Dual Cultivation บทที่ 400: พวกขี้ขลาดตาขาว

 

เช้าวันรุ่งขึ้น นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยรวมตัวกันที่ห้องโถงของโรงเตี๊ยม

 

“ไปกับซูหยางเมื่อวานนี้เป็นอย่างไรบ้าง พี่ฟาง ท่านจัดการธุระได้เรียบร้อยดีไหม” ซุนจิงจิงตรงเข้าไปหาเธอแล้วก็ถาม

 

ฟางซีหลานพยักหน้าด้วยรอยยิ้มสดใสและกล่าวว่า “ดี ยอดเยี่ยมที่สุด”

 

เธอพลันกล่าวต่อว่า “น้องสาว ถ้าเจ้าต้องการ เจ้าสามารถร่วมห้องกับเขาสองต่อสองคืนนี้ ข้าจักนอนที่อีกห้อง”

 

“เอ๋ จริงแล้วนั่นมิจำเป็นหรอก” ซุนจิงจิงส่ายหน้าอย่างเยือกเย็น

 

“ถึงแม้ว่าเจ้าจะพูดแบบนั้น แต่ร่างกายของข้าก็ต้องการพักอย่างน้อยสองสามวันหลังจากฝึกร่วมกับเขาตลอดทั้งคืน” ฟางซีหลานกล่าวพร้อมกับหน้าแดงเล็กน้อย “กระทั่งตอนนี้ ข้ายังยากที่จะยืนให้มั่นคง”

 

“พวกท่านอยู่กันทั้งคืนรึ” ซุนจิงจิงมองดูเธอด้วยดวงตาเบิกกว้าง เธออดไม่ได้ที่จะคิดว่าธุระประเภทไหนที่อีกฝ่ายมีกับซูหยางที่จบลงด้วยการฝึกร่วมกันตลอดทั้งคืน

 

อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าพวกเขาไม่เคยไม่นอนข้ามคืนในการฝึกร่วมกับซูหยางมาก่อน แล้วอะไรที่เป็นสิ่งที่แตกต่างกับการฝึกวิชาในครั้งนี้

 

น่าเสียดายที่ซุนจิงจิงไม่กล้าถามเธอ

 

หลังจากที่ทุกคนรวมตัวกันที่ห้องโถงแล้วพวกเขาก็ออกเดินทางไปโคลีเซียม

 

ระหว่างทางไปยังโคลีเซียมพวกเขาต่างดึงดูดสายตาของคนผ่านทาง ราวกับว่าพวกเขากลายเป็นคนดังเหมือนกับสำนักระดับสูง

 

“ดู นั่นนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย แม้ว่าจะเป็นสำนักระดับต่ำ พวกเขาสามารถที่จะอยู่รอดในการแข่งขันจวบจนบัดนี้”

 

“ข้าได้ยินว่ามีอัจฉริยะที่โดดเด่นที่เข้าถึงเขตปฐพีวิญญาณในสำนักของพวกเขาและหนึ่งในพวกนั้นมีพรสวรรค์เป็นพิเศษไปถึงระดับที่เจ็ด”

 

“มิมีใครเชื่อข้าตอนที่ข้าพูดว่าพวกเขาคาบเส้นตายเมื่อครึ่งปีก่อน”

 

“ต่อให้พวกเขาพ่ายแพ้ในวันนี้ แน่นอนว่าพวกเขาต้องดึงดูดศิษย์จำนวนมากในอนาคต”

 

“ข้ามิมั่นใจในเรื่องนั้นนัก อย่างไรก็ตามการฝึกฝนของพวกเขาค่อนข้างจะ…”

 

“เจ้าประมาทพวกลามกในโลกนี้มากเกินไป ถ้าข้ามีหน้าตาดีกว่านี้ ข้ามิลังเลเลยที่จะสมัครเข้าร่วมกับพวกเขา”

 

เมื่อศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยได้ยินเสียงกระซิบกระซาบของคนผ่านทาง ปากของพวกเขาก็โค้งเป็นรอยยิ้มน้อยๆ เห็นชัดว่าดีใจที่เห็นว่าชื่อเสียงของพวกเขาค่อนกลับคืนเข้าสู่ความรุ่งเรืองในอดีตอย่างช้าๆ

 

เวลาถัดไป เมื่อนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยไปถึงโคลีเซียม พวกเขาก็ได้รับการทักทายจากสำนักหงส์สวรรค์

 

“เฮ้ พวกเราจักชมการแสดงความสามารถของพวกท่านในวันนี้” ไป่ลี่ฮัวกล่าว

 

“ในเมื่อพวกเราแพ้ไปแล้ว ก็จึงมิมีอะไรที่จักให้ทำอีก” ซูหยินยักไหล่

 

“…”

 

ไป่ลี่ฮัวเหล่ตามองดูอีกฝ่าย

 

“อย่างไรก็ตาม ใครที่พวกท่านจักต่อสู้ด้วยในวันนี้” จากนั้นเธอก็ถาม

 

“โถงเก้าสัตว์ร้าย” โหลวหลานจีกล่าว

 

“เช่นนั้นพวกท่านก็โชคดีสินะ”

 

“ท่านหมายความว่าอะไรเช่นนั้น” โหลวหลานจีเลิกคิ้ว

 

“ท่านโชคดีที่หลีกเลี่ยงสำนักเมฆม่วงได้ในที่สุด”

 

“ข้าว่าท่านพูดถูกหากว่าเป็นเช่นนั้น…”

 

นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยและสำนักหงส์สวรรค์เข้าสู่โคลีเซียมหลังจากนั้นไม่นาน

