เถ้าแก่หลี่เฝ้าดูพวกเขาจนเห็นว่าอีกฝ่ายเดินจากไปไกลแล้วจึงถอดป้ายประกาศขายที่ติดอยู่ที่ประตูหน้าร้านออก จากนั้นก็เดินกลับเข้าไปในร้านอย่างอารมณ์ดี

 

 

เนื่องจากว่ากิจธุระที่มาติดต่อในวันนี้สำเร็จลุล่วงลงไปแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวกับหวงฝู่อี้เซวียนจึงไม่ได้เดินเข้าไปในเหลาจวี้เสียนอีก หลังจากหันกลับไปทักทายเถ้าแก่อีกสองสามประโยค เมิ่งเชี่ยนโยวก็เตรียมพร้อมขึ้นรถม้ามุ่งหน้ากลับจวนของตนเอง

 

 

จู่ๆ มือของหวงฝู่อี้เซวียนก็ยื่นออกมาหยุดนางไว้ “วันนี้ข้าว่างไม่มีอะไรทำ ไปเดินเล่นรอบๆ เมืองหลวงเป็นเพื่อนเจ้าดีไหม? จะได้ซื้อของขวัญให้เจ้าด้วย”

 

 

คิดว่าในอนาคตคงต้องลงหลักปักฐานอยู่ในเมืองหลวงแน่แล้ว การทำความเข้าใจวิถีชีวิตของคนชาวเมืองหลวงก็ถือว่าเป็นเรื่องที่จำเป็น ดังนั้นเมิ่งเชี่ยนโยวจึงพยักหน้าไปอย่างเห็นด้วย

 

 

ทั้งสองคนทิ้งรถม้าเอาไว้ด้านหลัง เดินไปตามถนนที่พลุกพล่านอย่างเป็นกันเอง ทำตัวเหมือนกับเป็นชาวบ้านทั่วไป

 

 

กัวเฟยยังคงติดตามอยู่ด้านหลังพวกเขาไม่ห่าง

 

 

เหวินเปียวลงมาจูงรถม้าตามหลังไปอีกต่อ

 

 

เนื่องจากเมืองหลวงเป็นที่อยู่อาศัยของขุนนางระดับสูงและเจ้านายมากมาย คณะของพวกเขาที่มีคนเพียงไม่กี่คนจึงไม่ได้เป็นที่ดึงดูดสายตาของใคร

 

 

ทั้งสองคนเดินไปรอบๆ ก่อนจะมาหยุดที่หน้าร้านขายเครื่องประดับแห่งหนึ่ง หวงฝู่อี้เซวียนพูดขึ้น “เข้าไปดูข้างในกันเถิด ดูว่ามีชิ้นไหนถูกใจเจ้าไหมเดี๋ยวข้าซื้อให้”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ปฏิเสธและเดินเข้าไปในร้านพร้อมกับเขา

 

 

พนักงานที่เฝ้าร้านอยู่เห็นว่าทั้งสองคนแต่งกายด้วยอาภรณ์หรูหรา ฝั่งหญิงสาวดูสง่างดงาม ฝั่งบุรุษเองก็สูงศักดิ์ไม่ธรรมดา เห็นว่าต้องเป็นลูกค้ารายใหญ่แน่ๆ จึงได้รีบปรี่เข้าไปทักทายด้วยความกระตือรือร้น

 

 

นี่คือร้านขายเครื่องประดับที่หรูหราเป็นอันดับต้นๆ ของเมืองหลวง เครื่องประดับส่วนใหญ่ในร้านนี้เกินกว่าครึ่งถูกตีขึ้นจากทองคำบริสุทธิ์ทั้งนั้น และด้วยลูกเล่นที่แปลกใหม่บวกกับการออกแบบที่ไม่ธรรมดา มูลค่าของเครื่องประดับแต่ละชิ้นจึงไม่เบาเลย

