ครั้นกลับมาถึงห้อง ซื่อฮว่าก็วางของสิ่งนั้นลงบนโต๊ะ กล่าวกับเซี่ยฟางหวาว่า “คุณหนู จะเปิดดูตอนนี้เลยหรือไม่เจ้าคะ”
“เปิดดูว่าเป็นอะไร” เซี่ยฟางหวาพยักหน้า
ซื่อฮว่าเปิดห่อผ้าออกดูทันที
พบว่าข้างในห่อด้วยผ้าหลายพับ เป็นผ้าดิ้นเงินดิ้นทองไหมหิมะเนื้อดี ผ้านิ่มลื่นมันเงา มีทั้งหมดห้าพับ
ซื่อฮว่าพลิกไปพลิกมา เอ่ยขึ้นด้วยความแปลกใจ “มิได้พิเศษอันใด คุณหนูมิได้ขาดเหลือผ้าต่วนสักหน่อย ถึงแม้เป็นผ้าดิ้นเงินดิ้นทองไหมหิมะ แต่ก็มิใช่ของหายากอันใด ในจวนเรามีตั้งมากมาย” พูดจบ นางก็ลูบผ้าดิ้นเงินดิ้นทองพลางชมว่า “เพียงแต่ลวดลายค่อนข้างงดงามอยู่บ้าง”
เซี่ยฟางหวามองแล้วเอ่ยขึ้น “นำผ้าต่วนเข้าไปในห้อง”
ซื่อฮว่าเงยหน้ามองเซี่ยฟางหวาแวบหนึ่ง พยักหน้ารับ ก่อนอุ้มผ้าต่วนเข้าไปข้างใน
“คลี่ผ้าต่วนห้าพับนี้ออกให้หมด เรามาดูกันว่าลวดลายบนผืนผ้างดงามเพียงใดกันแน่” เซี่ยฟางหวาปิดประตูห้อง จากนั้นก็ตวัดฝ่ามือปลดม่านหน้าต่างลง
ซื่อฮว่าได้ยินเซี่ยฟางหวาพูดเช่นนี้ ก็คิดว่าผ้าต่วนเหล่านี้เกรงว่ามิใช่ผ้าต่วนธรรมดา จึงรีบคลี่กางผ้าต่วนเหล่านี้ทีละพับตามลำดับทันใด
หลังกางออกแล้ว ซื่อฮว่าก็สำรวจมองผ้าต่วนเหล่านี้อย่างถี่ถ้วน
มองดูพักหนึ่ง นางก็หันไปมองเซี่ยฟางหวา แล้วกล่าวเสียงทุ้ม “คุณหนู บ่าวโง่เขลา ดูแล้วผ้าต่วนพวกนี้เป็นผืนผ้าธรรมดา มองสิ่งใดไม่ออกเลยเจ้าค่ะ”
เซี่ยฟางหวาก้มหน้ามองผ้าต่วนเช่นกัน มองดูพักหนึ่งก็เริ่มลูบขอบผ้าสำรวจขึ้นลงรอบหนึ่ง ผ่านไปสักพักใหญ่ นางก็ขมวดคิ้วขึ้นมา “น่าแปลก”
“ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายซ้ายซ่อนความลับใดไว้กันแน่ หรือว่าแค่ส่งผ้าต่วนมาให้เฉยๆ เจ้าคะ” ซื่อฮว่ามองเซี่ยฟางหวา
เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า “ไม่ใช่ผ้าต่วนธรรมดาไม่กี่พับแน่นอน”
ซื่อฮว่าได้ยินแบบนั้นก็พินิจมองอย่างถี่ถ้วนอีกหน กระทั่งอุ้มผ้าต่วนพลิกค้นหาดูรอบหนึ่งก็ทำแล้ว สุดท้ายก็ท้อใจ “ไม่มีสิ่งใดทั้งนั้น มองอย่างไรก็ล้วนเป็นผ้าไม่กี่พับเท่านั้นเจ้าค่ะ”
เซี่ยฟางหวานั่งลง จ้องมองผ้าต่วนห้าพับอย่างไตร่ตรองมีสมาธิ
ซื่อฮว่าไม่กล้ารบกวนนาง
ผ่านไปพักหนึ่ง เซี่ยฟางหวาพลันเอ่ยขึ้น “ไปเปิดม่านหน้าต่าง”
