ตอนที่ 283 กระดูกมังกร

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตอนที่ 283 กระดูกมังกร โดย Ink Stone_Fantasy

‘หลิ่วหมิง’ สะบัดข้อมือโยนยันต์ออกไปด้านหน้า จากนั้นใช้สองมือประกบมันไว้ และฟั่นไปมา

ทันใดนั้นเปลวเพลิงก็ลุกไหม้ขึ้นมา ขณะเดียวกันก็มีเสียงร้องขอชีวิตของมนุษย์เกราะทองคำ ที่ดูตื่นตระหนกตกใจเป็นอย่างมาก

“ผู้อาวุโสโปรดยั้งมือ! ข้ายอมศิโรราบแก่ท่านแล้ว ได้โปรดอย่าลบสติปัญญาข้าเลย ถ้ามีข้าคอยรับใช้อยู่ข้างกายท่านล่ะก็ จะต้องช่วยท่านได้อย่างแน่นอน”

“ฮึ! กะอีแค่ยันต์จิตวิญญาณผืนหนึ่ง เจ้าคิดว่าข้าไม่สามารถบ่มเพาะได้เองหรือ? ถ้าจะให้เก็บเจ้าไว้ ไม่สู้ข้าบ่มเพาะเองไม่ดีกว่าหรือ?”

‘หลิ่วหมิง’ กล่าวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก จากนั้นสองมือก็ฟั่นกันอย่างรุนแรง

มนุษย์เกราะทองคำร้องออกมาอย่างเวทนา ไอสีดำพุ่งออกจากยันต์สีเหลือง จากนั้นก็ไม่มีเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมาอีกเลย

ยันต์ลึกลับพลังผ้าเหลืองนี้ ถูก ‘หลิ่วหมิง’ ลบสติปัญญาไปอย่างง่ายดาย

พอ ‘หลิ่วหมิง’ ทำทุกอย่างนี้เสร็จ ก็อ้าปากพ่นหอยสังข์เล็กๆ ที่สูงชุ่นกว่าๆ ออกมา มันหมุนวนอยู่ตรงหน้าทีหนึ่ง จากนั้นก็ขยายใหญ่ขึ้นมาชุ่นกว่าๆ มันคือหอยสังข์ย่อส่วนนั่นเอง

เขาแปะยันต์ในมือลงบนหอยสังข์ และมันก็พร่ามัวเข้าไปข้างใน

จากนั้น ‘หลิ่วหมิง’ ก็ไม่สนใจหอยสังข์ยักษ์ตรงหน้าอีก แต่กลับปล่อยพลังจิตอันแข็งแกร่งออกมาด้วยตาที่เป็นประกาย และกวาดดูภายในร่างของตนเอง

“จิตวิญญาณกระบี่ตัวอ่อนมีถึงสองเล่ม! เจ้าเด็กมนุษย์นี่ฝึกฝนกระบี่ และยังฝึกฝนกระบี่บินด้วย ด้วยเหตุนี้ตัวอ่อนกระบี่ของปรมาจารย์ลิ่วยิน ก็สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้แล้ว เฮ่อๆ! สำหรับคนอื่นแล้ว พลังสายโลหิตของจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่เป็นเรื่องที่จัดการได้ยาก แต่สำหรับข้าแล้วการลบผนึกที่ประทับอยู่บนนั้นเป็นเรื่องง่ายมาก เมื่อครู่ข้าแค่ยืมใช้พลังจากมันเล็กน้อยเท่านั้น กายเนื้อนี้ดูอ่อนแอไปหน่อย เคล็ดวิชากระดูกดำที่ฝึกฝนในก่อนหน้านั้นก็ยังตื้นเขิน ซึ่งยังไม่ถึงแก่นแท้ของมัน จะต้องปรับปรุงใหม่อีกรอบ อืม! เปลือกมังกรแดงตนนั้นควรจะนำมาใช้……ช่างเถอะ! ก่อนอื่นจัดการสถานที่แห่งนี้แล้วรีบจากไปดีกว่า มิเช่นนั้น ถ้าผู้น้อยระดับผลึกเผ่าเจ้าสมุทรคนนั้นกลับมาล่ะก็ ด้วยสภาพของข้าในตอนนี้ คงต้องใช้พลังในการรับมือค่อนข้างมาก” ‘หลิ่วหมิง’ กล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย

‘หลิ่วหมิง’ หยิบผ้าคลุมสีเขียวออกจากหอยสังข์ย่อส่วนมาใส่ พอเขาสะบัดแขนเสื้อก็มีแสงสว่างเปล่งประกายออกมา และหอยสังข์ย่อส่วนก็ถูกเก็บเข้าไป

‘หลิ่วหมิง’ กระทืบเท้าข้างหนึ่งลงพื้น จากนั้นก็กลายเป็นกลุ่มแสงสีดำทะยานขึ้นฟ้า และหมุนวนพื้นที่บริเวณนั้นหนึ่งรอบ ไม่รู้ว่าเขาใช้วิธีอะไรในการเก็บธงยักษ์สีฟ้าที่อยู่บริเวณนั้นจนหมด และทำให้มันกลับมาเป็นธงเล็กสีฟ้าอีกครั้ง

พริบตาที่ธงยักษ์สีฟ้าถูกเก็บ ตาข่ายแวววาวที่ปกคลุมท้องฟ้าบริเวณนั้นก็กลายเป็นน้ำทะเล และสาดลงมา

ลำแสงดับลง!

