ตอนที่ 652

The Divine Nine Dragon Cauldron

DND.652 – ยืมกําลังจากพันลี้

 

ซือหยูคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถาม

 

“ผู้เฒ่าเฉิน ท่านประเมินทรัพยากรที่เหลือไว้นานเท่าใด?”

 

ผู้เฒ่าเฉินตอบ

 

“มีโอสถหลายชนิด ตําราบ่มเพาะ วัตถุดิบ และสมบัติที่มากพอให้ใช้ได้หนึ่งเดือน”

 

“หนึ่งเดือนก็ไม่เลวนัก”

 

ดวงตาของซือหยูส่องประกายขึ้นมาบ้าง

 

มีกองทัพไม่เยอะนักในดินแดนนี้ มีแค่เขตหลักสิบเขต ตําหนักของเจ้าตําหนักตําหนักเดียวและมีทหารชุดเงินกับชุดม่วงแค่ไม่กี่คน

 

ทรัพยากรที่เหลือให้คนหมื่นคนใช้งานนั้นมีจํากัด

 

“รวบรวมอาจารย์ปรุงโอสถ ให้พวกเขาปรุงโอสถเพิ่ม เราจะจัดลําดับโอสถให้กับคนของพันธมิตรก่อน พวกเขายังอ่อนแอเกินไปมาก”

 

ซือหยูสั่ง

 

การต่อสู้ครั้งก่อนเผยให้เห็นถึงความอ่อนแอของพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ คนหมื่นคนต่อยี่สิบสามต้องใช้การเสียสละคนนับร้อยเพื่อสังหารคนแค่คนเดียว

 

ด้วยพลังตอนนี้ ถ้าต้องเจอกับกองทัพพันคนของห้าศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาก็ไม่ต่างไข่ที่ขว้างไปยังหิน ไม่มีโอกาสแม้แต่นิดเดียวที่พวกเขาจะชนะ

 

ผู้เฒ่าเฉินหนาวไปถึงกระดูก เขาสงสัย…

 

ซือหยูวางแผนจะต่อสู้กับทัพใหญ่ของห้าศักดิ์สิทธิ์งั้นรึ? นั่นมันบ้าไปแล้ว!

 

คนหมื่นคนที่มีจะชนะได้ยังไง?

 

“ท่านเจ้าพันธมิตร ขออภัยที่ข้าต้องพูดตรงๆ ถึงเราจะรวบรวมคนปรุงโอสถมาได้ มันก็ยากอยู่ดีที่จะเพิ่มพลังให้กับพันธมิตรผู้คุมสวรรค์จนถึงระดับที่จะต่อสู้กับทัพของห้าศักดิ์สิทธิ์ได้!”

 

ผู้เฒ่าเฉินพูด

 

เขาพูดต่อด้วยความกังวล

 

“เรามีกึ่งภูติที่มีแก้วสองดวงแค่ยี่สิบคน พวกที่มีแก้วดวงเดียวอีกร้อยคน ด้วยพลังตอนนี้ เราจะไปสู้พวกนั้นได้รึ?”

 

ตามที่ผู้เฒ่าเฉินวิเคราะห์ ถ้าต้องสู้กับทัพของห้าศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งกว่านับสิบเท่า ชัยชนะก็คงจะมีแต่ในนิทานเท่านั้น

 

“ทําตามที่ข้าพูดก็พอ!”

 

ซือหยูตะโกน เขาไม่ยอมรับคําแนะนํา

 

ผู้เฒ่าเฉินตัวสั่น อกของเขารัดแน่น

 

“ขอรับ ท่านเจ้าพันธมิตร”

 

“ถึงทวีปเฉินหลงจะกว้างใหญ่ แล้วที่ไหนที่ที่ปลอดภัย? จะลงใต้ ไปตะวันตก หรือไปตะวันออกได้รึ? ผู้เฒ่าเฉิน ท่านเห็นทางออกหรือไม่?”

 

ซือหยูหันไปมองผู้เฒ่าเฉิน เผยให้เห็นสีหน้าอันว่างเปล่า

 

คําพูดของเขาทําให้ผู้เฒ่าเฉินสั่นไปจนถึงแกนร่าง ผู้เฒ่าเฉินเข้าใจความจริงแล้ว

 

ชือหยูพูดถูก ไม่มีที่อื่นใดอีกแล้วที่ปลอดภัยในทั้งทวีปเฉินหลงแห่งนี้ ไม่มีที่ให้พวกเขาหนี ทางเดียวคือพวกเขาต้องสู้จนถึงที่สุด!

