ส่วนที่ 2 ภาคถนนสายนี้ไม่มีผู้มาก่อน ตอนที่ 54 มหาวิหคปีกทองออกโรง

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

การควบคุมกระบี่หมื่นเล่ม ต้องใช้จิตสัมผัสหมื่นสาย ผู้ใดมีจิตสัมผัสแข็งแกร่งเช่นนี้บ้าง? ต่อให้โจวตู๋ฟูกลับชาติมาเกิดก็อาจทำไม่ได้ แต่เฉินฉางเซิงกลับทำได้จริงๆ ดังนั้นเถิงเสี่ยวหมิงจึงยังตกตะลึงไม่หาย ที่มากกว่านั้นคือเขากำลังประหลาดใจ ไม่เข้าใจในเรื่องนี้จริงๆ

ในตอนแรกขณะที่กำหนดดาวโชคชะตาในหอตำราของสำนักฝึกหลวง จิตสัมผัสของเฉินฉางเซิงกลับอยู่เหนือท้องฟ้ายามค่ำคืนของเมืองจิงตู จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังชมดาวยามราตรีเคยวิจารณ์ว่า…คนผู้นี้มีจิตสัมผัสที่แข็งแกร่งและสงบนิ่ง ยากพานพบยิ่ง ซึ่งพรสวรรค์ตามธรรมชาติเช่นนี้น่าจะเป็นของผู้เฒ่าคงแก่เรียนอายุร้อยปีที่ตระหนักรู้ในสรรพสิ่งและดินฟ้ามากกว่า เหมือนหวังจือเช่อในปีนั้นที่ค่อยๆ แสดงความสามารถให้เห็น ซึ่งไม่ธรรมดา ในคำวิจารณ์นี้ จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์นำเฉินฉางเซิงไปเปรียบเทียบกับหวังจือเช่อผู้ลึกลับและแข็งแกร่งที่บรรลุวิถีเต๋าได้ในคืนเดียว ทำให้จินตนาการตามได้ว่าจิตสัมผัสของเฉินฉางเซิงนั้นแข็งแกร่งเพียงใด แต่อย่างไรก็ไม่น่าสู้โจวตู๋ฟูได้ การที่เขาสามารถแบ่งจิตสัมผัสได้หมื่นสาย จุดสำคัญน่าจะอยู่ที่คำวิจารณ์สองประโยคสุดท้ายของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์

จิตสัมผัสสามารถแบ่งได้กี่สายนั้น ไม่เกี่ยวกับความแข็งแกร่งของจิตสัมผัส แต่เกี่ยวกับระดับความสงบนิ่งของจิตสัมผัส

ผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทานอย่างโจวตู๋ฟู ย่อมมีจิตสัมผัสที่แข็งแกร่งกว่าเฉินฉางเซิงไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า จิตสัมผัสเช่นนั้นก็เหมือนก้อนหินขนาดใหญ่ที่แข็งอย่างยิ่ง สามารถแบ่งออกเป็นสองสามสายไปจนถึงนับสิบสาย แต่ที่สุดแล้วก็ไม่อาจแบ่งออกได้ตลอดไป จนบางครั้งจึงมักกลายเป็นหินกรวดไป ไม่สามารถแบ่งออกเป็นหินก้อนเล็กกว่านี้ได้อีก

ทว่าจิตสัมผัสของเฉินฉางเซิงกลับสงบนิ่งสุดจะเปรียบ และอ่อนโยนอย่างมาก ซึ่งไม่เหมือนของโจวตู๋ฟูที่สูงส่งและแข็งแกร่งจนไม่สามารถทลายลง จิตสัมผัสของเฉินฉางเซิงไม่แข็งเหมือนหิน แต่กลับเหมือนน้ำ สามารถแบ่งออกได้หลายหยด แปรเปลี่ยนเป็นน้ำค้าง เป็นไอน้ำ แบ่งออกได้อย่างไม่จำกัด

กระบี่นับไม่ถ้วนยังคงเหินหาวทะลุทะลวงไปรอบๆ สุสาน บ้างก็พุ่งใส่คลื่นอสูร แล้วถอนตัวออกพร้อมฝนโลหิต บ้างก็พบกับการตอบโต้อันหนักหน่วง กระบี่ชราพิการบางเล่มหัก บางเล่มมีสภาพอเนจอนาถจนดูไม่ได้ ในตอนที่กระบี่หมื่นเล่มเริ่มต่อสู้กับคลื่นอสูรนั้น กระบี่นับสิบเล่มที่รวดเร็วยังรักษาความเป็นกระบี่ได้อย่างสมบูรณ์ ภายใต้การนำของกระบี่มหาสมุทรขุนเขา และการควบคุมด้วยจิตสัมผัสของเฉินฉางเซิง ได้เหาะไปยังทุ่งหญ้าที่อยู่ไกลออกไปอย่างมุ่งมั่นและตั้งใจ จนมาอยู่ตรงหน้าอสูรกระทิง