‘หลิ่วหมิง’ ปรากฏตัวกลางพื้นที่บริเวณนี้ เขาจ้องมองธงค่ายกลในมือ และฟั่นมันด้วยสองมือจนเปลวเพลิงเปล่งประกายออกมา และสิ่งที่ประทับอยู่บนนั้นก็หายไป จากนั้นก็ยื่นมือข้างหนึ่งลงไปด้านล่าง

“ฟู่!”

มุกสีดำเม็ดหนึ่งพุ่งขึ้นจากพื้น มันเคลื่อนไหวแค่ไม่กี่ที ก็จมหายเข้าไปในแขนเสื้อ

ขณะนี้ ‘หลิ่วหมิง’ ถึงได้กลายร่างเป็นลำแสงพุ่งยิงเข้าไปในส่วนลึกของเทือกเขา

……

ลี่คุนรู้สึกว่าตนเองใกล้จะเป็นบ้า!

แม้เขาจะรักษาการณ์อยู่ในค่ายกลยักษ์ตรงใจกลางเมืองลอยน้ำของเผ่าเจ้าสมุทร แต่รู้สึกเหมือนเสือที่ถูกขังอยู่ในกรง และเดินวนอยู่ในค่ายกลไม่หยุด ดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธ เสื้อบริเวณหน้าอกมีคราบเลือดติดอยู่ กลิ่นไอบนตัวน่ากลัวเป็นอย่างมาก

ก่อนหน้านั้นไม่นาน เขาขาดการติดต่อกับมนุษย์เกราะทองคำ ภายใต้สถานการณ์ที่เขารับมือไม่ทัน ทำให้จิตของเขาได้รับบาดเจ็บ และพลังเวทย์สะท้อนจนต้องกระอักเลือดออกมา ทำให้เขารับรู้ได้อย่างลางๆ ว่าอายุขัยที่เหลืออยู่ลดลงไปเกือบครึ่งหนึ่ง แวบแรกเขาก็รู้เลยว่าเกิดเรื่องกับมนุษย์เกราะทองคำเข้าแล้ว จึงทำให้เขารู้สึกโมโหเป็นอย่างมาก

แต่ขณะที่เขากำลังลังเลอยู่ว่า จะขัดคำสั่งของหญิงสาวชุดหลากสี เพื่อไปเทือกเขาดีหรือไม่นั้น เขาก็ขาดการติดต่อกับธงค่ายกลทานตะวันวารีไปด้วย

ด้วยเหตุนี้ ต่อให้เขารีบไปตอนนี้ ฝ่ายตรงข้ามก็คงหนีลอยนวลไปแล้ว

อีกอย่างสำหรับเขาแล้ว ในเมื่อฝ่ายตรงข้ามสังหารมนุษย์เกราะทองคำได้ จะต้องไม่ใช่ฝีมือของเจ้าเด็กมนุษย์นั่นอย่างแน่นอน เป็นไปได้ว่า แปดถึงเก้าส่วนจะต้องมีผู้แข็งแกร่งระดับผลึกยื่นมือเข้าช่วยอย่างแน่นอน

ถ้าเป็นเช่นนี้ล่ะก็ ต่อให้ฝ่ายตรงข้ามจะยังอยู่ที่เดิม แต่ด้วยสภาพเขาในตอนนี้ ต่อให้ไปถึงก็ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้

ลี่คุนกัดฟันด้วยความเคียดแค้น

……

สองชั่วยามผ่านไป ถ้ำธรรมชาติที่ตั้งอยู่ในเทือกเขาลึก ‘หลิ่วหมิง’ นั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะกลมสีเหลือง เงากระบี่เล็กๆ สีขาว และสีเหลืองที่ยาวชุ่นกว่าๆ ลอยอยู่ตรงหน้า

มันคือตัวอ่อนกระบี่ปราณแกร่งที่หลิ่วหมิงใช้เหล็กทมิฬหล่อหลอมขึ้นมา กับจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ที่จิตรับรู้ของปรมาจารย์ลิ่วยินทิ้งไว้ในปีนั้น

