้งแต่เมื่อไร?”

“ทหารตามทางที่เตรียมไว้ตายหมดแล้วรึ?”

“พวกเขาแต่งกายปลอมตัวฉวยโอกาสยามค่ำคืนเผาฆ่าปล้นชิง ไปถึงที่ใดก็ฆ่าล้างบาง”

“ลงโทษมณฑลจิงตงให้หมด”

ตำหนักฉินเจิ้งยิ่งเอ็ดตะโร

“ตอนนี้ลงโทษอันใด!” ฮ่องเต้ตบโต๊ะดังป้าบตะโกน “ตอนนี้ต่อให้สังหารพวกเขาหมด ขวางชาวจินได้หรือ?”

ในท้องพระโรงเงียบลง

“ตอนนี้ทำอย่างไร? ตอนนี้ทำอย่างไร?” ฮ่องเต้พิโรธตรัส ยื่นพระหัตถ์ชี้ผู้คนในท้องพระโรง “พวกเจ้าที่แท้เป็นอะไรกัน? ชาวจินบุกมาถึงใต้หนังตาแล้ว”

บรรดาขุนนางคุกเข่าลงพร้อมเพรียง

“กระหม่อมมีความผิด”

“ฝ่าบาท สืบกระจ่างแล้วว่านี่เป็นกองทัพย่อยกองเล็กของชาวจิน” ขุนนางคนหนึ่งเงยศีรษะรีบร้อนเอ่ย “จำนวนคนไม่มาก มีแค่ไม่ถึงสามร้อยคน ปลอมตัวกลบเกลื่อนร่อยรอยถึงทะลวงทะลุมาถึงมณฑลจิงตงได้”

“ใช่พ่ะย่ะค่ะ ใช่พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท มณฑลจิงตงดักสังหารพวกเขาแล้ว” ขุนนางอีกคนก็รีบเอ่ยเช่นกัน

กำลังพูดอยู่ด้านนอกพลันมีขุนนางรีบร้อนวิ่งเข้ามา

“ฝ่าบาท ฝ่าบาท ขวางอยู่แล้ว ขวางอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ” เขาตะโกน “มณฑลจิงตงสังหารทหารจินไปหนึ่งร้อยแปดนาย รอดสามสิบสี่นาย คนที่เหลือรอดหลบหนี ทั้งเขตกำลังล้อมจับอยู่พ่ะย่ะค่ะ”

เมื่อคำนี้เอ่ยออกมา ผู้คนในท้องพระโรงล้วนถอนหายใจ ฮ่องเต้ก็ประทับลงบนบัลลังก์เช่นกัน

“สักคนก็ไม่ต้องเก็บไว้” พระองค์ตรัสอีกหน ความหวาดหวั่นบนพระพักตร์ยังไม่คลาย “ให้จิงตงกับจิงซีระวังเข้มงวด เรื่องเช่นนี้ไม่อาจเกิดได้อีก”

ขุนนางที่อยู่ที่นั่นขานรับพร้อมเพรียง ฮ่องเต้โบกพระหัตถ์อย่างเหน็ดเหนื่อย ขุนนางทั้งหลายรับคำนับถอยออกไป หวงเฉิงกลับถูกเรียกไว้

“ชาวจินที่แท้คิดจะเอาอย่างไร? พวกเขาตอบกลับมาไหม?” ฮ่องเต้ตรัสถามอย่างติดจะร้อนรนอยู่บ้าง

หวงเฉิงสีหน้านิ่งสงบ

“ก็ต้องการเงินต้องการสิ่งของเหมือนเคยพ่ะย่ะค่ะ” เขากราบทูล “บอกว่าทนผ่านหน้าหนาวจนเริ่มใบไม้ผลิลำบาก กระหม่อมกำลังเจรจา…”

“ยังเจรจาอะไรอีก ไม่ใช่แค่เงินกับของรึ รีบให้พวกเขาเร็วหน่อยไล่พวกเขาไสหัวไป” ฮ่องเต้ขัดเขาอย่างไม่สบอารมณ์

หวงเฉิงรีบตอบรับ

“กระหม่อมจะไปพบพวกเขาด้วยตนเอง” เขาเงยศีรษะคล้ายตัดสินใจอะไรบางอย่างแน่วแน่

ฮ่องเต้โบกพระหัตถ์อย่างคร้านจะสนใจ

“ไปเถอะ ไปเถอะ รีบๆ ไป ” พระองค์ตรัส

หวงเฉิงค้อมกายขานรับ

บนถนนในเมืองหลวงฝูงชนที่สีหน้าตื่นตระหนกรวมตัวเต็มไปหมด ทุกหนทุกแห่งล้วนกำลังถกเถียงสอบถามข่าว

“ชาวจินบุกมาจริงหรือ?”