ดวงตาดุจเม็ดข้าวของอสูรกระทิงเรืองแสงอย่างดุดัน หางที่พันรอบเขาหน้ากระชับแน่น พุ่มไม้รอบด้านเอนราบเป็นหน้ากลองจากพลังปราณอันคลุ้มคลั่งที่มันเปล่งออก ได้ยินเสียงมากมายดังมาในอากาศรวมทั้งเสียงเจี๊ยกๆ ที่เบามากด้วย เส้นขนยาวใหญ่สีดำนับพันเส้นของมันคล้ายเปลี่ยนเป็นลูกธนูที่ตั้งตรงและคมกริบ ก่อนจะยิงไปยังสุสาน

ตึง ตึง ตึง ตึง! เสียงสิ่งของกระทบกันอย่างต่อเนื่องในทุ่งหญ้าที่ไกลออกไป เสียงเหล่านี้คล้ายพยายามรวมตัวกัน จนกลายเป็นเสียงยาวๆ เสียงหนึ่ง

เส้นขนหางสีดำใหญ่ยาวนับพันเส้นที่อสูรกระทิงยิงออกทั้งหมดถูกกระบี่กลุ่มนี้สกัดกั้นไว้ พริบตาเดียว บนท้องฟ้าก็ปรากฏไอสีขาวเส้นเล็กๆ นับพันเส้น ซึ่งเป็นผลจากการชนกันของกระบี่และขนสีดำ

กระบี่นับสิบเล่มอีกกลุ่มลอยอยู่กลางอากาศ ห่างจากร่างอสูรกระทิงราวหนึ่งลี้ ก่อนบินเข้าและบินออกจากร่างของมัน จนเห็นเป็นวงแสงวูบวาบมากมาย ผืนดินบนทุ่งหญ้าก็ปรากฏคล้ายรอยแตกเป็นเส้นๆ เหล่าปลาดุกและปลากดพยายามดิ้นรนให้ตนรอดชีวิต แต่โชคร้ายที่มุดลงโคลนตมไม่ทัน จึงถูกฉีกเป็นชิ้นๆ

กระบี่มหาสมุทรขุนเขามิได้เข้าขวางบรรดาเส้นขนสีดำที่ยิงไปทางสุสานซึ่งห่างออกไปนับสิบลี้ แต่มันบินทะลวงเข้าออกเป็นวงอย่างบ้าคลั่ง กระบี่โลหะอันหนักอึ้งบินแหวกอากาศทีไรก็เกิดเสียงดังหวีดหวิวเสียดแก้วหูยิ่ง มันมองภาพรวมจากที่สูง แล้วตรงเข้าตัดเขาหน้าของอสูรกระทิง ด้วยเพลงกระบี่เผาผลาญนภาที่ซูหลีคิดค้นขึ้น!

ในทุ่งหญ้ามีแต่เสียงคมกระบี่ตัดผิวหนังที่ทั้งหนาและเหนียวของสัตว์ร้าย เห็นเศษเนื้อปลิวว่อนเต็มไปหมด แสงแวววับของกระบี่หลายเล่มค่อยๆ ริบหรี่ลง สัตว์อสูรหลายตัวล้มตายอยู่ด้านล่างสุสาน และตามแหล่งน้ำที่ห่างไกลออกไป ฝนยังคงตกปรอยๆ อย่างต่อเนื่องรอบๆ สุสาน แล้วฝนกระบี่ในทุ่งหญ้าจะยุติลงเมื่อใด?

หนานเค่อยังคงหลับตาอยู่ ไม้จิตวิญญาณที่อยู่ตรงหน้านางสว่างขึ้นเรื่อยๆ แสงสีขาวสะอาดดั่งน้ำนมส่องต้องใบหน้าน้อยๆ ทำให้ดูซีดขาวยิ่งกว่าเดิม เถิงเสี่ยวหมิงกับหลิวหวั่นเอ๋อร์กำลังใช้พลังปราณอันแข็งแกร่งสร้างเกราะอาคมปกป้องนางอย่างเต็มที่ ไม่ให้กระบี่แม้สักเล่มเฉียดกรายเข้าใกล้ร่างนาง

