บทที่ 412 เผชิญหน้าเฒ่าโรคจิต

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 412 เผชิญหน้าเฒ่าโรคจิต

 

 

ชายชราผู้มีนามว่าจูปี้ฉีมีลักษณะแปลกประหลาดและวิกลจริต

 

 

ไม่ทราบเลยว่าต้องมีคนตกตายในเงื้อมมือของเขามาเท่าไหร่แล้ว

 

 

โดยเฉพาะบรรดายอดฝีมืออัจฉริยะคนรุ่นใหม่ ซึ่งเมื่อถูกท้าทายเช่นนี้ มีหรือที่จะทนอยู่นิ่งเฉยได้ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับบุคคลที่มีรังสีอันตรายอย่างจูปี้ฉี น้อยคนนักที่จะกล้าเผชิญหน้าโดยตรง เหมือนที่หลินเป่ยเฉินกำลังทำอยู่

 

 

ส่วนใหญ่แล้วยอดฝีมือเหล่านั้นเลือกที่จะหลบเลี่ยงการเผชิญหน้า

 

 

และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้พวกเขาตายเร็วมากขึ้น

 

 

จูปี้ฉีถึงกับชะงักไปเล็กน้อยกว่าที่จะตั้งสติกลับมาได้และถามออกไปโดยไม่รู้ตัว “พ่อหนุ่ม ทำไมเจ้าถึงพูดกับผู้เฒ่าเช่นนี้?”

 

 

“ไม่พูดเช่นนี้แล้วจะให้พูดเช่นไหน?”

 

 

หลินเป่ยเฉินกระตุกยิ้มมุมปาก “เจ้าบอกว่าจะเอาสมองและหัวใจข้าไปดองเหล้ารับประทาน แล้วยังอยากจะให้ข้าพูดดีๆ กับเจ้าอยู่อีกหรือ… ไม่ต้องกินแล้ว อาหารพวกนี้มีราคาแพง ข้าเก็บไว้กินของข้าเองคนเดียวดีกว่า”

 

 

จูปี้ฉีพูดอะไรไม่ออก

 

 

ให้ตายสิ

 

 

ไม่เคยมีใครพูดหยาบคายเช่นนี้กับเขามานานแล้ว

 

 

โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ ไม่มีใครกล้าขึ้นเสียงใส่จูปี้ฉีมาก่อน

 

 

จูปี้ฉีส่ายหน้า ยังคงยิ้มแย้ม ถามว่า “อาจารย์ของเจ้าอยู่ที่ไหน?”

 

 

หลินเป่ยเฉินตอบว่า “อาจารย์ของข้ากำลังเข้าห้องน้ำ ถ้ามีอะไรจะพูดกับท่าน เจ้าก็ต้องรอให้อาจารย์ข้าขับถ่ายเสร็จก่อน”

 

 

เป็นอีกครั้งที่จูปี้ฉีไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาตอบรับ

 

 

เขาย่อมเข้าใจดีว่านี่เป็นประโยคไล่แขก

 

 

แต่ทำไมถึงไม่ไว้หน้ากันบ้างเลยนะ?

 

 

เด็กหนุ่มคนนี้ไม่เห็นหรืออย่างไรว่าเขามีอาวุโสมากพอที่จะเป็นปู่ของตนเองได้แล้ว?

 

 

และคนเราไม่ควรพูดเรื่องขับถ่ายบนโต๊ะอาหารไม่ใช่หรือ?

 

 

ดูเหมือนว่าเด็กหนุ่มคนนี้จะมีสมองไม่ปกติ

 

 

ถ้าอย่างนั้น ก็อย่าสนใจสิ่งที่มันพูดออกมาก็แล้วกัน

 

 

จูปี้ฉีหยิบถ้วยสุราขึ้นมากำลังจะเทเพิ่มเติม

 

 

“ฝันไปเถอะ”

 

 

หลินเป่ยเฉินคำรามด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด “เจ้าเป็นใครมาจากไหน เที่ยวมานั่งกินอาหารดื่มสุราในบ้านข้าได้ตามใจชอบ? เฒ่าชราอย่างเจ้า เลิกดื่มสุราจะเป็นการดีที่สุด”

 

 

ปัง!

 

 

จูปี้ฉีตบฝ่ามือลงไปบนโต๊ะ

 

 

โครม!