“น่ากลัวเกินไปแล้ว!”

“ถ้าเช่นนั้นเมืองหลวงไยไม่ใช่อันตรายแล้ว”

“รีบหนีเถอะ! หนีลงใต้”

พูดถึงหนีไหนเลยจะง่ายดายปานนั้น ชาวบ้านทั้งหลายสีหน้าหวาดกลัวร้อนรนวิตก แต่ไม่นานก็มีคนส่งต่อข่าวล่าสุดมาเช่นกัน

“แค่กองทัพย่อยกองหนึ่ง ถูกกำจัดแล้ว”

“ก็ว่าแล้วไหมจะบุกมาได้อย่างไร”

“ชาวจินถนัดวิถีกองโจรเช่นนี้ที่สุด ตอนอยู่แดนเหนือก็มักจะมีคนกลุ่มหนึ่งปล้นชิงกะทันหันแล้วก็หนี”

“มณฑลจิงตงมีทหารตั้งแสนแน่ะ”

คำนี้มากน้อยก็ปลอบความหวาดกลัวจของชาวบ้านให้สงบได้

“ดูต่อไปก่อนเถอะ อย่างไรก็มีฮ่องเต้อยู่นะ”

“ใครมีเส้นสายสืบข่าวล่าสุดได้บ้าง?”

ฝูงชนที่รวมตัวกันอยู่กีดขวางถนนไว้ องครักษ์ขบวนหนึ่งไม่อาจไม่ด่าให้พวกเขาหลีกทาง

เห็นองครักษ์ขบวนนี้ชาวบ้านไม่น้อยก็จดจำได้ว่านี่คือขบวนรถของใต้เท้าเฒ่าหวง แม้รีบหลีกทางให้กันหมด แต่ก็ยังมีคนไม่น้อยอดไม่ไหวส่งเสียงสอบถาม

“ใต้เท้าหวง ชาวจินบุกมาแล้วจริงหรือขอรับ?”

หวงเฉิงย่อมไม่มีทางตอบคำถามนี้ แต่ก็ไม่ได้ผ่านไปอย่างไม่ตอบโต้ ผู้ดูแลที่ติดตามอยู่ข้างรถยกมือสื่อความหมายกับชาวบ้านทั้งหลาย

“อย่าเล่าข่าวลือสร้างสถานการณ์” เขาเอ่ย “ชาวจินไม่ได้บุกมา เพียงแค่ทหารกองย่อยกองหนึ่ง ถูกกำจัดไปแล้ว”

หวงเฉิงเป็นถึงขุนนางใหญ่ในราชสำนัก ได้ยินคนของเขาเอ่ยเช่นนี้ ชาวบ้านทั้งหลายล้วนพรูลมหายใจในใจ ยิ่งสอบถามกันวุ่นวาย

ครั้งนี้ผู้ดูแลไม่ตอบอีกแล้ว เพียงโบกมือ

“การทหารเรื่องใหญ่ไม่อาจวิจารณ์ส่งเดช” เขาเอ่ยพลางติดตามรถม้าเดินหน้าต่อท่ามกลางการห้อมล้อมขององครักษ์

ชาวบ้านทั้งหลายถูกขวางให้หยุด ขณะที่มองขบวนรถของหวงเฉิงเดินหน้าไปฉับพลันก็มีคนค้นพบว่าทิศทางไม่ถูกต้อง

“ใต้เท้าหวงทำไมไปนอกเมืองเล่า?” มีคนเอ่ยถาม

เวลาเช่นนี้คนมากมายล้วนครุ่นคิดว่าจะหนีหรือไม่ หรือใต้เท้าหวงก็คิดเช่นนี้ด้วย?

