ตอนที่ 381 ไม่อาจกลับคำ / ตอนที่ 382 ฝืนกิน

ลิขิตฟ้าชะตารัก

ตอนที่ 381 ไม่อาจกลับคำ 

 

 

 

 

 

“แล้วเหตุใดจึงมีแต้มสีทองเพียงตรงมุม แต่ที่อื่นกลับสะอาดสะอ้าน แม้แต่รอยเปื้อนเล็กน้อยก็ไม่มี นั่นเป็นข้อสังเกตที่ควรจะคิดตาม จากที่ข้าเห็นผ้าผืนนี้เกิดรอยเลอะเทอะไม่ได้ง่ายๆ สีย้อมธรรมดาคงไม่อาจทำให้เกิดรอยแต้มได้แน่” ฉู่ป๋ายค้านคำพูดที่ไม่ค่อยไยดีของนางเมื่อครู่นี้ 

 

 

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร” อวี้อาเหราเห็นว่าท่าทียามที่เขาพูดนั้นดูจริงจังขึ้นมา ทันใดนั้นก็เกิดลังเลใจขึ้น “เจ้าคงไม่ได้คิดที่จะตามหาตัวคนร้ายจากผ้าเช็ดหน้าผืนนี้หรอกใช่หรือไม่” 

 

 

“ไม่ผิด” ฉู่ป๋ายถอนสายตากลับมา แล้ววิเคราะห์ให้นางฟังอย่างละเอียด “ฝีมือการทำผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ไม่เหมือนกับผ้าเช็ดหน้าธรรมดาๆ อีกฝ่ายจะต้องเป็นคนร่ำรวยสูงศักดิ์ อีกอย่างสีทองที่แต้มมานั้น เพียงมองดูก็รู้ว่าไม่ใช่สีธรรมดา หากพวกเราเพียงตามหาจากผืนผ้าและรอยแต้มนี้ไป ก็น่าจะรู้ตัวว่าคนร้ายเป็นใคร” 

 

 

“แต่หากฝั่งนั้นรู้ว่าเจ้ากำลังสืบหาโดยใช้ผ้าเช็ดหน้า นางก็คงจะเก็บสิ่งเหล่านี้เสียจนสะอาดหมดจดมิใช่หรือ? ถ้าเช่นนั้นก็ไม่เท่ากับว่าเจ้าทำเรื่องนี้โดยสูญเปล่าหรืออย่างไร” อวี้อาเหราอดไม่ได้ที่จะสอดปากขึ้นมาขัดความคิดของเขา 

 

 

“ที่เจ้าพูดมาก็มีเหตุผลอยู่ แต่ว่าเจ้าคิดว่าของพวกนี้จะถูกเก็บเสียจนเกลี้ยงได้หรือ หากนางต้องการจะกวาดล้างเสียจริงๆ เราก็คิดว่าจะต้องมีวิธีการมากมายที่จะค้นหาเบาะแสขึ้นมาได้ อีกอย่าง แม้ว่าจะหาเบาะแสเรื่องผ้าและสีแต้มไม่พบ แต่ก็ยังสามารถตรวจสอบพิษ เพราะพิษชนิดนี้หาได้ยาก เพราะฉะนั้นจึงสามารถสืบหาได้อย่างง่ายดาย” 

 

 

ยามที่ฉู่ป๋ายพูดนั้น สายตาก็ส่องสว่าง ราวกับเขาได้คิดแผนการทุกอย่างเอาไว้พร้อมสรรพแล้ว 

 

 

อวี้อาเหราเองก็พยักหน้าลง หากมีคนช่วยนางสืบเรื่องนี้ก็เท่ากับเบาแรงของนางได้มาก อีกทั้งยังสะดวกสบายกว่าจะให้นางส่งคนออกไปเองมากเลยทีเดียว คนของเขานั้นไม่ใช่คนที่มีฝีมือธรรมดาๆ ฝีมือในการสืบสวนเรื่องราวต่างๆ ก็ย่อมรวดเร็วเป็นธรรมดา 

 

 

“เจ้าชอบผ้าเช็ดหน้าผืนนี้หรือไม่” ฉู่ป๋ายกล่าวออกไป ดวงตาก็จ้องนางเขม็ง 

 

 

อวี้อาเหราพยักหน้า “หากเจ้าสามารถหาตัวคนร้ายที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ได้ แน่นอนว่าข้าก็ยิ่งชอบ” 

 

 

“ไม่ใช่สิ เหตุใดข้าต้องหาคนร้ายแทนเจ้าด้วย” ฉู่ป๋ายนิ่งไปครู่จึงค่อยตอบกลับมา 

 

 

อวี้อาเหราไม่ปล่อยให้เขาคิดอะไรอีก จึงรีบพูดขึ้นว่า “แต่เมื่อครู่นี้เจ้าเพิ่งจะตอบรับข้าเองนะ นึกจะกลับคำข้าก็ไม่ให้กลับแล้ว!” 