 

“ท่านเจ้าพันธมิตรพูดถูกแล้ว ข้าจะจัดการเรื่องนี้ แต่เรามีวัตถุดิบจํากัด ผู้เฒ่าฉิวที่ปรุงโอสถ ได้ดีที่สุดก็ยังไม่ได้สติ เดือนเองอาจจะเพิ่มกําลังให้พวกเราได้ไม่มากนัก”

 

ผู้เฒ่าเฉินเป็นกังวลอย่างมาก

 

ซือหยูตอบเบาๆ

 

“ข้ารู้แล้ว ทําตามที่ข้าบอกก็พอ ข้ามีทางอื่น…”

 

พอพูดจบ เขาก็เข้าไปในตําหนัก ผู้เฒ่าเฉินโค้งคํานับและเดินออกไป เขาไปรวบรวมทุกคนในพันธมิตรผู้คุมสวรรค์รวมถึงอาจารย์ปรุงโอสถทุกคน

 

เขาชี้แนะทุกคนตามที่ซื้อหมูสั่ง ใบหน้าของเขาเคร่งขรึม น้ําเสียงเคร่งเครียด เพราะพวกเขากําลังเอาชีวิตทุกคนเป็นเดิมพัน!

 

ในตําหนัก สีหน้าเยือกเย็นของซือหยูแทนที่ด้วยความอ่อนโยน มีสามคนที่เอนกายอยู่ในตํา หนัก นั่นคือผู้เฒ่าจิว ผู้เฒ่าฉิว และเชี่ยจิงหยู

 

“เจ้าจะสู้กับห้าศักดิ์สิทธิ์จริงๆน่ะรึ?”

 

ผู้เฒ่าจิวลืมตาลุกขึ้นนั่งด้วยความยากลําบาก

 

แม้เขาจะได้สติมาหลายวัน บาดแผลของเขาก็ยังร้ายแรง เขาต้องให้ซือหยูคอยดูแล ซื่อหยูมองเขาด้วยความนับถือ

 

“ถ้าเราไม่สู้ เราจะตาย เราไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว”

 

ดวงตาแก่เฒ่าของผู้เฒ่าจิวแจ่มแจ้งด้วยความรู้สึกมากมาย เขาไม่เคยคิดฝันว่าเด็กหนุ่มที่เขาเคยปกป้อง จะกลายมาเป็นผู้ปกป้องตัวเขาเอง

 

ซือหยูยังได้เป็นเจ้าพันธมิตรของพันธมิตรผู้คุมสวรรค์อีกด้วย! ซึ่งซือหยูเปลี่ยนแปลงตัวเองมาจนถึงขั้นนี้ในเวลาเพียงแค่สองปีเศษ! เขาภูมิใจในตัวซือหยูจริงๆ

 

“เราต้องคิดหาหนทางอื่น ข้าเคยเห็นการโจมตีจากร่างเทียมของห้าศักดิ์สิทธิ์มาแล้ว แม้แต่ท่านราชาโลกดับสูญก็รับมือกับฝ่ามือเดียวแทบจะไม่ได้”

 

ผู้เฒ่าจิวมองตาซือหยู

 

ซื้อหมูสงสัยว่าฝ่ามือนั้นคือฝ่ามือเทพดับสวรรค์หรือไม่ เขารู้ว่าห้าศักดิ์สิทธิ์ใช้วิชานั้นสังหารภูติระดับเก้าได้ มันเป็นวิชาที่น่ากลัวจริงๆ

 

ซือหยูเริ่มคิดก่อนจะส่ายหน้าและหัวเราะอย่างขมขึ่น

 

“ข้าไม่มีความคิดอื่นอีกแล้ว…”

 

เขาบอกผู้เฒ่าเฉินว่าเขามีทางอื่นเพื่อปลอบผู้เฒ่าเฉินไม่ให้คิดหนัก เพราะมันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเพิ่มฐานพลังของคนทั้งหมื่นคนขึ้นมา และที่สุดซือหยูก็ต้องพูดความจริงออกมาเมื่อผู้เฒ่าจิวถามตรงๆ