หากขุนนางยังจะหนีแล้ว ถ้าเช่นนั้น…

“ใต้เท้าหวงไปพบทูตของชาวจิน” มีคนที่ข่าวสารไวเบ้ปากเอ่ยขึ้น แล้วทำหน้ายินดี “”คราวนี้ดีแล้ว เจรจาได้ก็ไม่ต้องทำสงครามแล้ว

ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง ชาวบ้านรอบด้านฉับพลันโล่งใจด้วย

“ใช่แล้ว ใช่แล้ว ชาวจินก็แค่ละโมบเงินทองข้าวของ ให้พวกเขาก็ได้แล้ว”

“พวกเราก็ไม่ขาดแคลนของเหล่านี้เสียหน่อย รีบไล่พวกเขาไปเถอะ”

บรรยากาศบนถนนผ่อนคลายลงกว่าก่อนหน้านี้มากนัก สายตาคาดหวังนับไม่ถ้วนมองส่งรถม้าของหวงเฉิงออกไปไกล

จนกระทั่งออกจากประตูเมือง ผู้ดูแลก็ยังคงรู้สึกว่าบนแผ่นหลังร้อนระอุ เขาอดไม่ได้ยกมือเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก

“ใต้เท้า พวกเราจะไปหาชาวจินจริงหรือขอรับ?” เขามุดเข้าไปในรถแล้วเอ่ยถามเสียงเบา

“ไปหาที่ไหนเล่า?” หวงเฉิงหลับตาเอ่ยเสียงเรียบ “วังพญายมหรือ? หรือเจ้าจะไปแดนเหนือ?”

คนที่แต่เดิมอวี้ฉือไห่ทิ้งไว้ที่เมืองหลวงถูกพวกเขาสังหารตายหมดแล้ว ส่วนไปแดนเหนือตอนนี้ นั่นก็ไม่ต่างจากรนหนที่ตาย ล้วนเป็นวังพญายมทั้งนั้น

ผู้ดูแลขัดเขิน แต่ยิ่งไม่เข้าใจแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าเช่นนั้นทำไมหลอกฮ่องเต้ว่ายังเจรจากับชาวจินอยู่มาตลอด? ตอนนี้ยิ่งจะไปเจรจาด้วยตนเองอีก?

หวงเฉิงลืมตาขึ้น

“เจ้าโง่ใช่หรือไม่?” เขาเอ่ย “เวลานี้ย่อมต้องหนีสิ ชาวจินบุกมาแล้วยังไม่หนี จะรอไปอยู่เป็นเพื่อนฮ่องเต้เหรินเซี่ยวรึ?”

หา? หนี? ชาวจินบุกมาจริงๆ แล้ว? เหตุการณ์ในอดีตของฮ่องเต้เหรินเซี่ยวจะฉายซ้ำอีกครั้งแล้ว?

ผู้ดูแลเบิกตาสีหน้าตกตะลึง

……

……

เสียงฝีเท้าเร่งรีบดังขึ้นในกรมสืบสวนฝ่ายเหนือ

“ใต้เท้ามาแล้ว”

เห็นลู่อวิ๋นฉีมา คนกลุ่มหนึ่งที่รุมอยู่พลันรีบหลีกทาง เผยเปลอันหนึ่งที่ถูกหาบอยู่ด้านหลัง

บนนั้นคนผู้หนึ่งนอนอยู่ เต็มไปด้วยคราบเลือด

ลู่อวิ๋นฉีก้าวเข้ามาก้มหน้ามอง

ที่แท้เป็นจินสือปา

สีหน้าของเขาซีดเผือดดั่งกระดาษทอง เห็นชัดว่าบาดเจ็บสาหัสอย่างที่สุด

คล้ายสัมผัสได้ถึงลู่อวิ๋นฉีข้างกาย เขาจึงลืมตาขึ้นช้าๆ

“ใต้เท้าลู่” เขาลมหายใจระรินเอ่ยเรียก คล้ายจะยืนยัน

ลู่อวิ๋นฉีพยักหน้า

“ข้าเอง” เขาเอ่ย “เจ้าพูดได้แล้ว”

จินสือปาออกแรงยกมือขึ้น คว้าแขนเสื้อที่ทิ้งลงมาข้างกายของลู่อวิ๋นฉีไว้

“ใต้เท้า ชาวจิน มาแล้ว” เขาใช้สิ้นเรี่ยวแรงเอ่ยออกมา “ตะวันตกของจิงตงต้านไม่อยู่แล้ว…”