ทั้งสองสิ่งนี้คล้ายกันเล็กน้อย แต่เล่มหนึ่งเพิ่งบ่มเพาะมาไม่กี่ปี อีกเล่มหนึ่งบ่มเพาะมาอย่างน้อยเกือบพันปี และพลังเวทย์ของทั้งสองที่ใช้ในการบ่มเพาะก็แตกต่างกันราวฟ้ากับดิน อานุภาพของมันจึงแตกต่างกันมาก

ตามหลักการแล้ว ในสถานการณ์ปกติ จิตวิญญาณกระบี่ตัวอ่อนทั้งสองไม่อาจแยกออกจากร่างได้ แต่ตอนนี้ดันมาปรากฏตัวอยู่กลางอากาศ ถ้าผู้ฝึกฝนกระบี่คนอื่นทราบเรื่องนี้เข้า เกรงว่าคงต้องรู้สึกตกตะลึงจนปากอ้าตาค้าง

ขณะนี้ ‘หลิ่วหมิง’ ทำท่ามือด้วยมือทั้งสองอย่างรวดเร็ว ปากก็ร่ายคาถาที่ฟังไม่ออก ขณะเดียวกันแสงสีดำก็เปล่งประกายออกจากร่าง อักขระสีดำระหว่างคิ้วก็เปล่งลำแสงแสบตาออกมา

“ฟู่!”

อักขระสีดำกลายเป็นเปลวไฟสีดำลุกไหม้ขึ้นมา ภายใต้การเปล่งประกาย ก็มีเปลวไฟกลุ่มหนึ่งลอยโขมงออกไป และตกอยู่บนผิวเงากระบี่สีเหลืองพอดี

เงากระบี่สีเหลืองที่เดิมทีอยู่นิ่งๆ ไม่เคลื่อนไหว พลันส่งเสียงดัง “หวึ่งๆ!” ออกมา และพยายามดิ้นรนอยู่ในเปลวเพลิงสีดำไม่หยุด แต่ก็ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เลยแม้แต่น้อย

ขณะนั้นเอง ‘หลิ่วหมิง’ ยื่นนิ้วแตะเงากระบี่สีขาวเบาๆ

เงากระบี่เคลื่อนไหวเข้าไปในเปลวเพลิงสีดำที่อยู่ด้านข้างอย่างมั่นคง และทับซ้อนกับกระบี่เล็กสีเหลือง

‘หลิ่วหมิง’ คำรามเสียงต่ำออกมา เขาอ้าปากพ่นโลหิตบริสุทธิ์สีทองจางๆ ใส่เปลวเพลิงสีดำ

“ฟู่!”

เปลวเพลิงสีดำกลายเป็นสีทองภายในพริบตา ขณะเดียวกัน กระบี่ทั้งสองที่ทับซ้อนกันอยู่ ก็รวมตัวเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็ว

เพียงแค่ไม่กี่อึดใจ กระบี่เล็กทั้งสองก็รวมเป็นหนึ่ง และกลายเป็นเงากระบี่สีเหลืองจางๆ เล่มหนึ่ง แต่ลำแสงบนผิวของมันเปล่งประกายอยู่ไม่หยุด เห็นได้ชัดว่ายังไม่ค่อยคงที่มากนัก

“ดีมาก! ภายใต้อิทธิพลของเปลวเพลิงจิตรับรู้ ก็สามารถลบผนึกของปรมาจารย์ลิ่วยินได้แล้ว จากนั้นก็นำพลังตัวอ่อนกระบี่ทั้งหมดของเขา ใส่เข้าไปในจิตวิญญาณกระบี่ตัวอ่อนอีกเล่ม แม้ว่าในระหว่างนี้ ต้องสูญเสียอานุภาพไปเล็กน้อย แต่ก็ทำให้มันแข็งแกร่งกว่าเดิมเกือบร้อยเท่า ต่อไปเพียงแค่ให้จิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่เล่มใหม่นี้ ถูกเปลวเพลิงจิตรับรู้เผาไหม้หนึ่งรอบ ก็สามารถขจัดสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์ออกไปจนหมดได้ และก็จะไม่มีปัญหาตามมาภายหลังอีก” ‘หลิ่วหมิง’ จ้องมองเงากระบี่สีทองตรงหน้า และเผยรอยยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้

จากนั้นเขาก็ปล่อยให้กระบี่เล็กสีทองถูกเปลวเพลิงเผาไหม้อยู่กลางอากาศ ส่วนตัวเขาก็ล้วงเข้าไปในแขนเสื้อ และหยิบเปลือกมังกรแดงขนาดเล็กที่สูงใหญ่ฉื่อกว่าๆ ออกมา ผิวบริเวณหน้าท้องหายไปส่วนหนึ่ง