 

ผู้เฒ่าจิวถอนหายใจเงียบๆ

 

“แล้วเจ้าคิดจะรับมือกับพวกมันยังไง? ทัพใหญ่จะมาถึงในแค่เดือนเดียว พวกมันจะสังหารทุกคนในพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ เจ้าอาจจะไม่สนใจชีวิตพวกเขา แต่ฉินเซี่ยนเอ๋อเล่า? แล้วก็..จ้าวยี่หยูคนนี้…เจ้ากับยี่หยูมิได้มีสัมพันธ์แบบคนธรรมดาแน่ๆ”

 

ผู้เฒ่าจิวถอนหายใจอีกครั้ง

 

“ถ้าห้าศักดิ์สิทธิ์นําทัพใหญ่มาครั้งนี้ เรื่องใหญ่จะเกิดกับทวีปเฉินหลง ข้าสัมผัสได้ว่าพวกนั้นมีกําลังมากพอ สิ่งเดียวที่รอทวีปเฉินหลงก็คือการล้างสังหารที่เกิดขึ้นซ้ําจากเมื่อหมื่นปีก่อน มันเลี่ยงไม่ได้แล้วล่ะ”

 

หมื่นปีก่อน ทวีปเฉินหลงได้พบกับภัยพิบัติร้ายแรง และหมื่นปีต่อมา ประวัติศาสตร์กําลังจะซ้ํารอยอีกครั้ง

 

ซือหยูมองเซี่ยจิงหยูที่หลับอย่างสงบ เขาใจหายอย่างบอกไม่ถูก แค่เพียงหนึ่งเดือน ความตายจะมาถึงพวกเขา แล้วตอนนั้นเขาจะปกป้องเซี่ยจิงหยูได้หรือ

 

เขาคิดถึงเซี่ยนเอ้อเช่นกัน พวกเขาเพิ่งจะได้กลับมาพบกัน แต่ทนไม่ได้ถ้าหากต้องแยกจากกันอีกครั้ง…โดยเฉพาะจากกันด้วยความตาย!

 

เขาหนักใจขึ้นมา และความจริงนอกจากหญิงสาวทั้งสอง เขายังมีคนอื่นอีกมากมายในเฉินหลงที่ต้องการให้เขาปกป้อง ตั้งแต่เกาะเฉินยี่จนถึงพันธมิตรร้อยดินแดน แม้กระทั่งทวีปเหนือที่นี่

 

เมื่อห้าศักดิ์สิทธิ์มาถึงพร้อมกับกองทัพ ทุกอย่างคงจะราบเป็นหน้ากลอง เขาคิดไม่ตก…

 

สุดท้ายแล้วประวัติศาสตร์ก็จะซ้ํารอยรึ?

 

ซือหยูมั่นใจอยู่เล็กน้อยเท่านั้นว่าเขาจะรอดจากภัยครั้งนี้

 

ผู้เฒ่าจิวพูดขึ้นมาขณะที่ซื่อหยูคิดถึงทุกสิ่งทุกอย่าง

 

“ข้ามีทางอยู่ แต่ไม่รู้ว่าเจ้าจะลองหรือไม่”

 

ซือหยูแปลกใจ

 

“หา? โปรดบอกข้าที่ผู้เฒ่าจิว”

 

“ง่ายดายนัก เจ้าจะต้องไปที่อาณาจักรทมิฬ! เอานี่ไปข้าเขียนจดหมายนี้กับมือ ส่งให้ราชาแห่งความมืด เขาจะช่วยเจ้า”

 

ผู้เฒ่าจิวหยิบซองจดหมายออกมาจากอก น้ําหมึกได้แห้งเหือดไปแล้ว ดูเหมือนว่าเขาจะเขียนเมื่อหลายวันก่อน ซือหยูสงสัย

 

ผู้เฒ่าจิวทํานายว่าวันนี้จะมาถึงล่วงหน้ารึ?

 

“อาณาจักรทมิฬมีกองทัพแข็งแกร่งเท่าใดกัน?”