ถ้อยคำของเขาเอ่ยถึงตรงนี้ลมหายใจเฮือกสุดท้ายก็ใช้หมด มือไร้เรี่ยวแรงห้อยตกไม่ขยับ สองตายังคงเบิกโพลง

พวกองครักษ์เสื้อแพรที่อยู่ที่นั่นล้วนหน้าถอดสี ลู่อวิ๋นฉียังคงสีหน้านิ่งสนิท ยกมือลูบดวงตาของจินสือปา

……

……

บนทุ่งกว้างฝุ่นดินปลิวว่อนควบคู่กับเสียงร้องด่าโหวกเหวก

“โจรสุนัข ไม่ใช่ร้ายกาจนักรึ? หนีอะไร?”

“มาสู้กับปู่สิ”

หัวเราะร่า “เจ้าอ้วนเช่นนี้ วิ่งไม่ไหว ไล่ไม่ทันหรอก”

นายทหารอ้วนหอบหายใจฮักๆ อดไม่ได้ใช้มือค้ำหัวเข่าหยุด

“พี่สี่หาน ท่านพูดผิดจริงๆ” เขาเอ่ยพลางมองนายทหารข้างกาย “ท่านว่าข้าอ้วน ถึงเวลาเจอทหารจินเข้าคงวิ่งไม่ไหวถูกฆ่าตาย คิดไม่ถึงข้าพบทหารจินแล้ว แต่ไม่ได้ถูกทหารจินฆ่าวิ่งไม่ไหว กลับจะไปฆ่าทหารจิน”

พี่สี่หานหัวเราะฮ่าฮ่า มองดูทหารจินสองคนด้านหน้าหนีไปทางช่องเขา

“เร็วหน่อย เร็วหน่อย พวกเขาจะหนีแล้ว” นายทหารอ้วนรีบเอ่ยขึ้น “หัวของพวกเขามีค่าเท่ากับหัวหน้ากองคนหนึ่งเชียวนา”

คนที่เหลือก็ล้วนต้องการไล่ตาม พี่สี่หานไม่รีบไม่ร้อน

“ไม่ต้องกังวล พวกเขาหนีไม่รอดหรอก พวกเหล่าอันดักอยู่ด้านนั้นแล้ว เจ้าตัวน้อยสองตัวนี้ประเดี๋ยวก็ต้องกลับมา” เขาเอ่ยพลางปักหอกยาวในมือไว้บนพื้น ทำท่าเฝ้าตอไม้รอกระต่าย

นี่ก็น่าสนุกเอาการ คนอื่นก็ล้วนยิ้มทำเช่นนี้ มีเพียงนายทหารอ้วนสีหน้าไม่ยินดี

“พวกเหล่าอันโง่นัก ไม่แน่อาจขวางไม่อยู่นะ” เขาเอ่ยพลางย่ำเท้าวิ่งไปข้างหน้าต่อ “ข้าต้องไปดูสักหน่อย”

วิ่งไปสองก้าวสุดท้ายก็วิ่งไม่ไหว มือค้ำหัวเข่าก้มศีรษะหอบหายใจอีกหน

พวกพี่สี่หานด้านหลังร่างหัวเราะฮ่าฮ่าดังลั่น

“หัวเราะอะไรเล่า” นายทหารอ้วนไม่สบอารมณ์หันกลับมามองพวกเขา “แม้ข้าวิ่งช้า แต่วิชาหอกข้าดี พวกท่านรอดูเถอะ ประเดี๋ยวข้าคนเดียวจะจัดการพวกเขาสองคน…”

คำพูดของเขายังเอ่ยไม่ทันจบก็เห็นพวกพี่สี่หานที่เดิมทีหัวเราะอยู่สีหน้าแข็งทื่อ

“เจ้าอ้วน วิ่ง” พี่สี่หานพลันตะโกน

วิ่ง? นายทหารอ้วนแค่นเสียงเหอะสองที

“ข้าวิ่งไม่ไหว” เขาเอ่ย

เสียงยังไม่ทันจบ ก็เห็นพวกพี่สี่หานเริ่มถอยไปข้างหลัง

“เจ้าอ้วน รีบวิ่งเร็ว” พวกเขาตะเบ็งเสียงตะโกน พร้อมกับเสียงตะโกนก็พากันวิ่งไปข้างหลัง