ซื่อฮว่าพยักหน้า เดินไปริมหน้าต่างแล้วเลิกม่านออก แสงแดดส่องเข้ามาในชั่วพริบตา
เซี่ยฟางหวามองผ้าห้าพับนี้ ทันใดนั้นก็ผุดลุกขึ้นยืน “ข้าเข้าใจแล้ว”
ซื่อฮว่าหันกลับไปมองผ้าห้าพับนั้น พบว่าผ้าที่คลี่กางไว้เดิมทีมีลวดลายสีสันแบบเดียวกัน กลับนึกไม่ถึงว่าเมื่อต้องแสงแดดกลับมีสีสันต่างกันออกไป แม้อ่อนมาก แต่พวกนางมีวิทยายุทธ์ พลังภายใน และสายตาอันดีเยี่ยมจึงมองเห็นอย่างชัดเจน
นางมองครู่หนึ่งก็กล่าวเสียงเบา “คุณหนู ผ้าดิ้นเงินดิ้นทองห้าพับนี้น่าจะเป็นผ้าที่ถักทอขึ้นนานแล้ว ได้รับการเก็บรักษาเป็นอย่างดี อีกทั้งมีอายุไม่เท่ากัน มิฉะนั้นคงไม่เกิดสีต่างกันแบบนี้ พับหนึ่งแลดูใหม่กว่าอีกพับ พับที่ใหม่ที่สุดน่าจะทอขึ้นเมื่อหนึ่งปีก่อนนี้เองเจ้าค่ะ”
เซี่ยฟางหวาผงกศีรษะ “เป็นเช่นนี้ ผ้าห้าพับนี้ พับที่เก่าแก่ที่สุดน่าจะอายุราวสิบปีแล้ว” พูดจบ นางก็ลูบไล้แผ่วเบา “นึกไม่ถึงว่าจะเหมือนกับพับใหม่ หากไม่พินิจถี่ถ้วนก็มองไม่ออก”
“มิทราบว่าฮูหยินเสนาบดีฝ่ายซ้ายเก็บรักษาอย่างไร” ซื่อฮว่ากล่าว
เซี่ยฟางหวาไม่ตอบหากแต่จับมุมผ้าห้าพับนี้เข้าด้วยกัน นางหรี่ตาลง แววตาที่เหลือเพียงรอยแยกเล็กๆ แปรเปลี่ยนเป็นลึกและเงียบวิเวก ริมฝีปากเม้มเข้าหากัน ผ่านไปพักหนึ่งก็กลับคืนสู่ความปกติ มองผ้าห้าพับนี้แล้วเอ่ยขึ้น “เสนาบดีฝ่ายซ้ายสมกับเป็นเสนาบดีฝ่ายซ้าย มิน่าเล่าถึงได้ยืนหยัดมั่นคงในราชสำนักมาหลายปี แม้ไม่มีแรงสนับสนุนจากตระกูลหลูแห่งฟ่านหยาง ก็ยังดำรงตำแหน่งเสนาบดีฝ่ายซ้ายได้อย่างมั่นคง อีกทั้งยังเหยียบตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางไว้ใต้ฝ่าเท้า”
ซื่อฮว่ากล่าวด้วยความระวัง “คุณหนู นี่เป็นเพราะลวดลายบนผืนผ้าหรือเจ้าคะ บ่าวดูแบบนี้แล้ว เมื่อแสงแดดส่องกระทบลงมา ลวดลายพวกนี้ถึงคล้ายกับแผนที่เลย”
“ถูกต้อง” เซี่ยฟางหวาผงกศีรษะ “นี่เป็นแผนที่หนานฉิน นอกจากไม่มีสิงหยางปรากฏแล้ว พื้นที่อื่นล้วนมีอยู่ครบ”
ซื่อฮว่าตกใจ “ผ้าห้าพับนี้นึกไม่ถึงว่าวาดแผนที่หนานฉินเอาไว้ ช่าง…” นางลูบเนื้อผ้า กล่าวเสียงเบาว่า “ยากจะนึกถึงเหลือเกิน”