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้รับอิทธิพลจากประกายระยิบระยับแทบทำให้ผู้คนตาบอดเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย ยังคงมองดูเครื่องประดับที่ถูกจัดตั้งอยู่บนชั้นวางอย่างใจเย็น สีหน้าเรียบเฉยไม่เปลี่ยนแปลง

 

 

เถ้าแก่เจ้าของร้านขายเครื่องประดับเปิดกิจการมาได้หลายปีแล้ว เพราะแบบนั้นแววตาของเขาจึงคมกริบนัก เห็นว่าคนทั้งสองไม่ใช่ผู้สูงศักดิ์ธรรมดาๆ เขาจึงออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง พร้อมกล่าวแนะนำอย่างกระตือรือร้นว่า “เครื่องประดับในร้านของเราถูกประดิษฐ์ขึ้นอย่างประณีตโดยช่างฝีมือชั้นครู ใช้เวลาร่วมหลายเดือนทีเดียวกว่าจะทำเสร็จแต่ละชิ้น นอกจากนี้แต่ละแบบจะมีอยู่เพียงชิ้นเดียวเท่านั้น ไม่มีซ้ำกันแน่นอน ดังนั้นแม่นางท่านสามารถเลือกได้อย่างวางใจ แต่หากว่าตรงนี้ยังไม่มีชิ้นไหนที่ถูกใจท่าน ก็สามารถแจ้งความต้องการของท่านกับทางเราได้ พวกเรารับรองว่าจะตีออกมาได้ถูกใจท่านอย่างแน่นอน”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวแต่เดิมยังไม่ได้สนใจเครื่องประดับมากนัก เพียงแค่ต้องการอยากจะเดินดูไปเรื่อยๆ แต่หลังจากได้ยินสิ่งที่เถ้าแก่พูดมาเมื่อสักครู่ นางก็เริ่มสนใจมันขึ้นมาบ้างแล้ว สายตากวาดมองเครื่องประดับแต่ละชิ้นในชั้นวางอย่างละเอียด หลังจากเดินผ่านมาหลายชั้นแล้วพบว่าไม่มีชิ้นไหนที่มีรูปแบบเหมือนกันเลยจริงๆ ก็อดไม่ได้แอบยกย่องร้านเครื่องประดับแห่งนี้ในใจ สามารถจัดการร้านเครื่องประดับร้านหนึ่งให้มีกฎเกณฑ์รูปแบบได้ขนาดนี้ ชื่อเสียงในเมืองหลวงคงไม่ธรรมดาแน่ๆ

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนเดินตามหลังนางไปอย่างเงียบๆ

 

 

เมื่อเห็นว่าไม่มีชิ้นไหนที่เหมาะกับนาง เมิ่งเชี่ยนโยวจึงเงยหน้าขึ้นแล้วหันกลับไปมองทางหวงฝู่อี้เซวียน เห็นเพียงแต่ว่าเขาในตอนนี้กำลังจ้องไปที่เครื่องประดับชิ้นหนึ่งบนชั้นวางอย่างใจจดใจจ่อ จึงได้ชะโงกหน้าเข้าไปดู อยากรู้ว่าเขาถูกใจชิ้นไหน

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนยกมือขึ้นมาแล้วชี้ไปที่ปิ่นผีเสื้อบนชั้นวางแล้วพูดออกไปว่า “เอาออกมาให้ข้าดู”

 

 

เถ้าแก่ร้านหยิบปิ่นผีเสื้อออกมาด้วยตัวเอง ก่อนจะวางมันลงตรงหน้าเขาอย่างระมัดระวังพร้อมกับพูดว่า “นายท่านช่างตาแหลมยิ่งนัก ปิ่นทองอันนี้ช่างฝีมือของพวกเราใช้เวลาขัดเงาและตีนานถึงสามเดือนก่อนจะประดิษฐ์ออกมาได้ เพิ่งนำขึ้นชั้นวางเมื่อวานนี้เองขอรับ”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนหยิบปิ่นทองขึ้นมา ทำท่าเป็นส่งสัญญาณบอกว่าไม่ให้เมิ่งเชี่ยนโยวขยับก่อนจะปักปิ่นทองไปบนผมของนางด้วยท่าทีเงอะงะ