 

ซือหยูมองตาผู้เฒ่าจิวขณะที่ถาม

 

แม้ว่าอาณาจักรทมิฬจะไม่เคยปรากฏตัวในการต่อสู้ครั้งใดแม้จะถูกรายล้อม ซือหยูก็ไม่คิดว่า พวกเขาจะมีความสามารถพอในการต่อสู้กับพวกต่างโลก เพราะอาณาจักรทมิฬคือกําลังที่แข็งแกร่งที่สุดตั้งแต่องครักษ์ของจักรพรรดิจิวโจวก่อตั้งเมื่อยุคสมัยก่อน

 

ไม่มีใครรู้ว่าอาณาจักรทมิฬแข็งแกร่งขึ้นแค่ไหนในช่วงเวลาที่ผ่านมา นั่นก็เพราะพวกเขาไม่เคยปรากฏตัวออกมาให้เห็น

 

“ พวกเขาแกร่งแค่ไหนนะ?”

 

ผู้เฒ่าจิวยิ้มอย่างประหลาด

 

“ พวกเขาแข็งแกร่งจนห้าศักดิ์สิทธิ์ที่รอมานานต้องมาพร้อมกับกําลังพันคนยังไงล่ะ!”

 

ซือหยูเบิกตากว้าง หรือพูดอีกอย่างก็คือ…ผู้เฒ่าจิวจะบอกว่าห้าศักดิ์สิทธิ์ได้ซ่อนตัวในก้นบึงมังกรก็เพราะกังวลเรื่องอาณาจักรทมิฬน่ะรึ?

 

อาณาจักรทมิฬแข็งแกร่งเพียงใดกันแน่?

 

“ตอนนี้ห้าศักดิ์สิทธิ์กําลังจะออกมาแล้ว เจ้าเอาเรื่องนี้ไปบอกอาณาจักรทมิฬ ถึงเวลาที่พวกเขาจะปรากฏตัวแล้ว! เอาจดหมายของข้าไปให้ราชาแห่งความมืด เขารู้ว่าต้องทํายังไง…”

 

ผู้เฒ่าจิวบอก

 

ซือหยูแปลกใจมาก

 

“ผู้เฒ่าจิว ราชาแห่งความมืดยังมีชีวิตอยู่อีกรึ? ผ่านมาตั้งหลายร้อยปีแล้วตั้งแต่ที่เขาออกมากําจัดตระกูลตู่ จากนั้นก็ไม่ได้ปรากฏตัวอีกเลย จ้าวแห่งความมืดเองก็ไม่รู้ว่าเป็นตายอย่างไร ท่านแน่ใจว่าข้าจะส่งจดหมายไปถึงมือราชาแห่งความมืดได้?”

 

ผู้เฒ่าจิวหัวเราะ

 

“เขาน่ะเรอะ? ที่นี้ ต่อให้ทุกคนตาย เขาก็จะไม่ตาย! ไปส่งจดหมายของข้าอย่างสบายใจเถอะ ถ้าเจ้าบอกว่ามันเป็นจดหมายจากข้า อย่างไรก็ต้องมีคนนํามันไปให้ราชาแห่งความมืด”

 

มันจะเป็นแบบนั้นจริงๆรึ? ซือหยูยิ่งสงสัยเกี่ยวกับเฉินหลง ราชาแห่งความมืดผู้นี้คือตํานานจากหลายยุคสมัย เงาของเขาล้วนแล่นผ่านทุกดินแดนในทั้งทวีปนี้

 

ตั้งแต่ที่ซือหยูได้เข้าสู่อาณาจักรทมิฬ เขาได้ยินหลายเรื่องราวเกี่ยวกับราชาแห่งความมืด และตอนนี้ซือหยูที่เป็นแค่เด็กน้อยจากเกาะเฉินยี่กําลังจะได้พบตัวตนในตํานานตัวเป็นๆ! แค่คิดก็ทําให้เขาตื่นเต้นแล้ว

 

“ก็ได้ ข้าจะไปอาณาจักรทมิฬ”

 

ซือหยูพยักหน้า

 

เขาจะไปขอความช่วยเหลือเพื่อปกป้องทวีปเหนือและคนที่เขารักที่นี่ มันเป็นเรื่องสําคัญที่เขาต้องทํา!

