ราชันเร้นลับ 467 : เลื่อนการตอบสนอง

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

ราชันเร้นลับ 467 : เลื่อนการตอบสนอง โดย Ink Stone_Fantasy

เหนือโลงศพสีดำสลักลวดลายซับซ้อนใจกลางห้องสีเทา อากาศด้านบนกำลังสั่นกระเพื่อมแผ่วเบาและปราศจากสุ้มเสียง

เอ็มลิน·ไวท์ยืนตรงมุมห้อง ทำการจุดเทียนไขและดำเนินไปตามกระบวนการปรกติของพิธีกรรม ก่อนจะเริ่มเทน้ำมันสกัดกับผงสมุนไพรลงไปบนเปลวเทียนวูบวาบ

อากาศเข้มข้นและล่องลอยเริ่มฟุ้งกระจายไปทั่วห้อง หลังจากแวมไพร์หนุ่มนั่งทบทวนขั้นตอนในการเข้าสู่ภาวะ ‘ละเมอเทียม’ จนขึ้นใจ เอ็มลินก้มศีรษะต่ำพร้อมกับเข้าฌาน และท่องนามเต็มอันสูงส่งของเดอะฟูล

“เดอะฟูลจากต่างยุคสมัย ผู้ปกครองลึกลับเหนือห้วงสายหมอกเทา ราชันเหลืองดำผู้ครองพลังโชคลาภ”

ท่ามกลางเสียงสวดราบเรียบ เอ็มลินเริ่มเข้าสู่สภาวะล่องลอยทีละนิด ร่างกายเกิดความผ่อนคลายและสงบนิ่ง ประหนึ่งกำลังอยู่ในภวังค์หลับลึก แต่พลังวิญญาณกลับเบาหวิวและกระตือรือร้นผิดปรกติ คล้ายกับกำลังแผ่ออกไปรอบตัวอย่างเจือจาง

ทันใดนั้น แวมไพร์หนุ่มพลันตระหนักว่าจิตของตนกำลังลอยฟุ้งขึ้นไปข้างบน

ณ วังโบราณเหนือห้วงมิติสายหมอกเทา ไคลน์กำลังเอาพลังพิงเก้าอี้สุดขอบโต๊ะทองแดงยาวอย่างสบายใจ มือข้างหนึ่งกดลงบนจอฉายภาพใกล้ตัว สายตาเพ่งมองบุคคลผู้กำลังสวดภาวนาถึงตนอย่างขบขัน

แม้จะคลุมเครือ แต่ไคลน์ไม่มีทางลืมว่านี่คือแวมไพร์เอ็มลิน

กล้าหาญมาก เป็นความกล้าระดับเดียวกับเมื่อครั้งออกไปซื้อฟิกเกอร์ตัวใหญ่กลับบ้าน… ไคลน์ถอนหายใจยาว แต่มิได้ตอบสนองทันที

ก่อนหน้านี้ มันพยายามทำนายถามถึงจุดประสงค์ของผีดูดเลือดอาวุโส แต่กลับไม่ได้รับคำตอบตรงประเด็นสักเท่าไร ทราบเพียงว่า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับชุมนุมแสงเหนือ

นั่นยิ่งทำให้ไคลน์เกิดความฉงน แต่มันตัดสินใจไม่เสี่ยงตอบสนองเอ็มลินทันที เนื่องจากรอบตัวแวมไพร์หนุ่มยังมีผีดูดเลือดทรงพลังคอยเฝ้าอยู่

ไคลน์ไม่ทราบว่าอีกฝ่ายจะสัมผัสถึงห้วงมิติเหนือสายหมอกหรือไม่ หากไม่ระวัง อีกฝ่ายอาจจู่โจมเข้ามาเหมือนกับอามุนด์ก็เป็นได้

ขณะเดียวกัน ชายหนุ่มก็ไม่ต้องการหาคำตอบให้เสียเวลาเปล่า เพราะในกรณีอามุนด์ มันเป็นเพียงร่างแยก แต่ผีดูดเลือดข้างกายแวมไพร์เอ็มลินคือร่างจริง

กับเรื่องเล็กน้อยแบบนี้ เราไม่ควรเอาตัวเข้าไปเสี่ยง ไม่ว่าจะอยากทราบจุดประสงค์ของผีดูดเลือดสักแค่ไหนก็ตาม…

และใช่ว่าเราจะไม่มีทางอื่น…

ไคลน์นั่งจ้องเอ็มลิน ผู้อยู่ในสภาวะละเมอเทียม พลางเผยรอยยิ้ม

“เลื่อนการตอบสนองออกไปก่อน…”

มันมีแผนรอให้ถึงวันพรุ่งนี้หรือมะรืนนี้ จึงค่อยตอบสนองหาเอ็มลินขณะอีกฝ่ายไม่มีคนคอยคุ้มกัน รวมถึงไม่มีผีดูดเลือดทรงพลังคอยเฝ้าจับตามอง

แต่ก่อนจะทำแบบนั้น ไคลน์ต้องทำนายให้แน่ใจเสียก่อนว่าไม่มีอันตรายตามมา

“ผู้กลืนหาง… เหมือนกับแม่น้ำบรรจบ?”