 

หลังจากที่รอเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง สุดท้ายซื่อตงก็ปรากฏตัวขึ้นบนเวที

 

“ยินดีต้อนรับเข้าสู่การแข่งขันระดับภูมิภาควันที่ห้า เรามีเพียงแค่หกคู่ของการแข่งขันในวันนี้ระหว่างการต่อสู้ของสิบสองสำนัก”

 

ซื่อตงดำเนินการอธิบายกฏอีกครั้งสำหรับผู้ที่มาใหม่

 

“จากที่กล่าวไปแล้วต่อไปให้ข้าแนะนำผู้เข้าแข่งขันคู่แรกของวันนี้ สำนักเมฆม่วงและ—”

 

ซื่อตงพลันหยุดพูดก่อนที่เขาจะทันได้จบประโยค

 

“เอ๋ สำนักสุสานโบราณอยู่ไหน”

 

เขาตระหนักว่าคู่ต่อสู้ของสำนักเมฆม่วง สำนักสุสานโบราณ ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้

 

“สำนักสุสานโบราณมีเวลาสิบห้านาทีที่จะแสดงตัวก่อนที่พวกเขาจะถูกปรับแพ้การแข่งขันนี้โดยอัตโนมัติ” ซื่อตงประกาศเสียงดัง

 

“….”

 

ผู้ชมไร้คำพูด

 

“สำนักสุสานโบราณต้องตั้งใจไม่มาโดยเจตนาใช่ไหม”

 

“นั่นเป็นอย่างอื่นไปมิได้ พวกเขารู้ว่าพวกตนมิอาจจะเอาชนะสำนักเมฆม่วงได้และตัดสินใจหนีไป”

 

“แน่นอนว่าพวกเขาต้องกลายเป็นตัวตลกหลังจากนี้”

 

“จริงแล้วพวกเราก็มิอาจที่จะกล่าวโทษพวกเขา สำนักเมฆม่วงหงอวี้เอ๋อร์แข็งแกร่งเกินไป เธอทำให้คู่แข่งทั้งหมดของเธอหวาดกลัว”

 

หลังจากที่รออยู่ประมาณสิบนาที ก็มีคนตรงเข้าไปหาซื่อตงและกระซิบบางอย่างที่หูของเขา

 

เมื่อซื่อตงได้ยินเช่นนั้น เขาก็ส่ายหน้า

 

“ข้าเพิ่งได้รับข่าวว่ามีผู้พบว่าสำนักสุสานโบราณออกจากเมืองไปเมื่อคืน ดังนั้นพวกเขาจึงมิได้อยู่ในเมืองอีกต่อไป หากเป็นเช่นนี้เนื่องจากว่าสำนักสุสานโบราณไม่มา พวกเขาจึงถูกปรับแพ้ในการแข่งขันนี้โดยอัตโนมัติ และสำนักเมฆม่วงได้รับชัยชนะในการแข่งขันนี้โดยปริยาย”

 

“สำนักระดับสูงหนีไปหางจุกตูด ช่างเป็นเรื่องที่น่าขายหน้ากับตำแหน่งของพวกเขาและเป็นเรื่องน่าอับอายสำหรับตระกูลซี” ไป่ลี่ฮัวถอนหายใจอย่างเหยียดหยาม

 

ขณะที่ไป่ลี่ฮัวกล่าวถ้อยคำเหล่านั้น เจ้าซีก็ลุกขึ้นและตะโกนดังลั่น “ข้ามิเคยคาดคิดว่าสำนักสุสานโบราณจะเป็นพวกขี้ขลาดตาขาว นับแต่วันนี้เป็นต้นไป พวกเขาจักมิเป็นสำนักระดับสูงอีกต่อไป กลับกันข้าจักมอบตำแหน่งนี้ให้กับสำนักเมฆม่วง”

 

เมื่อได้ยินว่าเจ้าซีริบตำแหน่งสำนักระดับสูงของสำนักสุสานโบราณ ผู้ชมต่างพากันส่งเสียงแสดงความยินดีกับสำนักเมฆม่วง

 

“ขอบคุณท่านเจ้า กับการมอบตำแหน่งที่ทรงเกียรตินี้ให้กับสำนักเมฆม่วง พวกเราจักมิสร้างความผิดหวังให้กับตระกูลซี” กูกว่านถิงพลันคุกเข่าลงบนพื้นพร้อมกับน้ำตาไหลนองหน้า

 

เขาไม่เคยคาดคิดว่าวันหนึ่งสำนักเมฆม่วงจะกลายเป็นสำนักระดับสูง และทั้งหมดนี้ก็เป็นเพราะคนเพียงคนเดียว หงอวี้เอ๋อร์

 

“ไม่น่าเชื่อ…” โหลวหลานจีไร้คำพูด

 

“อย่างไรก็ตามหากพิจารณาจากตำแหน่งที่สำนักเมฆม่วงยืนอยู่ในตอนนี้ มิแปลกที่พวกเขาจักได้รับตำแหน่งสำนักระดับสูง” ไป่ลี่ฮัวกล่าว “จริงแล้วข้าประหลาดใจมากกว่าที่พวกเขามิได้ทำเช่นนี้เร็วกว่านี้”

 

จากนั้นเธอก็หันไปมองดูนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยและคิดในใจ “พวกเจ้าอาจจะเป็นรายถัดไปที่จักกลายเป็นสำนักระดับสูง…”

 

หลังจากนั้น สำนักเมฆม่วงก็ออกไปจากโคลีเซียมเพื่อไปฉลองตำแหน่งใหม่ และการแข่งขันก็ดำเนินต่อไป