นายทหารอ้วนตะลึงวูบหนึ่ง หันกลับไปมองโดยไม่รู้ตัว ฉับพลันสีหน้าตะลึงงัน

ทหารจินสองคนที่หนีไปเมื่อครู่นั้นกลับมาแล้ว แต่ไม่หวาดหวั่นอย่างก่อนหน้านี้สักนิด กลับยิ้มเหี้ยมโหด ส่วนหลังร่างของพวกเขาก็ปรากฏทหารม้ากองหนึ่ง

หน้าสุดหนึ่งแถวห้าคนล้วนหนึ่งคนม้าสองตัว ชุดเกราะหมวกทองแดง ดาบโค้ง คันธนู หอกยาว หลังร่างยังสะพายธงสีคันหนึ่งไว้

ทหารจินมาอีกได้อย่างไร?

นอกจากนี้ยังเป็นทหารม้าเหี้ยมหาญเช่นนี้อีก?

ไม่ใช่แค่ห้าคน พวกเขาค่อยๆ บีบเข้ามาใกล้ด้านนี้ หลังร่างพวกเขาทหารม้าแถวแล้วแถวเล่าปรากฏขึ้นตามต่อกัน ช่องเขาแคบนั่นคล้ายกลายเป็นปากถุง คายออกมาข้างนอกไม่หยุด คล้ายไม่มีวันหมดสิ้น

“เจ้าอ้วน รีบวิ่งเร็ว”

เสียงตะโกนตะเบ็งสุดแรงของพี่สี่หานลอยมา

รีบวิ่งเร็ว ใช่ รีบวิ่งเร็ว นายทหารอ้วนออกแรงเหวี่ยงแขนขา

คล้ายท่าทางที่เขาวิ่งน่าขันยิ่งนัก เสียงหัวเราะลั่นของทหารจินลอยมาด้านหลังร่าง แล้วยังใช้ภาษาหูพูดอะไรบ้างอย่าง มีเสียงกีบเท้าม้าดังขึ้นด้านหลัง บีบเข้ามาใกล้เขา แต่ก็ชักช้าไม่เข้าใกล้ประหนึ่งแมวเล่นจับหนู

“เจ้าอ้วน เจ้าอ้วน รีบวิ่งเร็ว”

พี่สี่หานหันกลับมาตะโกนเสียงเครือ กลับเห็นนายทหารอ้วนหยุดฝีเท้า

“ช่างแม่งมัน” เขาพลันตะโกน “ข้าวิ่งไม่ไหว ไม่วิ่งแล้ว”

เขากำหอกยาวหมุนตัววิ่งพุ่งเข้าใส่ทหารจินด้านหลัง

ทหารจินที่อยู่ใกล้คนหนึ่งเหวี่ยงดาบโค้งใส่เขาอย่างไม่ลังเล ดาบเดียวจากเบื้องสูงลงมาสะบั้นหอกยาวของนายทหารอ้วน ฟันลงบนศีรษะของเขา

เสียงกรีดร้องดังขึ้นทีหนึ่งพร้อมกับฝนโลหิต

พี่สี่หานตาแดงแล้ว เขากัดฟันหมุนกายไปข้างหลัง

“ข้าสู้ตายกับพวกเจ้า” เขาตะโกน

อย่างไรก็หนีไม่รอด แทนที่จะถูกหยอกเล่นแล้วสังหาร ยังไม่สู้ลองลากคนไปด้วยสักคน

นายทหารคนอื่นก็หมุนตัวด้วย จับหอกยาวมั่นตะเบ็งเสียงคำรามพุ่งเข้าใส่ทหารจิน

……

……

บนหอสังเกตการณ์สูงลิบแม่ทัพคนหนึ่งสีหน้าซีดขาวมองด้านหน้า

“ทำไม…มาอีก….มากมายเช่นนี้…” เสียงของเขาสั่นอยู่บ้าง “ไม่ได้บอกว่า…มีแค่กองทัพย่อยสามร้อยนายหรือ? นี่สามร้อยที่ไหน….”