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ในที่สุดนางก็ลืมตาขึ้น สายฝนหยดลงบนใบหน้า เปลวไฟสีเขียวเข้มยังคงลุกโชนอยู่ในส่วนลึกของดวงตาที่เย็นชา โดยมิได้ถูกน้ำฝนที่เย็นยะเยียบชะล้างไปแต่อย่างใด และไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดชายขอบทุ่งหญ้าจึงปรากฏแสงสีทองศักดิ์สิทธิ์ขึ้น อีกทั้งแสงสีทองนั่นยังพุ่งมาทางทุ่งหญ้าด้วย

เฉินฉางเซิงก็ลืมตาเช่นกัน แล้วมองดูหนานเค่อที่ลอยตัวอยู่หน้าประตูสุสาน

ทั้งสองสบตากันเงียบๆ โดยไม่พูดจาอะไร

หนานเค่อมองว่าตนเป็นผู้สืบทอดสวนโจว วิชาที่ฝึกฝนก็มาจากวิชาต้องห้ามที่โจวตู๋ฟูเก็บรักษาไว้ วิชาต้องห้ามเหล่านี้ได้ตรึงกระบี่พิการหมื่นเล่มไว้ในสวนโจวนับร้อยปี วันนี้เฉินฉางเซิงคิดช่วยกระบี่พิการหมื่นเล่มให้หนีออกไป นั่นก็คือการทำลายความเป็นสวนโจว นี่เป็นเรื่องที่นางไม่มีทางอนุญาตเด็ดขาด ดังนั้นอย่าว่าแต่ต้องเสี่ยงกับการถูกกระบี่หมื่นเล่มสังหารเลย ก่อนที่ดวงวิญญาณของนางจะออกไปท่องใต้หล้า ก็ต้องใช้วิชาที่แข็งแกร่งสุดสังหารเฉินฉางเซิงให้ตาย แล้วเก็บกระบี่หมื่นเล่มคืนกลับ ทำให้ทุ่งหญ้าเงียบสงบดังเดิม

แน่นอน เฉินฉางเซิงไม่มีทางยอมรับการจัดการเช่นนี้ ไม่ว่าโชคชะตากำหนด หรือโจวตู๋ฟูกำหนดไว้ก่อนตาย การต่อสู้ของกระบี่หมื่นเล่มกับคลื่นอสูรยังคงดำเนินต่อไป เพียงแค่การสบตากันในระยะเวลาอันสั้นของทั้งคู่ ก็ไม่รู้ว่าเกิดเหตุการณ์นองเลือดที่สยดสยองไปมากน้อยเท่าไร

การต่อสู้ในครั้งนี้คู่ต่อสู้คือกระบี่กับอสูร ไม่มีมนุษย์ จึงไม่มีการพูดจา มีเพียงเสียงแผดร้องของกระบี่และเสียงคำรามของสัตว์อสูร แม้ไม่มีเสียงตะโกนว่าฆ่า แต่ทุ่งหญ้ากลับถูกปกคลุมไปด้วยรังสีฆ่าฟัน

ไม่นานนัก คลื่นอสูรก็ค่อยๆ สงบลง จากนั้นก็ค่อยๆ ไหลออกจากรอบๆ สุสาน ไม่รู้เป็นเพราะพบว่าไม่อาจตีฝ่ากระบี่พิการหมื่นวิถีที่อยู่นอกสุสานได้ หรือหนานเค่อใช้ไม้จิตวิญญาณสั่งพวกมัน หรือพวกมันรู้สึกสังหรณ์ใจถึงอะไรบางอย่าง

เฉินฉางเซิงยกมือขวาขึ้น ฝนเม็ดเล็กๆ ตกลงบนมือ กระบี่ทั้งหมดในทุ่งหญ้าตอบรับด้วยการเหาะกลับ

สัตว์อสูรระดับต่ำนับหมื่นตัวตายไป ส่วนวานรดินเจ้าเล่ห์ที่เริ่มจู่โจมใส่เฉินฉางเซิงก่อนนั้น สุดท้ายก็ถูกเฉินฉางเซิงจู่โจมกลับ ถูกซุ้มประตูกระบี่ฟาดฟันอย่างหนัก ขาหลังข้างหนึ่งหัก ขาอีกข้างบาดเจ็บ ไม่สามารถยืนอย่างมนุษย์ได้อีก มันกอดต้นขาตนเอง แล้วมองไปยังสุสานด้วยสายตาเกลียดชัง พลางส่งเสียงร้องเจี๊ยกๆ อย่างโกรธแค้น คล้ายกำลังก่นด่า