 

 

“เจ้าจะรีบร้อนทำไมกัน ข้ายังไม่ได้บอกเลยว่าข้าจะกลับคำ” ฉู่ป๋ายยิ้มเรื่อยๆ 

 

 

“เช่นนั้นก็ดี เพียงแต่…” อวี้อาเหราเห็นสีหน้าไม่ทุกข์ไม่ร้อนของเขา ในใจของนางก็นิ่งงัน 

 

 

ในใจของนางก็ยังคงสงสัยว่าอวิ๋นเซิ่นนั้นเป็นคนร้าย เพราะหญิงที่นางรู้จักในเมืองเฟิ่งเฉิงทั้งหมด มีเพียงนางเท่านั้นที่มีวรยุทธ์ ไม่ใช่สิ ตอนนี้ต้องนับฉู่เกอเป็นผู้มีวรยุทธ์ด้วย แต่นางเพิ่งจะกลับมาได้ไม่นาน ไม่น่าจะเป็นคนร้ายได้ และนางก็ไม่ได้มีเหตุจำเป็นที่จะปองร้ายอวี้อาเหราด้วย 

 

 

แต่นางก็มองเห็นมือของอวิ๋นเซิ่นด้วยตัวเองแล้วว่าไม่มีรอยกัด 

 

 

แล้วคนร้ายจะเป็นใครได้? 

 

 

ฉู่ป๋ายเห็นนางมีท่าทีลังเลใจ จากนั้นก็เอ่ยปากถามขึ้นตรงๆ “เจ้ายังคิดเรื่องอะไรอยู่หรือ” 

 

 

“ไม่มีอะไร” อวี้อาเหราส่ายหน้า ครั้งก่อนที่นางถูกฉู่ป๋ายปฏิเสธเรื่องอวิ๋นเซิ่นไปนั้น ก็ทำให้นางเกือบเสียคนไปแล้ว ครั้งนี้นางก็ไม่ถามออกไปให้โง่หรอก หากนางทำให้เขาหงุดหงิด ในใจของนางก็จะยิ่งหงุดหงิดเสียยิ่งกว่า 

 

 

นางเห็นว่าท้องฟ้าเริ่มที่จะมืดครึ้มลงแล้ว แต่ฉู่ป๋ายก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะกลับไปเลยแม้แต่น้อย 

 

 

นางจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถาม “เหตุใดเจ้าถึงไม่ไปเสียที?” 

 

 

“เจ้าก็รู้ ร่างกายของข้าไม่ค่อยแข็งแรง ตอนนี้มานั่งที่นี่เสียนาน แม้แต่ลุกขึ้นยืนข้ายังทำไม่ได้เลย” ฉู่ป๋ายแสร้งทำทีจริงจังขณะที่พูดขึ้น ทำให้อวี้อาเหราแสดงสีหน้าเคร่งขรึม เมื่อครู่นี้เขายังดูสบายดีอยู่เลย เหตุใดผ่านไปเพียงชั่วพริบตา… 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 382 ฝืนกิน 

 

 

 

 

 

“คุณหนู เซิ่นซื่อจื่อ ห้องครัวทำอาหารเย็นเสร็จแล้ว จะสั่งให้คนยกมาเลยหรือไม่เจ้าคะ” ในยามนั้นเอง เมี่ยวอวี้ก็เดินเข้ามา ในมือยกกาน้ำชาที่เพิ่งชงเสร็จใหม่ๆ มาด้วย ก่อนที่จะรินให้คนทั้งสอง 

 

 

“อืม ยกเข้ามาเลย” อวี้อาเหราลูบท้อง นางหิวข้าวเสียจะแย่ นอนมาเป็นวันๆ ตอนนี้นางจึงรู้สึกหิวขึ้นมาบ้าง เมื่อนึกถึงบุรุษที่อยู่ข้างกายนางก็หันไปถามอย่างเบื่อหน่าย “เจ้าจะอยู่กินด้วยกันหรือไม่” 

 

 

“อยู่” ฉู่ป๋ายตอบเพียงสั้นๆ 

 

 

อวี้อาเหราไม่ได้พูดอะไรออกมา ทำเพียงส่งสายตาให้เมี่ยวอวี้ ซึ่งนางเข้าใจได้ในทันที เช่นนั้นจึงสั่งให้คนไปยกอาหารเข้ามา 

 

 

แม้จะบอกว่าเป็นอาหารเย็น แต่ก็ไม่ต่างจากอาหารเช้าเท่าใดนัก อาหารการกินรสจืดชืด อวี้อาเหราเห็นแล้วก็นึกไม่อยากอาหาร ไหนเลยจะให้กินลงไปได้ นางจึงดึงสีหน้าไม่พูดไม่จา 

 

 

เมี่ยวอวี้เห็นสีหน้าเหม็นเบื่อของนางแล้วก็ถอนหายใจ “คุณหนู ทานหน่อยเถิดนะเจ้าคะ นี่เป็นอาหารที่ในครัวทำขึ้นเพื่อรักษาอาการป่วยของคุณหนู ดีต่อสุขภาพนะเจ้าคะ ทนอีกหน่อยก็จะได้ทานของทอดของมันแล้วเจ้าค่ะ” 

 

 