 

 

แล้วโต๊ะอาหารที่แกะสลักขึ้นมาจากหินคุณภาพสูงก็แหลกสลายเป็นผุยผง

 

 

นี่แสดงให้เห็นถึงพลังที่แท้จริงของจูปี้ฉี เพียงแค่หลินเป่ยเฉินพูดออกมาไม่กี่คำ เพลิงโทสะในจิตใจของชายชราก็ลุกโชนขึ้นมา

 

 

แต่เด็กหนุ่มก็ยังคงพูดต่อไปอย่างไม่กลัวตายว่า

 

 

“ทำลายข้าวของ เจ้าต้องชดใช้ค่าเสียหายมาเดี๋ยวนี้”

 

 

“หนุ่มน้อย เจ้าไม่กลัวตายหรืออย่างไร?” จูปี้ฉีมองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยแววตาเย็นชา

 

 

“หึหึ ความตายคืออะไรข้าไม่เคยรู้จัก”

 

 

หลินเป่ยเฉินหัวเราะในลำคอ

 

 

แต่นั่นก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ติงซานฉือเดินหิ้วขอบกางเกงของตนเองกลับมาจากทิศทางของห้องน้ำ

 

 

จูปี้ฉีหันกลับไปกราดสายตาสำรวจมองติงซานฉือตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า อดอุทานออกมาไม่ได้ว่า “ไม่คิดเลยนะว่าเซียนกระบี่ติงนอกจากรอดชีวิตแล้ว บัดนี้อาการบาดเจ็บยังทุเลามากขึ้นอีกด้วย”

 

 

ติงซานฉือรีบผูกเอวกางเกงให้แน่นหนาและหันมามองหน้าหลินเป่ยเฉิน ความตกตะลึงในแววตาของเขาจางหายไปตอนที่หันกลับไปจ้องมองจูปี้ฉีอีกครั้ง “หญ้าเสริมปราณปาฏิหาริย์ 500 ปีก็ถูกรับประทานไปแล้ว ระหว่างเราท่านใครอยู่เหนือกว่ากันก็พิสูจน์แล้ว เหตุไฉนท่านจึงต้องตามมาราวีถึงที่นี่ด้วย?”

 

 

จูปี้ฉียิ้มกริ่ม “หนึ่งในห้าเซียนกระบี่จากเมืองไป๋หยุนในอดีต ติงเล่ยผู้เป็นอมตะ คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าไม่เจอกันเพียงไม่กี่ปี นอกจากสภาพของท่านจะกลายเป็นคนซอมซ่อผู้หนึ่งแล้ว นิสัยของท่านยังเปลี่ยนเป็นโจรขโมยผู้หนึ่งอีกด้วย…”

 

 

อดีตเซียนกระบี่ผู้ยิ่งใหญ่เดินหิ้วขอบกางเกงออกมาจากห้องน้ำ หลังผ่านการขับถ่ายหมดไส้หมดพุง แน่นอนว่าติงซานฉือไม่เหลือภาพลักษณ์ใดๆ ให้อีกฝ่ายได้เคารพเลื่อมใสอีกแล้ว

 

 

อาจารย์ติงหัวเราะในลำคอและไม่กล่าวอะไร

 

 

จูปี้ฉีพูดต่อว่า “แต่ท่านแน่ใจหรือว่าเราตัดสินผลแพ้ชนะกันแล้ว? หากท่านไม่เล่นทีเผลอแสดงละครตบตา เซียนกระบี่ติงมั่นใจหรือว่าตนเองจะสามารถขโมยของและหลบหนีได้สำเร็จเช่นนั้น?”

 

 

“ถ้าอย่างนั้นท่านอยากจะต่อสู้อย่างไรเล่า?”

 

 

ติงซานฉือเอ่ยถาม

 

 

จูปี้ฉีตอบอย่างอารมณ์ดี “อย่าเพิ่งใจร้อน ข้ามิใช่เพียงคนเดียวที่มายังเมืองหยุนเมิ่ง ดังนั้น ข้าจึงไม่สามารถอาละวาดได้ตามที่ใจปรารถนา และลูกศิษย์ของท่านก็เป็นถึงหัวหน้านักบวชประจำเมือง ข้าจะทำอะไรวู่วามไม่ได้เด็ดขาด เพียงแต่ว่า…”

 

 