ในทุ่งกว้างสายตาสบกับทหารจินมากมายยุบยับที่ย่ำเท้ามายังด้านนี้ประหนึ่งเมฆบดบังท้องฟ้าปิดคลุมตะวัน

สามร้อย? นี่สามหมื่นก็อาจมากกว่า…

“ขวางไม่อยู่….เมืองหลวง…” แม่ทัพเอ่ยพึมพำ ท่าทางเศร้าสลดอยู่บ้าง “รับศึก…”

……

……

“นี่เป็นไปไม่ได้! ชาวจินจะมีทหารม้ามากปานนั้นบุกโจมตีเมืองหลวงได้อย่างไร?”

ชิงเหอปั๋วตวาด

“จูซาน เจ้าจะเอ่ยวาจาข่มขู่ก็ให้มันน้อยๆ หน่อย ตอนนี้เจ้าเป็นนักโทษ ข้าไม่มีทางให้เจ้าเป็นแม่ทัพใหญ่แดนเหนือ”

เฉิงกั๋วกงมองเขา

“ท่านไม่รู้สึกว่าเรื่องทั้งหมดแปลกๆ หรือ?“ เขาเอ่ยขึ้น “เริ่มตั้งแต่ชาวจินอยู่ดีๆ จะเจรจาสงบศึก”

แปลกหรือ?

สู้ไม่ได้ย่อมต้องเจรจาสงบศึก…

เฉิงกั๋วกงพยักหน้าอีกหน

“อืม ด้วยสมองของท่าน ย่อมไม่รู้สึก” เขาเอ่ยขึ้น

ชิงเหอปั๋วโกรธจัดอีกครั้ง

“จูซาน เจ้า…” เขาตวาด

เฉิงกั๋วกงยกมือห้ามเขา

“ท่านปั๋ว ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ท่านกับข้าจะโต้เถียงกัน” เขาเอ่ย สิ้นเสียงของเขา พลันมีแม่ทัพสีหน้าซีดเผือดเข้ามาจากด้านนอก

“ท่านปั๋ว” เขาคุกเข่าดังตึกลงกับพื้น เสียงแหบพร่า “ทหารสอดแนมมารายงานว่าชาวจินไปถึงมณฑลจิงตงแล้วขอรับ”

เป็นเรื่องจริง!

ชิงเหอปั๋วฉับพลันลุกขึ้นยืน

“เท่าไร?” เขาเอ่ยถามเสียงสั่น

ชาวจินทะลุผ่านแดนเหนือรุกเข้าไปถึงมณฑลจิงตงก็ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้ ชาวจินขี่ม้าว่องไวถนัดโจมตีกะทันหัน แต่โดยทั่วไปล้วนเป็นกองทัพเล็กไม่กี่สิบไม่กี่ร้อยนาย รุกรานพักหนึ่งไม่หนีก็ถูกสังหาร

แม่ทัพกลืนน้ำลายคำแล้วคำเล่า คล้ายไม่กล้ามองชิงเหอปั๋ว

“ยามนี้ยังไม่แน่ชัด คร่าวๆ มีประมาณ…” เขาคล้ายยันกายไม่ไหวค้อมร่างฟุบกับพื้น เสียงหดหู่ “สี่หมื่น….”

สี่หมื่น บนสนามรบไม่นับเป็นจำนวนมากอะไร กองทหารประจำการที่มณฑลจิงตงยังมากกว่าจำนวนนี้อยู่ไกล แต่นั่นคือก่อนหน้านี้ ตอนนี้เพื่อสนับสนุนแดนเหนือ กองทหารประจำการที่มณฑลจิงตงถูกโยกย้ายไปครึ่งหนึ่ง

มิน่าชาวจินถึงใช้ทหารม้ามากปานนี้โจมตีกะทันหันได้…

มิน่าชาวจินถึงวางแผนให้เขาติดกับดัก…

มิน่าตอนเจรจาชาวจินถึงยืนยันต้องการสามเมืองของแดนเหนือ เพื่อรุกคืบเข้าดินแดนด้านใน เคลื่อนทหารง่ายดาย….

ที่แท้เป้าหมายของขี้เมาไม่ใช่แดนเหนือ แต่เป็นเมืองหลวง….