“แต่ข้าจะกินลงได้อย่างไร…” อวี้อาเหรานึกอยากจะบ่นแต่ก็อับจนหนทาง เรื่องแสร้งป่วยนี้เป็นความคิดของนางเอง ตอนนี้แม้ว่าจะต้องการทานของอร่อยๆ ก็ไร้หนทางแล้ว ใครอยากให้นางป่วยขึ้นมาจริงๆ เล่า? นางมาอยู่ที่นี่ได้เพียงสามสี่เดือนเท่านั้น แต่ก็ป่วยไปไม่รู้ตั้งกี่โรคแล้ว 

 

 

เมี่ยวอวี้ลอบยิ้ม เห็นท่าทีอึดอัดทำอะไรไม่ได้ของคุณหนูตัวเองแล้วก็รู้สึกว่าช่างน่าเอ็นดูเสียยิ่งนัก 

 

 

หลังจากอาหารขึ้นโต๊ะจนหมดแล้วนางก็เห็นว่ามีอาหารจานเนื้อที่ทำเพิ่มมาให้ฉู่ป๋ายอีกสองอย่าง อวี้อาเหราไม่อาจรักษาท่าทีสงบนิ่งได้อีกต่อไป และหากนางไม่ได้นั่งติดเก้าอี้เช่นนี้ นางก็คงจะลุกขึ้นเต้นแล้ว ชี้ไปยังอาหารที่ส่งกลิ่นหอมเตะจมูกและชวนน้ำลายไหลเหล่านั้นแล้วพูดกับเมี่ยวอวี้ด้วยท่าทีไม่พอใจ 

 

 

“เจ้าบอกให้ข้าฝืนกิน แต่เหตุใดเจ้าถึงปฏิบัติต่อเขาดีเช่นนี้?” 

 

 

“คุณหนูรองโปรดอภัยด้วยเจ้าค่ะ แต่เพราะเซิ่นซื่อจื่อไม่ได้ป่วย จึงสามารถทานอาหารพวกนี้ได้ อีกทั้งเขายังเป็นแขก พวกเราจวนหลิงอ๋องจึงไม่ควรต้อนรับอย่างขาดตกบกพร่องนะเจ้าคะ” เมี่ยวอวี้คีบผัดมะเขือม่วงใส่ถ้วยของนาง “อาหารจานผักเหล่านี้ก็อร่อยนะเจ้าคะ คุณหนูลองทานสักหน่อยเถิดเจ้าค่ะ” 

 

 

“ข้าไม่กิน” อวี้อาเหราสะบัดตะเกียบ นางไม่ใช่กระต่ายเสียหน่อย เหตุใดจะต้องกินผักด้วย 

 

 

ยิ่งเห็นบุรุษข้างกายทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย นางก็ยิ่งไม่อยากอาหาร ไหนเลยนางจะทานข้าวได้ นางนึกอิ่มเสียแล้ว  

 

 

“คุณหนู….” เมี่ยวอวี้ไม่รู้จะทำอย่างไรกับนางที่แสนดื้อรั้น 

 

 

ฉู่ป๋ายนั่งอยู่ไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย ก่อนจะคีบหมูสามชั้นจากในจานยื่นไปตรงหน้าอวี้อาเหรา จากนั้นจึงยิ้มบาง “เจ้าอยากกินหรือ” 

 

 

“แน่นอนสิ” อวี้อาเหราตอบขึ้นมาอย่างไม่ลังเล 

 

 

จากนั้นจึงค่อยมองเขาอย่างสงสัย เหตุใดเขาถึงใจดียอมให้นางกินนะ? แต่เมื่อได้กลิ่นหอมที่เตะจมูก และยังเห็นเนื้อหมูอวบๆ สีสันน่าดึงดูดใจ นางก็ไม่อาจที่จะต้านทานความเย้ายวนนี้ได้ จึงยื่นหน้าไปกัดเนื้อ แต่ริมฝีปากกลับไม่ได้แตะเนื้อหมูพะโล้เลยแม้แต่น้อย เพราะเขาดึงมือกลับในฉับพลัน แล้วป้อนเนื้อชิ้นนั้นเข้าปากตัวเอง 

 

 

อวี้อาเหราโกรธจนสองแก้มนูนป่องออกมาทันที มองเขาอย่างโกรธเคือง แล้วก้มหน้าก้มตาทานผัดมะเขือม่วงในถ้วยของตัวเอง ไม่มีเนื้อเลยแม้แต่น้อย เมื่อทานเข้าไปก็ไร้ซึ่งรสชาติ แต่ฉู่ป๋ายที่นั่งข้างๆ กลับได้ทานของอร่อยๆ  

 

 

ราวกับนางแข็งแรงขึ้นมาแล้ว จากที่เป็นคนทานได้น้อย แต่วันนี้นางกลับทานได้มาก อาหารตรงหน้าแทบจะไม่เหลือ 

 

 

อวี้อาเหราทานตามใจอีกสองสามคำ จากนั้นก็วางตะเกียบลงบนโต๊ะ แล้วเตรียมที่จะลุกขึ้น