 

 

ผิวของเมิ่งเชี่ยนโยวนั้นทั้งขาวทั้งสวยมาก เครื่องหน้าเองก็งดงามจับตา ยิ่งใส่เครื่องประดับเสริมเข้าไปก็ยิ่งทวีความงามให้กับหญิงสาวจนเรียกได้ว่างามไปทั้งตัวแล้ว

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนหันมองซ้ายทีขวาที ยิ่งมองก็ยิ่งถูกใจ ยิ่งมองก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้น จึงเปิดปากพูดไปโดยไม่ลังเลเลยว่า “ข้าเอาปิ่นทองอันนี้แหละ”

 

 

เถ้าแก่ดีใจมาก

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบกระจกทองแดงขึ้นมาส่องใกล้ๆ รู้สึกว่าปิ่นทองอันนี้เหมาะกับตนมากจริงๆ จึงไม่ได้คัดค้าน เพียงยิ้มแล้วถามเถ้าแก่ออกไปว่า “ปิ่นทองอันนี้ราคาเท่าไหร่?”

 

 

“ห้าพันตำลึงเงินขอรับ ไม่มีต่อรอง”

 

 

มือที่กำลังสัมผัสปิ่นทองอยู่ของเมิ่งเชี่ยนโยวชะงักไปชั่วครู่หลังจากที่ได้ยิน

 

 

เสียงของหวงฝู่อี้เซวียนดังขัดขึ้น “ห่อมันให้ข้า อีกเดี๋ยวไปรับเงินที่จวนอ๋องฉี”

 

 

เถ้าแก่ร้านชะงักไปแล้วถามออกไปอย่างไม่แน่ใจ “คุณชายท่านคือ…”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนกล่าวว่า “เจ้าไปหาพ่อบ้านจวนอ๋องฉี บอกว่าซื่อจื่อผู้นี้มาซื้อเครื่องประดับให้หญิงในดวงใจที่ร้านเจ้าแต่ไม่ได้พกตั๋วเงินมาด้วย เดี๋ยวเขาจะให้เงินกับเจ้าเอง”

 

 

เถ้าแก่ร้านเมื่อได้รู้ว่าชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขาผู้นี้คือซื่อจื่อแห่งจวนอ๋องฉีก็รีบถอยออกมาจากด้านหลังชั้นวางทันที เข้ามาคุกเข่าคารวะอีกฝ่ายด้วยความตกตะลึง “ผู้น้อยไม่ทราบว่าซื่อจื่อให้เกียรติมาเยือนถึงร้าน หากมีตรงไหนเผลอล่วงเกินท่านไปขอซื่อจื่อโปรดยกโทษให้ข้าน้อยด้วย”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนโบกมือแล้วบอกให้เถ้าแก่ลุกขึ้น “ข้าก็แค่มาเดินเล่นซื้อเครื่องประดับเป็นเพื่อนโยวเอ๋อร์ เถ้าแก่ไม่จำเป็นต้องพิธีการถึงขนาดนี้ เจ้ารีบห่อปิ่นทองให้ข้าเถอะ ประเดี๋ยวข้าจะพาโยวเอ๋อร์ไปซื้อของที่อื่นต่อ”

 

 

เถ้าแก่ร้านเช็ดเหงื่อบนหน้าผากออก กำลังจะเดินเข้าไปที่หลังชั้นวางเพื่อห่อปิ่นทองให้กับเขา

 

 

แต่ในทันใดนั้นเองสตรีนางหนึ่งในชุดอาภรณ์หรูหราใส่เครื่องประดับเต็มยศก็เดินเข้ามาในร้านพร้อมกับสาวใช้หลายคนที่ล้อมอยู่รอบตัว

 

 