เดอร์ริค·เบเกอร์พลันฉุกคิดบางสิ่ง

นักล่าปีศาจโคลินพยักหน้าเคร่งขรึม

“ถูกต้อง สิ่งนี้หมายความว่า พวกเราอาจยื่นขาเหยียบลงบนแม่น้ำแห่งโชคชะตาเข้าแล้ว และคงหลุดพ้นออกไปได้ไม่ง่ายนัก แต่เรายังพอมีวาสนา นี่เป็นเพียงเศษเสี้ยวพลังของเทวทูตโชคชะตา ร่างจริงมิได้ซ่อนอยู่ในบริเวณใกล้เคียง”

ท่านเจ้าเมือง ไม่ใช่ ‘อาจจะ’ แต่พวกเราติดอยู่ในนี้มาหลายวันแล้ว… เดอร์ริคเสริม

ทันใดนั้น โคลินหยิบขวดโลหะสีแดงเข้มออกมาเปิดฝาดื่ม

ผ่านไปไม่กี่อึดใจ ดวงตาสีฟ้าอ่อนพลันซีดจางลงกว่าเดิม คล้ายกับถูกฉาบด้วยแผ่นกระจกสีเงิน ดวงตาดำเริ่มเปลี่ยนรูปทรงกลายเป็นแนวตั้ง สะท้อนภาพของเด็กชายแจ็คไว้บนผิวกระจก

ขณะเดียวกัน ประกายแสงสีเงินสองสามจุดปรากฏขึ้นในดวงตาโคลิน พวกมันวนเวียนชนกันอย่างส่งเดชปราศจากทิศทาง การชนแต่ละครั้งเป็นไปอย่างรุนแรงหนักหน่วง

ฉึก!

นักล่าปีศาจโคลินปีกดาบลงไปบนพื้นหิน ตามด้วยการใช้มืออีกข้างเอื้อมไปหยิบดาบสะพายหลัง

มือข้างหนึ่งจับดาบ ส่วนอีกข้างปล่อยจากเล่มบนพื้นเพื่อล้วงหยิบขวดของเหลวสีทองออกมาเทราด

เมื่อตระหนักถึงพฤติกรรมไม่ชอบมาพากลของอีกฝ่าย แจ็คพลันเปลี่ยนสีหน้า ความดำมืดโดยรอบพลันเข้มข้นขึ้นทันที

โดยไม่เปิดโอกาสให้อ้าปาก โคลินเป็นฝ่ายชิงลงมือก่อน ดาบเล่มปักพื้นถูกดึงขึ้น เจ้าเมืองเงินพิสุทธิ์เคลื่อนไหวร่างกายอย่างรวดเร็วจนทิ้งไว้เพียงร่างมายา

แสงสีทองสลับเงินพลันสว่างวาบ มอบความเจิดจ้าไปทั่วทุกมุมห้องโถงใต้ดิน โดยเฉพาะจุดยืนของเด็กชายแจ็คซึ่งมีแสงเข้มข้นเป็นพิเศษ

ทุกสิ่งจบลงในพริบตา หลังจากเสียงโหยหวนหลุดลง ความอึมครึมและเงียบสงบกลับมาปกคลุมแท่นบูชาอีกครั้ง

แจ็คยังคงยืนในจุดเดิมโดยไม่ขยับตัวแม้แต่หนึ่งก้าว ทว่า ‘ใบหน้า’ พิสดารบนอกไม่หลงเหลืออยู่อีก ทิ้งไว้เพียงรูโหว่ขนาดใหญ่ซึ่งมองเห็นอวัยวะภายในกำลังยุบพองอย่างน่าขนลุก

ถัดจากแจ็คไม่กี่เมตร นักล่าปีศาจโคลินกำลังคุกเข่าลงหนึ่งข้าง ดาบทั้งสองเล่มวางราบไปบนพื้นในลักษณะปลายบานออกเล็กน้อย