“ตรงนี้ ตรงนี้ และตรงนี้ ยังมีบางส่วนตรงนี้ด้วย…” เซี่ยฟางหวาชี้ลวดลายบนผืนผ้าแผ่วเบา ยิ้มกล่าวเสียงเย็น “เป็นฐานที่มั่นของตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยาง บางพื้นที่ก็ตรงกับพื้นที่ที่สายสอดแนมตระกูลเซี่ยสืบมาได้ ดูท่าทาง เสนาบดีฝ่ายซ้ายคงรู้แล้วว่าตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางคบคิดกับศัตรูตั้งแต่สิบปีก่อน แต่ตลอดมาไม่นึกว่าจะปิดบังแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง แต่ความจริงนั้นช่างร้ายกาจนัก”
“เสนาบดีฝ่ายซ้ายมิใช่คนของฝ่าบาทตลอดมาหรือเจ้าคะ หรือว่าเขาก็มิได้บอกแม้กระทั่งฝ่าบาท แต่ปิดบังเอาไว้” ซื่อฮว่ากล่าวเสียงต่ำอย่างไม่เข้าใจ
เซี่ยฟางหวาเงียบลงพักหนึ่ง กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเล็กน้อย “กี่ยุคสมัยแล้ว ที่ผ่านมาราชสำนักเอาแต่จับตามองตระกูลเซี่ย แทบอยากจะกำจัดตระกูลเซี่ยทิ้ง เสนาบดีฝ่ายซ้ายหากได้ข่าวมาแล้วรายงานกับฮ่องเต้ มีหรือจะไม่เป็นการบอกฮ่องเต้ว่ากำลังทำงานในส่วนของพระองค์อยู่ เรื่องที่แม้แต่สายลับราชสำนักยังสืบมิได้ จวนเสนาบดีฝ่ายซ้ายของเขากลับล่วงรู้ ฮ่องเต้ทรงเกิดจิตใจหวาดระแวง หากวันหนึ่งไม่ไว้เนื้อเชื่อใจเขาอีก เช่นนั้นจวนเสนาบดีฝ่ายซ้ายของเขาจะยังเป็นจวนเสนาบดีฝ่ายซ้ายในปัจจุบันหรือไม่ จะยังมีตำแหน่งเฉกเช่นทุกวันนี้หรือ”
ซื่อฮว่าพยักหน้า
เซี่ยฟางหวากล่าวต่อ “และตลอดเวลาที่ผ่านมาเสนาบดีฝ่ายซ้ายไม่แน่ว่าจะชอบตระกูลเซี่ย เรื่องอำนาจและผลประโยชน์ ผู้คนส่วนมากในใต้หล้าล้วนคิดถึงตนเองก่อน ถึงอย่างไรจวนจงหย่งโหวกับตระกูลเซี่ยก็เจริญรุ่งเรืองเกินไป เสนาบดีฝ่ายซ้ายถึงแม้ไม่นึกถึงตระกูลหลูแห่งฟ่านหยาง แต่อย่างไรก็เกิดมาในตระกูลหลูแห่งฟ่านหยาง ชั่งน้ำหนักส่วนได้ส่วนเสียดูแล้ว พิจารณาหลายฝ่ายแล้ว ก็น่าจะปิดบังเรื่องที่เขาล่วงรู้ความลับตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางไว้ ส่วนฝ่าบาทองค์ปัจจุบัน ครั้นมีฐานะเป็นองค์ชายสี่ควบรัชทายาท มิได้มีสายตากว้างไกลเท่าไรนัก เสนาบดีฝ่ายซ้ายจะบอกหรือไม่บอก ตอนนั้นคงไม่มีความหมายมากนัก”
ซื่อฮว่าพยักหน้าอีกหน