เถ้าแก่ร้านเมื่อได้เห็นก็กระวีกระวาดออกมาต้อนรับ “ฮูหยินท่านมาแล้ว วันนี้ร้านของข้าน้อยมีเครื่องประดับใหม่ๆ เข้ามาเยอะมากเลยขอรับ เชิญท่านนั่งรอทางนี้สักครู่ ประเดี๋ยวข้าน้อยจะนำมาแสดงให้ท่านดู”

 

 

สตรีสูงศักดิ์บิดเอวของนาง ขณะกำลังจะเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ที่ตั้งไว้อีกด้าน เท้าของนางก็เป็นอันต้องชะงักเมื่อสายตาเลื่อนขึ้นไปเห็นหวงฝู่อี้เซวียน นางหยุดลงชั่วครู่ ปรับเปลี่ยนการแสดงออกบนใบหน้าก่อนจะเดินเข้าไปทักทายเขาอย่างมีมารยาท “ซื่อจื่อ!”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้าให้เล็กน้อย “ฮูหยินใหญ่”

 

 

ฮูหยินใหญ่มองไปทางเมิ่งเชี่ยนโยวแวบหนึ่งจากนั้นก็เดาตัวตนของนางได้ในทันที มือยกขึ้นปิดปากแล้วแสยะยิ้ม วาจากระแนะกระแหนดังออกไปว่า “นี่คงเป็นแม่นางท่านนั้นที่ถูกซื่อจื่อรับเข้าจวนมากระมัง? ข้าได้ยินมานานแล้ว คิดอยู่ว่าเป็นผู้หญิงแบบไหนกันนะถึงได้ล่อล่วงท่านได้ ทำให้ท่านที่ไม่เคยสนใจชายตาแลอิสตรีนางใดเลยยอมแหกกฎของถึงขั้นสร้างเรื่องใหญ่โตถึงเพียงนั้น ที่แท้ วันนี้พอได้มาเห็นตัวจริง มันก็แค่นี้เอง? นางยังสวยได้ไม่เท่าครึ่งของสาวใช้ข้าด้วยซ้ำ”

 

 

สาวใช้ด้านหลังพากันหัวเราะเยาะนางอย่างให้ความร่วมมือ

 

 

หลังจากคำพูดนี้ตกลงไปสีหน้าหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนก็ดิ่งฮวบลงอย่างอันตราย กลิ่นอายแห่งความโกรธเข้าครอบคลุมทั่วร่างทันที

 

 

เถ้าแก่ร้านตอนนี้หวาดกลัวมากจนเหงื่อซก ฮูหยินใหญ่ผู้นี้ทุกทีก็ดูเป็นคนอ่อนโยนมีน้ำใจและมีมารยาทอยู่หรอก ไฉนวันนี้ถึงได้พูดจายั่วยุซื่อจื่อออกไปแบบนั้น แล้วแบบนี้หากซื่อจื่อโมโหขึ้นมาจะไม่พาลพังร้านเล็กๆ นี้ของเขาไปด้วยเหรอ

 

 

การแสดงออกของเมิ่งเชี่ยนโยวกลับไม่เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด นางเพียงยื่นมือออกไปห้ามหวงฝู่อี้เซวียนไว้ ก่อนจะพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “ทุกที่ในเมืองหลวงล้วนดีหมด เสียก็แต่หมาบ้าเยอะไปหน่อย สามารถพบพวกมันได้ทุกที่”

 

 

กัวเฟยแทบหลุดพ่นเสียงหัวเราะออกมา ในใจทั้งปรบมือทั้งตะโกนชมเมิ่งเชี่ยนโยวว่าเยี่ยมติดๆ กันหลายครั้ง กล้าเปรียบเทียบลูกสะใภ้คนโตของจวนท่านเสนาบดีเป็นหมาบ้า ในเมืองหลวงมีคุณหนูของเขานี่แหละเป็นคนแรก

 

 

สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนผ่อนคลายลงมาก ความโกรธของเขาค่อยๆ จางหายไป ชายหนุ่มหันมาพูดกับนางเบาๆ “เห็นทีหลายวันนี้คงต้องหาเวลาเข้าวังไปยื่นฎีกาต่อเสด็จลุงหน่อยแล้ว ให้เขาช่วยส่งคนมาทำความสะอาดให้หน่อย เผื่อเจ้าจะได้ไม่ต้องรำคาญหากต้องเห็นมัน”

 

 

คำพูดของเขาเพิ่งจบลงไป เสียงแหลมของฮูหยินใหญ่ก็ดังขึ้น “เจ้าว่าใครเป็นหมาบ้า?”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงยิ้มและตอบกลับไปว่า “ใครรับก็คนนั้นแหละที่เป็น เรื่องแค่นี้ท่านยังไม่รู้อีกเหรอ?”

 

 

ฮูหยินใหญ่โกรธมาก นางชี้ไปที่หน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวและเริ่มสาปแช่ง “นังเด็กสมควรตาย อย่าคิดนะว่าเจ้าปีนเตียงซื่อจื่อแล้วจะได้เป็นพระชายาซื่อจื่อ เจ้าก็เป็นได้แค่อนุ เป็นได้แค่นางบำเรอเท่านั้นแหละ คนเขามีคู่หมั้นคู่หมายที่หมั้นหมายกันมาตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว เจ้าไม่มีทางได้แต่งให้เขาอย่างแน่นอน เจ้าน่ะมันก็เป็นได้แค่ของเล่น รอเขาเบื่อเมื่อไหร่แม้แต่หมาบ้าเจ้าก็ยังเทียบไม่ติด”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้โกรธแต่อย่างใด ยังคงยิ้มและตอบโต้กลับไปด้วยความสงบ “ข้าเทียบกับหมาบ้าเช่นท่านไม่ติดจริงๆ นั่นแหละ ในที่สาธารณะแบบนี้ยังทำเรื่องหมื่นฐานะของตัวเองออกมาได้ ไม่ต่างอะไรกับหญิงหม้ายสามีตายเลย”

 

 

ฮูหยินใหญ่จุกจนพูดไม่ออก โกรธมากจนสั่นไปทั้งตัว

 

 

สาวใช้ที่อยู่ด้านหลังรีบก้าวขึ้นไปเพื่อปลอบนาง “ฮูหยินใหญ่อย่าโกรธไปเลยเจ้าค่ะ ไม่คุ้มกันหรอก เสียสุขภาพไปเปล่าๆ นะเจ้าคะ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองไปที่นางอย่างดูถูกก่อนละเลิกสนใจนางอีกแล้วหันไปพูดกับเถ้าแก่ว่า “รบกวนท่านช่วยห่อปิ่นทองให้ข้าด้วย พวกเราจะเอาไปด้วยเลย”

 

 

“โอ้ ขอรับ” เถ้าแก่ยังคงรู้สึกงุนงงอยู่ไม่น้อย แต่พอได้ฟังคำของเมิ่งเชี่ยนโยวก็ฟื้นสติขึ้นมาทันที เขารีบวิ่งไปที่หลังชั้นวาง ห่อปิ่นทองด้วยความเคารพแล้วส่งมอบมันให้กับเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างนอบน้อม “นี่ขอรับแม่นาง ถือระวังๆ ด้วย”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบมันขึ้นมา เตรียมพร้อมที่จะนำมันออกไป

 

 

แต่ทันใดนั้นเองฮูหยินใหญ่ที่กำลังโกรธแค้นมากก็ก้าวขึ้นไปข้างหน้าแล้วปัดปิ่นทองในมือของเมิ่งเชี่ยนโยวลงพื้นอย่างรุนแรง “นังแพศยาสมควรตาย! อย่างเจ้าน่ะเหรอจจะคู่ควรปักปิ่นทองแบนนี้”

 

 

—————————-