พูดมาถึงตรงนี้ ชายชราเสื้อคลุมเขียวก็หันไปชำเลืองมองพานเว่ยหมินที่เดินกลับมาจากห้องน้ำด้านนอก ก่อนจะหันกลับมาพูดกับติงซานฉืออีกครั้ง “เพียงแต่ว่าเซียนกระบี่ติงเป็นคนขโมยหญ้าเสริมปราณปาฏิหาริย์ของข้าไปก่อน และลูกศิษย์ของท่านก็ยังแย่งคนรักนายท่านของข้า… บัญชีแค้นครั้งนี้ ข้าไม่สามารถปล่อยผ่านได้จริงๆ”

 

 

ติงซานฉือนิ่งเงียบ

 

 

หลินเป่ยเฉินกระโดดผึงเหมือนกระต่ายถูกเหยียบหางและโวยวายว่า “พูดจาเหลวไหล ข้าไม่เคยออกนอกเมืองหยุนเมิ่งแม้แต่ก้าวเดียว แล้วจะไปแย่งคนรักนายท่านของเจ้าได้อย่างไร? นายท่านเจ้าเป็นใคร? เก่งจริงก็บอกชื่อออกมา”

 

 

จูปี้ฉียิ้มมุมปาก ตอบว่า “นายท่านของผู้เฒ่าเป็นคนแซ่เว่ย”

 

 

ติงซานฉือหันมาพูดกับหลินเป่ยเฉินว่า “เว่ยหมิงเฉิน”

 

 

“อ้าว เป็นเขาเองหรือ”

 

 

หลินเป่ยเฉินพูดออกไปแล้วก็รู้สึกผิดขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล

 

 

ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นฝ่ายเข้าหาหลิงเฉินก่อนก็เถอะ แต่ว่า…

 

 

ดูเหมือนหลินเป่ยเฉินจะปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่าตนเองแย่งคนรักของเว่ยหมิงเฉิน

 

 

ว่าแต่ว่าสำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นเหล่านี้ หลิงเฉินไม่ต้องมีส่วนรับผิดชอบเลยหรือไง?

 

 

“อีกไม่นานนายท่านของข้ามีเรื่องใหญ่ต้องจัดการ ข้าจึงตั้งใจว่าจะนำหญ้าเสริมปราณปาฏิหาริย์ต้นนั้นไปแบ่งปันกับเขา” จูปี้ฉีหุบยิ้มในฉับพลัน “เดินทีพวกเรา 4 องครักษ์ตั้งใจว่าจะแค่สั่งสอนบทเรียนเจ้าสักหน่อยเท่านั้น และหากเจ้ายินดีขอโทษ ทุกอย่างก็จะถือว่าเลิกแล้วต่อกัน ผู้เฒ่าคิดไม่ถึงเลยว่าพ่อหนุ่มจะเป็นคนจิตใจยโสโอหังถึงขนาดนี้ มิหนำซ้ำ ยังลงมือฆ่าคนด้วยความโหดร้าย… ในเมื่อพ่อหนุ่มเป็นคนที่กระหายเลือดผิดมนุษย์มนา เห็นทีปัญหาในครั้งนี้ คงต้องแก้ไขด้วยวิถีชาวยุทธ์เสียแล้ว”

 

 

“สี่องครักษ์ที่ว่านั่น เจ้าหมายถึงใคร?”

 

 

หลินเป่ยเฉินถาม…

 

 

เพราะหลังจากคิดๆ ดูแล้ว เขาไม่เคยได้ยินชื่อสี่องครักษ์อะไรนี่มาก่อนเลย

 

 

จูปี้ฉีกลับมาแย้มยิ้มอีกครั้งขณะตอบว่า “ข้าคือหนึ่งในสี่องครักษ์ของคุณชายเว่ย แล้วเจ้าคิดว่าสี่องครักษ์เป็นใครกัน?”

 

 

“ว่าไงนะ?”

 

 

หลินเป่ยเฉินถึงกับชะงักไปแล้วจริงๆ

 

 

จูปี้ฉีมีพลังไม่ต่ำต้อย ถ้าประเมินไม่ผิดน่าจะอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ แต่ด้วยพลังที่สูงส่งถึงระดับนี้ กลับยังเป็นได้เพียงผู้ติดตามของเว่ยหมิงเฉินเท่านั้นเองหรือ?