เบื้องหน้าโคลินคือแผ่นหนังหน้ามนุษย์ซึ่งถูกฉีกทำลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ดวงตา จมูก ปาก ล้วนกระจัดกระจายจนไม่เหลือเค้าเดิม

‘อวัยวะ’ เหล่านี้ดีดดิ้นประหนึ่งถูกไฟฟ้าแรงสูงช็อตอยู่สักพัก จนกระทั่งหยุดลงและเกิดการเน่าเปื่อยอย่างรวดเร็ว

ในวินาทีนี้ เดอร์ริคพลันตระหนักว่ากำแพงล่องหนรอบตัวมัน เริ่มกระเพื่อมในลักษณะคล้ายคลื่นน้ำ แผ่ออกไปเป็นวงกว้าง ก่อนจะแตกตัวเป็นเสี่ยงๆ อย่างเงียบงัน

ภายในใจเกิดความรู้สึกคล้าย ตัวมันได้ถูกกระแสน้ำเชี่ยวกรากพัดพามาถึงริมตลิ่ง

เมื่อมองสำรวจไปรอบห้อง ไม่ว่าจะเป็นโถงกว้างซึ่งมีบรรยากาศอึมครึม ไม้กางเขนสีดำและเทวรูปคนห้อยหัว รวมถึงแจ็ค ผู้หมดสติไปเนื่องจากอาการบาดเจ็บ ภาพตรงหน้าทำให้เดอร์ริคมีความสุขเหนือคำบรรยาย

มันมั่นใจโดยไม่เคลือบแคลงว่า ตนและพวกพ้องทุกคนหลุดพ้นจากวังวนกระแสเวลาเรียบร้อยแล้ว

ถึงแม้กุญแจสำหรับปริศนาจะไม่ซับซ้อนอะไรนัก แต่ถ้าไม่มีเบาะแสใดเลย หรือไม่มีความทรงจำเก่า ก็คงกินเวลาการสำรวจหลายสิบหลายร้อยรอบ…

โดยระหว่างนี้ ความผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อยอาจนำพาไปสู่ความตาย และเดอร์ริคก็ยังไม่แน่ใจว่า คนตายจะคืนชีพกลับมาได้ใหม่หรือไม่ เมื่อวัฏจักรวนกลับไปหากองไฟอีกครั้ง

เรื่องแย่กว่านั้นคือ มนุษย์เรามักไม่ค่อยเปลี่ยนพฤติกรรม เดอร์ริคเคยเห็นด้วยตาตัวเองมาแล้วถึงเจ็ดครั้ง จึงเป็นการยากจะให้พวกเขาพบความผิดปรกติภายในวังวนอันน่าสะพรึงกลัวของโอโรโบรอส

เมื่อคิดทบทวนอีกครั้ง เด็กหนุ่มเริ่มมั่นใจโดยไม่เคลือบแคลงว่า หากทีมสำรวจปราศจากความทรงจำเก่าโดยสิ้นเชิง วัฏจักรคงดำเนินไปไม่ต่ำกว่าหนึ่งพันรอบ จนกระทั่งเสียชีวิตเพราะความชราภายในวังวนแห่งกระแสเวลา เนื่องจากเวลาตามโลกภายนอกมิได้หยุดนิ่ง

คิดได้เช่นกัน เดอร์ริครู้สึกขอบคุณมิสเตอร์ฟูลจากก้นบึ้งหัวใจ การช่วยคืนความทรงจำแถมยังมอบคำใบ้ของมิสเตอร์ฟูล ไม่ต่างอะไรกับช่วยชีวิตของตนและเมืองเงินพิสุทธิ์ไว้

เด็กหนุ่มชำเลืองรอบตัว และพบว่าโจชัว ฮาอิม รวมถึงคนอื่น มิได้แสดงสีหน้าผิดปรกติแต่อย่างใด ทุกคนยังคงตั้งใจสำรวจบริเวณโดยรอบเหมือนกับวังวนรอบก่อน

คงต้องรอให้ถึงเมืองเงินพิสุทธิ์ก่อนกระมัง พวกเขาถึงจะรู้ตัวว่าเวลาชีวิตของพวกตนสูญหายไปบางส่วน… เดอร์ริคครุ่นคิด

พร้อมกันนั้น นักล่าปีศาจโคลินลุกยืนและดินตรงไปทางเด็กชายแจ็ค มันนำขวดโลหะใบเล็กออกมาเปิดผา และราดของเหลวสีดำลงไปบนรูโหว่บริเวณทรวงอก