“มังกรแดงระดับผลึก! ด้วยระดับการฝึกฝนของกายเนื้อในตอนนี้ ก็พอจะใช้มันได้แล้ว แต่เจ้าเด็กมนุษย์นี่มีตาแต่หามีแววไม่ หารู้ไม่ว่าส่วนที่ยอดเยี่ยมที่สุดของมังกรแดงอยู่ตรงหน้านี้ แต่หลายปีมานี้กลับไม่ค้นพบ” ‘หลิ่วหมิง’ สังเกตดูเปลือกมังกรแดงตรงหน้าสองสามที จากนั้นก็กล่าวเหน็บแหนมออกมา

เขายื่นมือข้างหนึ่งไปสัมผัสเกล็ดสีแดงที่อยู่ใต้กะโหลกศีรษะ ทันใดนั้นแสงสีทองก็เปล่งประกายขึ้น เขาดึงโครงกระดูกแวววาวขนาดใหญ่ออกจากมาในนั้น

โครงกระดูกนี้ยาวเจ็ดแปดจั้ง เปล่งแสงสีแดงจางๆ มันคือโครงกระดูกทั่วร่างของมังกรแดงตนนี้ และแผ่กลิ่นอันน่าตกใจออกมา ราวกับว่าไม่มีส่วนใดหายไปเลยแม้แต่น้อย

ที่แท้หลังจากที่มังกรแดงระดับผลึกตนนี้ได้รับบาดเจ็บหนักในปีนั้น มันไม่เพียงแต่ทิ้งเปลือกที่สมบูรณ์ไว้ แม้แต่กระดูกมังกรที่หลอมจนถึงขั้นสุด ก็ถูกเคล็ดวิชาบางอย่างซ่อนไว้ในเกล็ดแผ่นหนึ่งที่อยู่บริเวณต้นคอ

ด้วยพลังของหลิ่วหมิงในตอนนี้ ย่อมไม่อาจมองเห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ในนี้ได้ แต่ถ้าคิดจะซ่อนให้พ้นจากสายตาของ ‘หลิ่วหมิง’ในตอนนี้ล่ะก็ เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน

“เสียดายที่เป็นกระดูกมังกรแดง ถ้าเป็นกระดูกมังกรพิภพ หรือกระดูกมังกรทองคำล่ะก็ จะดีกว่ามาก แต่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้คงต้องฝืนใช้มันแล้ว เจ้าเด็กมนุษย์นี่อยากจะฝึกฝนเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ หลังจากละลายกระดูกชุดนี้เข้าไปแล้ว ก็จะได้ผลลัพธ์การฝึกฝนที่ดีมากขึ้น เฮ่อๆ! แต่วิชาสายปีศาจเช่นนี้ ข้าจะไปฝึกฝนได้อย่างไร รอข้าปรับปรุงกายเนื้อสำเร็จ ก็จะรีบไปจากพื้นที่ลับตาแห่งนี้ และหาทางกลับไปแดนปีศาจ เพื่อฝึกฝนสุดยอดวิชาพลังปีศาจของข้าอีกครั้ง” ‘หลิ่วหมิง’ ใช้นิ้วลูบกระดูกมังกรขนาดใหญ่ตรงหน้า และกล่าวออกมาด้วยความเสียดาย

พอกล่าวจบ เขาก็ทำท่ามือด้วยมือเดียวอย่างไม่รอรี เปลวเพลิงสีดำที่อยู่ระหว่างคิ้วเปล่งประกายออกมา และพุ่งลงบนกระดูกมังกร ภายใต้การเผาไหม้ของเปลวเพลิงสีดำ มันก็ละลายราวกับเทียนไข ครู่เดียวก็กลายเป็นเม็ดโปร่งใสแวววาว ที่มีขนาดเท่าเมล็ดถั่ว

หลิ่วหมิงคว้าเอาเม็ดโปร่งใสแวววาวมาไว้ในมือ จากนั้นก็โยนเข้าปากและกลืนลงไปอย่างไม่ลังเล

แสงสีดำบนร่างเปล่งประกายขึ้นอีกครั้ง เปลวเพลิงสีดำระหว่างคิ้วหมุนตัวติ้วๆ ตาทั้งคู่ค่อยๆ ปิดลง

แต่เวลาผ่านไปไม่ถึงหนึ่งถ้วยชา แสงแพรวพราวก็ปรากฏขึ้นบนหน้า ‘หลิ่วหมิง’ สีหน้าเขาดูเจ็บปวดเป็นอย่างมาก

ขณะเดียวกัน กล้ามเนื้อตามผิวหนังก็เริ่มเคลื่อนไหวยุกยิกอยู่ไม่หยุด มีเสียง “ครอกแคร่ก!” ดังขึ้นภายในร่าง หลอดเลือดดำเส้นหนึ่งนูนขึ้นมา ผิวหนังบางแห่งก็เริ่มแตกร้าว และโลหิตก็ไหลออกมา!

……………………………………….