 

ผู้เฒ่าจิวหัวเราะและยื่นจดหมายให้กับซือหยู เขามองซือหยูก่อนจะถอนหายใจเบาๆ

 

“ข้ามองดูเจ้ามาตลอด ตอนที่เจอเจ้าเมื่อหลายปีก่อน ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะมาได้ไกลเท่านี้ ดูเหมือนว่าข้าจะแก่เกินจนสายตาพร่ามัวไปแล้ว”

 

ซือหยูหัวเราะเบาๆ

 

“ท่านยังมีศิษย์อย่างกังต้าเหล่ย ท่านจะตัดพ้อไปทําไมเล่า? เขามีพรสวรรค์มากนัก ท่านจะต้องภูมิใจแน่นอน”

 

เขารู้ว่ากังต้าเหลี่ยมีพื้นเพที่แปลกกว่าคนอื่นและมีพรสวรรค์มาก ดังนั้นเขาจึงเข้าใจได้ว่า ทําไมผู้เฒ่าจิวจึงรับเขาเป็นศิษย์ นั่นแสดงให้เห็นว่าผู้เฒ่าจิวยังคงมีสายตาที่เฉียบคม

 

ผู้เฒ่าจิวหยุดนิ่งไปก่อนที่แววตาจะดูซับซ้อน

 

“กังต้าเหล่ย เขาเป็น…ช่างเถอะ บอกเจ้าไปก็ไม่ได้อะไร เจ้าจงเตรียมพร้อมให้เร็วที่สุด ยิ่งได้กําลังเสริมเท่าใดก็ยิ่งดีเท่านั้น”

 

“แน่นอน ข้าจะจัดการกับเรื่องอื่นๆสักหน่อยก่อนจะเริ่มเดินทาง”

 

ซือหยูไม่ลืมว่าเขายังมีเรื่องที่ต้องทํา

 

“ผู้เฒ่าจิว ข้าขอถามถึงความปลอดภัยของเจ้าตําหนักหลิงจะได้หรือไม่?”

 

ซือหยูมองผู้เฒ่าจิวด้วยความคาดหวัง เพราะเขาไปยังกระโจมเทพสวรรค์ก็เพื่อช่วยชีวิตหลิงเสี่ยวเทียน

 

ผู้เฒ่าจิวตบหัวตัวเอง

 

“ข้าเกือบลืมไปเลย!”

 

เขาหยิบเอาน้ําเต้าเหล้าออกมาจากไหล่ เขาเขย่าน้ําเต้า สิ่งที่ออกมามิใช่เหล้าแต่เป็นแสงสีทอง แสงสีทองนี้ใหญ่ขึ้นจนมีขนาดเท่ากับมนุษย์ มันคือโลงศพรูปมังกร!

 

“ถึงมันจะเป็นสมบัติเทพระดับต่ําที่พัง มันก็ดูดซับพลังวิญญาณเพื่อเก็บร่างของคนที่บาดเจ็บได้ เจ้าตําหนักหลิงถึงได้รอดมาจนถึงวันนี้”

 

ผู้เฒ่าจิวกล่าวชมพลังของโลงศพมังกร

 

แต่ซือหยูรู้ว่าโลงศพมังกรกับพลังชีวิตที่เหลือนั้นคงไม่พอที่จะทําให้หลิงเสี่ยวเทียนมีชีวิตรอด ผู้เฒ่าจิวได้ใส่พลังชีวิตของตัวเองลงไปเพื่อยื้อชีวิตของหลิงเสี่ยวเทียน

 

“ข้าจะไม่มีวันลืมความปรารถนาดีของท่านผู้เฒ่าจิว”

 

ซือหยูไม่พูดมากกว่านี้ เขาโค้งคํานับต่อผู้เฒ่าจิว

 

ผู้เฒ่าจิวมองซือหยูด้วยความปลื้มใจและยอมรับ

 

“เจ้าพร้อมเผชิญหน้ากับความตายเข้าสู่กระโจมเทพสวรรค์เพื่อตอบแทนหลิงเสี่ยวเทียน ยากที่จะหาบุรุษอย่างเจ้าในโลกใบนี้”

 

“ท่านผู้เฒ่าจิวพูดเกินไปแล้ว”

 

ซือหยูหัวเราะอย่างนอบน้อม

 

เพราะนี่คือหลักการในการใช้ชีวิตของซือหยู ซือหยูคิดว่าสิ่งที่เขาทําไม่ใช่สิ่งพิเศษ

 

หลังพูดจบ ซือหยูคุกเข่าและเปิดฝาโลกศพมังกรหมอกทันที