เพียงพริบตา ของเหลวปริศนากลายสภาพเป็นเนื้อเยื่อล่องหน ช่วยหยุดบาดแผลฉกรรจ์ได้อย่างน่าอัศจรรย์

“ฮาอิม โจชัว คุณสองคนคอยดูแลเขา” นักล่าปีศาจโคลินพยายามระงับฝ่ามือสั่นเทาของตนพลางออกคำสั่ง

สำหรับมัน แจ็คอาจเป็นผู้ไขปริศนาคำสาปอันยาวนานหลายพันปีของเมืองเงินพิสุทธิ์ และอาจเป็นกุญแจนำพาไปสู่แสงสว่างตามคำทำนาย!

ฟู่ว…! เดอร์ริครู้สึกอยากสรรเสริญเดอะฟูล แต่มันเพิ่งตระหนักว่า ตนยังไม่ทราบ ‘สัญลักษณ์มือ’ ของศาสนาเดอะฟูล

เขตราชินี คฤหาสน์หรูของเคาต์ฮอลล์

มื้ออาหารสุดอลังการกำลังส่องแสงระยิบระยับภายใต้แสงไฟจากโคมเทียนระย้า

ตรงข้ามกับคำบอกเล่าจากนิตยสารหรือหนังสือพิมพ์ ชนชั้นสูงของประเทศมิได้กินอาหารด้วยกิริยามารยาทเคร่งเครียด และไม่จำเป็นต้องสงบปากสงบคำ

นี่คือโอกาสแสนหายาก กับการได้พบปะสมาชิกในครอบครัวและสานสัมพันธ์ต่อกันให้แนบแน่น ฉะนั้น ขุนนางส่วนใหญ่มักสนทนาในหัวข้อทั่วไปอย่างผ่อนคลาย

ออเดรย์หันชิ้นสเต๊กซึ่งถูกผลิตจากฟาร์มส่วนตัวของเธอ พลางซักถามเคาต์ฮอลล์โดยไม่ปิดบังสีหน้าอยากรู้อยากเห็น

“ท่านพ่อ มีบางสิ่งเกิดขึ้นกับองค์ชายเอ็ดซัคหรือคะ”

หากอีกฝ่ายตอบว่าไม่มี เธอก็แค่แสร้งทำเป็นว่าได้ยินข่าวลือแปลกๆ เกี่ยวกับองค์ชาย สิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องผิดปรกติ บรรดาเชื้อพระวงศ์มักมีข่าวลือฉาวโฉ่หลุดออกมาเป็นระยะเสมอ

เคาต์ฮอลล์ชะงัก พลางขมวดคิ้ว

“เจ้าไปได้ยินอะไรมา”

มีบางสิ่งเกิดขึ้นจริงด้วย!

เมื่ออ่านอากัปกิริยาของผู้เป็นบิดา ออเดรย์มั่นใจว่าตนกำลังมาถูกทาง จึงตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มมุมปาก

“แค่ข่าวลือทั่วไปค่ะ แต่ดูเหมือนจะเป็นความจริงใช่ไหม”

เคาต์ฮอลล์เลื่อนมือขึ้นมาลูบขมับ

“ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ออเดรย์ พ่อทราบว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ จะไม่ปิดบังก็แล้วกัน เรื่องนี้เป็นเพียงคดีอื้อฉาวทั่วไปในหมู่เชื้อพระวงศ์ สรุปโดยสั้น องค์ชายเอ็ดซัคตกหลุมรักสามัญชน แต่เรื่องนี้กลับทำให้ลูกหลานของอดีตขุนนางเสียชีวิตไปหนึ่งคน ทางราชวงศ์จึงต้องการปิดข่าวไว้เป็นความลับ ไม่ให้รั่วไปออกไปเป็นถึงหูประชาชน”

ภรรยาเคาต์ฮอลล์จิบแชมเปญและกล่าว

“พฤติกรรมเช่นนี้… ยังไม่โตสักที”

ลางสังหรณ์ของท่านแม่แม่นยำเสมอ…

เราชักสงสัยแล้วว่า คดีอื้อฉาวขององค์ชายเอ็ดซัคจะทำให้กรุงเบ็คลันด์เกิดเรื่องเลวร้ายถึงขั้นเป็นมหันตภัยได้จริงหรือ…

ออเดรย์แสร้งทำสีหน้าเข้าใจ

“หนูมีคำถาม ทำไมความรักระหว่างองค์ชายและสามัญชน ถึงทำให้อดีตทายาทขุนนางใหญ่เสียชีวิตได้”