 

 

ถ้าอย่างนี้ก็หมายความว่า สี่องครักษ์ที่ถูกพูดถึง ก็คือยอดมือกระบี่ 4 คนสินะ

 

 

และต้องไม่ลืมว่าพวกของหานเฉิง ไท้เสว่เหมยและสวี่หวั่นหลัว ล้วนดาหน้ามาหาเรื่องเขา ก็เพื่อหวังที่จะประจบเอาใจเว่ยหมิงเฉินทั้งนั้น

 

 

นั่นแสดงว่าเว่ยหมิงเฉินต้องถูกจัดอยู่ในระดับยอดคนยอดฝีมือแห่งยุคเป็นแน่แท้

 

 

แม้แต่ผู้มีสถานะเป็นอ๋องน้อยอย่างสวีหวั่นหลัวก็ยังต้องพยายามเอาใจเขา

 

 

นับว่าเว่ยหมิงเฉินมีสถานะสูงส่งเกินคาดคิดจริงๆ

 

 

ติงซานฉือขมวดคิ้วและกล่าว “ตัวท่านเองก็เป็นยอดมือกระบี่มีระดับ เหตุไฉนต้องลดตัวลงไปรับใช้เด็กรุ่นหลังด้วย?”

 

 

รอยยิ้มบนใบหน้าจูปี้ฉีจืดจางลงเล็กน้อย “อาวุโสมากกว่าแล้วจะทำไม เยาว์วัยมากกว่าแล้วจะทำไม ขึ้นชื่อว่าเป็นเรื่องของกระบี่ ไม่มีคำว่าอายุมาเกี่ยวข้อง นับเป็นเกียรติสูงสุดของข้าด้วยซ้ำที่ได้เป็นองครักษ์ประจำตัวคุณชายเว่ยหมิงเฉิน ในภายภาคหน้า เขาจะขึ้นสู่บัลลังก์ของเทพเจ้าตัวจริง เมื่อมีโอกาสได้เป็นผู้ติดตามส่วนตัวของเทพเจ้า ท่านจะสามารถปล่อยโอกาสนี้ให้ผ่านเลยไปได้หรือ?”

 

 

“เว่ยหมิงเฉินเนี่ยนะจะขึ้นเป็นเทพเจ้าตัวจริง? ฮ่าฮ่าฮ่า”

 

 

ฉู่เหินเดินหิ้วขอบกางเกงออกมาจากห้องน้ำ…

 

 

เขาไม่รู้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ได้ยินเพียงคำพูดประโยคสุดท้ายของจูปี้ฉี จึงอดหัวเราะเยาะออกมาไม่ได้

 

 

จูปี้ฉีมีสีหน้าเย็นชาขึ้นมาในทันใด “มดปลวกชั้นต่ำอย่างเจ้า คิดดูถูกคุณชายเว่ยได้อย่างไร? รู้หรือไม่ว่าการลบอยู่คุณชายเว่ย มีโทษเดียว คือ… ตายสถานเดียว!”

 

 

แล้วชายชราในชุดเสื้อคลุมสีเขียวก็ยกมือขึ้นตวัดแนวขวาง

 

 

วูบ!

 

 

พลังลมปราณกระบี่พุ่งแหวกอากาศ

 

 

พลังลมปราณเป็นลำแสงสีม่วง มีความรวดเร็วเหมือนสายฟ้าฟาด พุ่งเข้าไปหาฉู่เหินด้วยความน่ากลัว

 

 

“ระวัง…”

 

 

สีหน้าของติงซานฉือแปรเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

 

 

จูปี้ฉีมีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ เมื่อโจมตีออกมาเต็มกำลัง ต่อให้คิดหลบหนีก็สายเกินไปแล้ว

 

 

ฉู่เหินรู้สึกได้ถึงความตายที่พุ่งเข้ามาหาตัว

 

 

ช้าเกินไปที่จะกระโดดหลบ

 

 

ฉู่เหินจึงปล่อยหมัดสวนออกไปตามสัญชาตญาณ

 

 

เปรี้ยง!

 

 

เกิดการระเบิดของมวลพลังงานขนาดใหญ่

 

 

ฉู่เหินเบิกตาโตด้วยความตื่นตะลึงในขณะที่ร่างกายปลิวกระเด็นไปข้างหลัง…

 

 

จูปี้ฉียิ้มแย้มออกมาเล็กน้อย “เป็นเพียงปลาใหญ่ในบ่อเล็ก อย่าได้มั่นใจในตนเองเกินไปนัก รู้แล้วใช่หรือไม่ว่าขัดจังหวะการสนทนาของผู้อื่น มันเป็นสิ่งไม่ดี… เอ๊ะ?”

 

 

พูดยังไม่ทันจบประโยค สีหน้าของจูปี้ฉีก็แปรเปลี่ยนไปเช่นกัน

 

 

คำพูดที่เขากำลังจะกล่าวออกมาพลันติดค้างอยู่ภายในลำคอ