ยักษ์ล้มภูเขาที่มีร่างใหญ่เท่าภูเขาเลากาดูโดดเด่นสะดุดตาในทะเลคลื่นอสูรเมื่อครู่ ตอนนี้ผิวหนังที่หนาและเหนียวของมันปรากฏรอยแผลจากกระบี่ทั้งตื้นและลึกอย่างน้อยนับพันรอย กระบี่บางเล่มประสบความสำเร็จในการทลายแนวป้องกันอันน่ากลัวของมัน ทำให้มันบาดเจ็บจนถึงกระดูก โลหิตสดๆ ไหลไม่หยุด มันจึงต้องปล่อยหินก้อนใหญ่ที่แตกหักในมือลง

อสูรกระทิงที่อยู่ห่างออกไปคล้ายบาดเจ็บน้อยสุด เพียงเส้นขนสีดำใหญ่ยาวอันหนาแน่นที่หางของมันถูกยิงออกจนเกือบหมด เหลือเพียงไม่กี่เส้นเท่านั้น จึงดูเหมือนถูกไหม้ไฟเป็นหย่อมๆ อย่างไรอย่างนั้น สภาพอเนจอนาถปนน่าขัน ไม่มีวี่แววน่าเกรงขามเหมือนก่อนหน้านี้อีก

กระบี่นับไม่ถ้วนเหาะกลับสุสาน บางเล่มหักซ้ำสอง เหลือเพียงท่อนสั้นๆ ติดด้ามกระบี่ ดูๆ ไปก็อเนจอนาถพอๆ กัน ชวนปวดใจไม่น้อย บ้างก็ถูกพิษของสัตว์อสูรพ่นใส่ กัดกร่อนสนิมที่เกาะไว้ จนกลับมาแวววาวเหมือนเดิม บางเล่มก็คล้ายหมดแรง ส่ายไปมา ทำท่าว่าจะตกลงระหว่างทาง แต่ก็ไม่มีสักเล่มที่ตกลงไปในทุ่งหญ้า เพราะพอเล่มอื่นๆ เห็นเล่มไหนมีท่าทีว่าจะตก ก็จะรีบเหาะเข้าไปช้อนพยุงไว้ แม้ก่อนหน้านี้ระหว่างต่อสู้กับสัตว์อสูร บางเล่มถูกหัก ตกลงไปในโคลนตม ก็ถูกกระบี่อีกเล่มช้อนเก็บขึ้นมา พาเหาะกลับสุสานอย่างเป็นระเบียบ

เหตุการณ์นี้ทำให้คิดถึงสนามรบจริงๆ ภายใต้ดวงอาทิตย์สีโลหิต สิ้นเสียงประกาศชัยชนะให้กลับค่าย พลทหารผู้อ่อนล้าและบาดเจ็บล้วนไม่มีเรี่ยวแรงโห่ร้อง ต่างคนต่างประคองซึ่งกันและกัน ค่อยๆ เดินกลับค่าย ส่วนทหารที่เดินไม่ได้ ทหารด้วยกันก็นำท่อนไม้มามัดเท่าที่ทำได้แล้วแบกกลับไป

เฉินฉางเซิงไม่ยอมให้กระบี่สักเล่มตกหล่นในทุ่งหญ้า นี่เป็นเรื่องที่ทำให้ซาบซึ้งใจอยู่บ้าง แต่หนานเค่อไม่ยอมให้เรื่องทำนองนี้มาสร้างความผูกพันและทำให้นางตกต่ำ สิ่งที่นางเห็นตรงหน้าคือความแข็งแกร่งของเฉินฉางเซิง ที่สามารถแบ่งใจดวงเดียวออกเป็นหมื่นจิต และยืนหยัดต่อสู้จนถึงตอนนี้ ซึ่งพานพบได้ยากยิ่ง แม้แต่นางก็ยังรู้สึกชื่นชมอย่างอดไม่ได้ แต่นางยิ่งชื่นชมเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งสมควรตายเท่านั้น

เปลวไฟสีเขียวในดวงตาของหนานเค่อเปลี่ยนเป็นเปลวไฟสีทองของเทพศักดิ์สิทธิ์แล้ว พร้อมกับเปล่งพลังปราณศักดิ์สิทธิ์และบริสุทธิ์อันยากบรรยายออกจากร่างเล็กๆ นาทีนี้แทบไม่รู้สึกเลยว่านางคือองค์หญิงเผ่ามาร แต่ดูคล้ายเทพธิดาของสถานศึกษาหนานซีมากกว่า