ชิงเหอปั๋วยกเท้าปุบก็จะพุ่งไปด้านนอก

“มานี่ มานี่ รวมพล…” เขาตะโกน

เฉิงกั๋วกงมือหนึ่งคว้าเขาไว้

“รวมพลแล้วหลังจากนั้นเล่า? ท่านคิดจะไล่ตามไปโจมตีหรือ?” เขาเอ่ย

เวลานี้ไล่ตามไม่ทันอย่างสิ้นเชิง

ชิงเหอปั๋วสีหน้าเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวขาว ถ้าเช่นนั้นเมืองหลวง…ถ้าเช่นนั้นเมืองหลวง…

เรื่องในอดีตที่ไคเฟิงครั้งนั้นจะฉายซ้ำอีกหนแล้วหรือ?

“ตอนที่ท่านเคลื่อนทหารกองหนุน ข้าให้กำลังพลที่ด่านซู่หนิงไปเมืองหลวงแล้ว” เฉิงกั๋วกงเอ่ย

ชิงเหอปั๋วฉุกคิดได้ ในดวงตามีประกายขึ้นมา

หากนับจากเวลานั้น ก็ยังมีหวังอยู่บ้าง….

เฉิงกั๋วกงกลับส่ายศีรษะ

“ข้าเคยบอกแล้ว ข้ารู้เพียงชาวจินเจ้าเล่ห์ ข้าไม่ใช่เทพเซียน ไม่รู้ว่าที่แน่ชัดพวกเขาทำอะไรทำเมื่อไร ดังนั้นเกรงว่าเวลาก็คงยังไม่พอ” เขาเอ่ยขึ้น

“ที่สำคัญที่สุดก็คือ ใกล้ๆ เมืองหลวงขวางไม่อยู่…” ชิงเหอปั๋วเอ่ยต่อ

ต่อให้กองทหารชิงซานของด่านซู่หนิงไล่ตามไปติดๆ แต่อย่างไรก็ไม่ได้ดักอยู่ด้านหน้า ขอเพียงให้โอกาสชาวจินวันเดียว การข้ามแนวป้องกันที่มณฑลจิงตงของเมืองหลวง สำหรับพวกเขาแล้วประหนึ่งเต้าหู้…

“หวังว่าเมืองหลวงจะป้องกันเมืองไว้ได้ ขอเพียงป้องกันไว้ได้ รอทหารกองหนุนเร่งไป….” เขาเอ่ยพึมพำ กำมือแน่น สีหน้ากลับประหนึ่งขี้เถ้า

เมืองหลวง ไม่มีทาง สำหรับคนที่นั่นแล้วไม่เคยประสบความโหดร้ายของศึกสงคราม ทหารองครักษ์เหล่านั้นไม่ต้องพูดถึงความกล้าที่จะประจันศึก ต่อให้เผชิญศึก ความสามารถในการต่อสู้ก็…

จบสิ้นแล้ว

ชิงเหอปั๋วแววตามืดหม่น เซนั่งลงบนเก้าอี้

“แต่ แม้ข้าไม่ใช่เทพเซียน”

เสียงของเฉิงกั๋วกงดังขึ้นอีกหน

“ทว่าบนโลกนี้ไม่ใช่ไม่มีเรื่องมหัศจรรย์ รวมถึงคนมหัศจรรย์”

ชิงเหอปั๋วมองไปหาเขาอย่างไม่เข้าใจ

“หมายความว่าอย่างไร?” เขาเอ่ยถาม

เฉิงกั๋วกงมองไปทางทิศที่เมืองหลวงตั้งอยู่ สีหน้าอ่อนโยนทั้งยังนิ่งสงบ

“คนผู้นั้นอยู่ ยังมีความหวังนิดหนึ่ง” เขาเอ่ย

คนผู้นั้น?

คนผู้ไหน?

ชิงเหอปั๋วขมวดคิ้ว

……

……

เสียงกึกเบาๆ ดังขึ้นทีหนึ่ง คุณหนูจวินที่นั่งอยู่บนเตียงวางมือบนหัวเข่า หันหน้ามองไปด้านหลัง

แสงสว่างทอดลงมาจากเบื้องบนจากนั้นก็ถูกเงามืดบดบังอีกหน เสียงฝีเท้าดังขึ้น ลู่อวิ๋นฉีเดินเข้ามา

“เจ้ากลับมาพอดี ข้ามีเรื่องจะพูด” คุณหนูจวินมองเขาแล้วเอ่ยขึ้น