“ตอนนี้เขามอบสิ่งนี้ให้ข้าโดยอาศัยเรื่องที่ข้าช่วยหลูเสวี่ยอิ๋ง ฉลาดเกินไปแล้ว หลังจากนี้แค่ประคองตระกูลจวนเสนาบดีฝ่ายซ้ายของเขามิได้ล้มลงก็พอ” เซี่ยฟางหวาพูดจบ ครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วกล่าวเสียงต่ำบอกซื่อฮว่า “เจ้าไปนำเทียบเชิญมา วันนี้พี่สะใภ้ใหญ่กลับจวนมาพอดี ฟังว่านอกจากวันสวรรคตของอดีตฮ่องเต้ที่นางไปแสดงความไว้อาลัยในวังหลวง หลายวันนี้ก็มิได้พบพวกเยี่ยนหลานกับจินเยี่ยนเลย ข้าจะเขียนร่างเทียบเชิญ เชิญพวกนางมาชุมนุมเล็กๆ กันที่จวนเพื่อจัดงานชมบุปผา ฟังว่าท่านแม่มักจัดงานชมบุปผาทุกปี ในจวนมักมีเครือญาติฝ่ายสตรีไปมาหาสู่กันอย่างคึกคัก ปีนี้กลับยังไม่จัดขึ้นเลย”
ซื่อฮว่ารีบเตือนขึ้นว่า “คุณหนู อดีตฮ่องเต้จากไปยังไม่ครบร้อยวัน จัดงานนี้คงไม่ค่อยดีกระมัง”
“ไม่เป็นไร เป็นแค่งานชุมนุมเล็กๆ อย่างท่องกลอน ชมดอกไม้ จิบน้ำชา พูดคุยกันเท่านั้น ไม่นับว่าเป็นงานรื่นเริงใหญ่อันใด” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า
ซื่อฮว่ารับคำ แล้วรีบออกไป
ไม่นานซื่อฮว่าก็นำเทียบเชิญมา
เซี่ยฟางหวาจับพู่กัน เชิญจินเยี่ยนแห่งจวนองค์หญิงใหญ่ เยี่ยนหลานแห่งจวนหย่งคังโหว
เจิ้งเย่เวยแห่งจวนสำนักวิชาขั้นสูงฮั่นหลิน หวางจื่อหมิงแห่งจวนผู้ตรวจการ เฉิงอวี้ปิ่งแห่งจวนรองราชเลขาเฉิง ซ่งฉินหร่านแห่งจวนรองราชเลขาซ่ง โดยแบ่งเป็นน้องสาวของหวางอู๋ เจิ้งอี้ เฉิงหมิง และซ่งฟาง เซี่ยฟางหวาไม่ค่อยสนิทสนมกับคนด้านหลังนัก เคยได้พบพวกนางสมัยเป็นทิงอินเพียงครั้งหนึ่ง แต่คนเหล่านี้อยู่ในเมืองมาตั้งแต่เด็ก ล้วนสนิทสนมกับจินเยี่ยน เยี่ยนหลาน และหลูเสวี่ยอิ๋ง
เขียนรายชื่อทั้งหมดเสร็จแล้ว นางลังเลครู่หนึ่ง ก่อนเขียนชื่อหลี่หรูปี้ลงไปในเทียบเชิญด้วย สุดท้ายก็หยิบเทียบเชิญอีกแผ่นมาเขียนชื่อเซี่ยอีแห่งจวนครอบครัวหกตระกูลเซี่ย เขียนเสร็จแล้วก็ตั้งใจวางไว้ด้านบนสุด บอกซื่อฮว่าว่า “นำเทียบเชิญพวกนี้ให้คนในจวนแบ่งกันนำไปส่ง ส่วนเทียบเชิญของเซี่ยอี เจ้านำไปส่งด้วยตัวเอง มอบให้ฮูหยินหมิง”
ซื่อฮว่าพยักหน้าด้วยความเคร่งขรึม ก่อนถือเทียบเชิญเดินออกไป
เซี่ยฟางหวารอจนซื่อฮว่าออกไปแล้ว ก็หากรรไกร เข็มกับด้าย มาตัดแบ่งผ้าดิ้นเงินดิ้นทองที่ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายซ้ายมอบให้ หลังตัดเสร็จแล้ว นางก็นำเข็มกับด้ายออกมา หย่อนกายนั่งลง แล้วเริ่มตัดเย็บเสื้อผ้า