เงาดำอันน่ากลัวผืนนั้นได้เคลื่อนตัวมาอยู่ด้านหลังของนาง

ด้านหลังของนางก็คือทุ่งหญ้าสุริยาไม่หลับใหล

เงาดำที่เคยปกคลุมท้องฟ้าครึ่งหนึ่ง เคลื่อนต่ำลงมาปกคลุมทุ่งหญ้าทั้งหมด ทำให้แสงในยามเย็นจากระยะไกลตกลงบนเงาดำ แล้วเหมือนถูกดูดกลืนในพริบตาเดียว ไม่มีการหักเห หายไปอย่างไร้ร่องรอย

ทุ่งหญ้าในตอนนี้ทุกที่มีแต่โลหิต เงาดำค่อยๆ เคลื่อนขึ้น เพราะโลหิตเหล่านี้เหมือนจะกลับมามีชีวิตอีกครั้ง แสงอาทิตย์ยามเย็นถูกดูดกลืนได้ไม่นาน ก็ทำการรวมตัวกับโลหิต จนกลายเป็นสีทอง ซึ่งก็คือเปลวไฟสีทองในดวงตาของหนานเค่อนั่นเอง

ชายขอบของเงาดำเริ่มถูกแสงสีทองปกคลุม จนมันค่อยๆ ปรากฏเค้าโครงร่างที่ชัดขึ้นเรื่อยๆ ตามการพลิ้วไหว

และนั่นคือปีกคู่หนึ่ง ปีสีทองคู่หนึ่ง

ปีกสีทองคู่นี้ใหญ่โตมโหฬาร ยาวไม่รู้กี่พันลี้ เมื่อกางออกพลันขวางกั้นระหว่างพิภพและสวรรค์

มหาวิหคปีกทอง ปรากฏโฉมหน้าที่แท้จริงออกมาจนได้

การปรากฏตัวของมันทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี เมฆดำที่เพิ่งรวมตัวกันเหนือสุสาน กระจายออกในพริบตา

สัตว์อสูรทั้งหมดล้วนก้มศีรษะลงอย่างหวาดกลัว พากันแสดงท่าทีศิโรราบสุดๆ ลงบนแอ่งโลหิต โคลนตม หรือกอหญ้า คลื่นอสูรก็ทยอยทำตามกันเป็นทอดๆ แม้แต่ยักษ์ล้มภูเขาที่ยโสที่สุดก็ยังแสดงความเคารพนบนอบด้วยการคุกเข่าลงในเงาดำของมหาวิหคปีกทอง

อาทิตย์ตกดินอยู่ด้านหลังมหาวิหคปีกทอง แสงสีทองหลายสายแผ่กระจายออกจากขอบปีกทั้งสองข้างของมัน กลายเป็นเส้นแสงนับไม่ถ้วนบนท้องฟ้า

ภาพที่เห็นสวยงามจนดูไม่เหมือนจริง ดั่งภาพเขียนของทวยเทพที่บรรยายเอาไว้ในหอตำราของสำนักฝึกหลวง

ความจริงแล้ว ในท้องพระโรงของพระราชวังหลี ก็มีจิตรกรรมฝาผนังเช่นนี้จริงๆ เป็นภาพวาดสมัยบรรพกาล ขณะมหาวิหคปีกทองถือกำเนิดขึ้นในหมู่เมฆอย่างพิสดาร

ซึ่งการถือกำเนิดขึ้นระหว่างพิภพและสวรรค์ในครานั้น ทำให้มันเกือบจะได้ก้าวเข้าสู่ดินแดนเทวาศักดิ์สิทธิ์

โดยไม่ว่าจะเป็นเทวตำนาน เรื่องราวที่เล่าต่อๆ กันมา หรือความจริง มหาวิหคปีกทองก็จัดเป็นสัตว์เทพในระดับเดียวกับอาชาเขาเดี่ยวและเทพนกยูง เป็นรองจากมังกรและหงส์

เฉินฉางเซิงมองดูร่างมหาวิหคปีกทองที่บดบังท้องฟ้าจนมิดโดยไม่พูดไม่จา

ตั้งแต่เริ่มเห็นเงาดำ เขาก็รอนาทีนี้มาตลอด

คล้ายกันกับความตายอย่างไรอย่างนั้น ไม่ว่าท่านจะเตรียมตัวไว้มากน้อยเพียงใด พอมันมาถึงจริงๆ ท่านกลับพบว่าตนเองยังคงเตรียมตัวได้ไม่ดีนัก ซึ่งความรู้สึกของเขาในตอนนี้ก็เป็นเช่นนี้

มหาวิหคปีกทองตัวนี้ ก็เหมือนกันกับความตาย