ฮิบเบิร์ต·ฮอลล์ ผู้ยังคงก้มหน้าหั่นสเต๊กหนานุ่มของตน ส่งเสียงคาดเดาอย่างสนใจ

“ทำเอานึกถึงเรื่องราวอันโด่งดังในหมู่สาวกวายุสลาตัน กล่าวกันว่า หากชายสองคนหลงรักหญิงสาวคนเดียวกัน พวกเขาจะต้องต่อสู้เพื่อแย่งชิงหัวใจของเธอมา”

“ค่านิยมหัวโบราณเช่นนั้น ป่านนี้คงเหลือแต่ในพิพิธภัณฑ์” เคาต์ฮอลล์คัดค้านข้อสันนิษฐานของบุตรชายคนโต

ออเดรย์ฉวยโอกาสถามต่อ

“หนูไม่คิดว่าองค์ชายเอ็ดซัคจะเป็นคนหุนหันเช่นนั้น และโดยทั่วไป ข่าวลือมักแพร่กระจายเกินจริงเสมอ… ประเด็นสำคัญอาจถูกทางราชวงศ์ปกปิดไปแล้วก็ได้ ก็อาจจะ…” เคาต์ฮอลล์ทวนคำพลางขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว

ออเดรย์แม่นำจังหวะจะโคน เธอรู้ว่าตอนไหนควรรุก ตอนไหนควรหยุด เด็กสาวไม่ซักไซ้ให้วุ่นวาย เพียงจงใจชักนำบทสนทนาไปยังทิศทางอื่น

เธอมีแผนสำรอง นั่นคือการทำเรื่องนี้ไป ‘ถามหยั่งเชิง’ กับเพื่อนขุนนางรอบตัว

ในฐานะผู้เคยถูกองค์ชายสามตามตื้อเป็นเวลานาน ความอยากรู้อยากเห็นของเธอย่อมไม่ใช่เรื่องผิดปรกติ ไม่ว่าจะด้วยอารมณ์โกรธเคืองหรือสนใจ แต่คนทั่วไปล้วนมีอาการตอบสนองแบบเดียวกัน

หลังจากมิอาจรักษาสถานภาพ ‘ละเมอเทียม’ ไว้ได้นาน จิตของเอ็มลิน·ไวท์กลับเป็นปรกติพร้อมกับเกิดอาการอ่อนเพลียทางใจ เมื่อลืมตาขึ้น มันจ้องไปทางโลงศพเหล็กดำและกล่าวด้วยสีหน้าโล่งใจกึ่งผิดหวัง

“ลอร์ดนีบาส ไม่มีการตอบสนองขอรับ”

นีบาสเงียบงันเป็นเวลานาน ก่อนจะตอบกลับด้วยเสียงแหบพร่า

“ไม่เป็นไร เจ้าอยู่ต่ออีกสักคืน เผื่อไว้ในกรณีเกิดเหตุไม่คาดฝัน”

“ขอรับ” เอ็มลินไม่ขัดข้อง

แวมไพร์หนุ่มปล่อยเวลาผ่านไปอย่างหวาดระแวง แต่ค่ำคืนดังกล่าวกลับมีเพียงความปลอดโปร่งและเงียบสงัด จนกระทั่งแสงแรกยามเข้าอันหายากในฤดูหนาวส่องผ่านบานกระจกเข้ามา

“อากาศห่วยแตกชะมัด” เอ็มลินเดินทางออกจากคฤหาสน์โอดรา กดหมวกลง พลางพึมพำขณะส่งตัวเองเข้าไปในรถม้าเช่า

จุดหมายคือวิหารฤดูเก็บเกี่ยวในย่านทิศใต้ของสะพาน

หลังจากรถม้าแล่นไปได้สักพัก วิวทิวทัศน์รอบตัวเอ็มลินพลันพร่ามัวและเต็มไปด้วยทุ่งสายหมอกสีเทากว้างไกล

ท่ามกลางความตื่นตัวและประหลาดใจ เมื่อรู้ตัวอีกที เอ็มลินพบตนกำลังนั่งบนเก้าอี้ท่ามกลางวังโบราณแห่งหนึ่ง เบื้องหน้าเป็นโต๊ะทองแดงยาวเก่าแก่

หัวมุมของโต๊ะทองแดงยาวคือบุคคลปริศนา ผู้ถูกรายล้อมด้วยม่านหมอกสีเทาหนาทึบจนยากจะเห็นใบหน้าชัด กำลังก้มมองลงมาจากจุดสูงกว่า

……………………