แดนนิรมิตเทพ บทที่ 711
เมื่อมองห่าวเจี้ยนที่กำลังนั่งอยู่บนเตียงด้วยท่าทางระมัดระวัง รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเฉินโม่

เขารู้ว่าห่าวเจี้ยนได้รับฉายาว่า ‘เลวทราม’ (พ้องกับคำว่าห่าวเจี้ยน) ตั้งแต่ชั้นประถม นี่คือสิ่งที่เขาอยากเปลี่ยนแปลงเสมอมา

ดังนั้น ทุกครั้งที่เขาเปลี่ยนสภาพแวดล้อมใหม่ ห่าวเจี้ยนต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการอธิบายชื่อของตนเอง และหวังว่าจะสามารถหลุดพ้นจากฉายาที่ทำให้เขารู้สึกลำบากใจมาตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาก

และแน่นอนว่าคำพูดเหล่านี้ห่าวเจี้ยนพูดออกมาตอนเมา ซึ่งทำให้รูมเมทหลายคนหัวเราะเยาะเขาไปหลายวัน

หลังจากสร่างเมาแล้ว ห่าวเจี้ยนสาบานว่าต่อไปจะไม่ดื่มเหล้าอีก

แต่น่าเสียดายที่ช่วงเรียนมหาวิทยาลัยสี่ปี ห่าวเจี้ยนยังคงไม่สามารถหลุดพ้นกับฉายาที่เข้ากับบุคลิกของเขาได้

“สวัสดีครับ!” เฉินโม่มองเขาและกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

ชายหนุ่มที่ท่าทางสุขุมนั่งอยู่ที่เตียงด้านล่างเตียงตอนท้าย รอจนกระทั่งจี๋ต๋าจิ่วตูกับห่าวเจี้ยนแนะนำตัวเสร็จ เขาค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนและโค้งคำนับให้เฉินโม่อย่างสุภาพ “สวัสดีครับ ข้าน้อยชื่อเหวินถิงอี้ มาจากเมืองหาง! ยินดีที่ได้รู้จัก ฝากเนื้อฝากตัวกับพี่เฉินโม่ด้วย!”

เฉินโม่มองเขา คำพูดเหล่านี้ฟังแล้วอยากจะหัวเราะให้ฟังร่วง หลังจากเวลาผ่านไปหกร้อยปีแล้ว เขาได้ยินคำพูดเช่นนี้อีกครั้ง ทำให้เฉินโม่มีความรู้สึกคุ้นเคยที่หายไปนาน

เฉินโม่จำได้ว่าครั้งแรกที่เขาได้ยินเหวินถิงอี้แนะนำตัวเอง เขาหัวเราะจนท้องแข็ง

ตอนนั้นเหวินถิงอี้ทำให้เฉินโม่รู้สึกว่าเขาเป็นบัณฑิตยากจนในสมัยโบราณที่ได้เดินทางข้ามเวลามายังยุคใหม่

แต่คราวนี้ เขาไม่ได้หัวเราะ แต่ทำความเคารพตอบอย่างจริงจัง “สวัสดีครับ ข้อน้อยชื่อเฉินโม่ ขอคารวะพี่ถิงอี้!”

คราวนี้ กลับทำให้เหวินถิงอี้รู้สึกตกใจ

เนื่อง​จาก​เหตุผล​ทาง​ครอบครัว ทำให้เขามี​นิสัย​พูดสุภาพแบบนี้ และ​เขา​มัก​ถูก​คนอื่นหัวเราะเยาะเพราะ​เรื่อง​นี้ เพียงแต่ยังไม่มีใครทักทายกลับด้วยคำพูดแบบเดียวกับเขา

“สวัสดีครับ สวัสดีครับ!” ไม่รู้ว่าเหวินถิงอี้รู้สึกได้รับความโปรดปรานอย่างไม่คาดฝันจนรู้สึกประหลาด หรือทำอะไรไม่ถูก ทำให้เขารู้สึกกระสับกระส่ายเล็กน้อย

เฉินโม่หันไปมองผู้ชายสองคนที่กำลังพยายามกลั้นหัวเราะ โดยเฉพาะใบหน้าที่อ้วนของจี๋ต๋าจิ่วตูกลั้นจนเปลี่ยนเป็นสีแดงแล้ว

จากความทรงจำของเฉินโม่แล้ว รวมตนเองแล้ว มีคนอาศัยอยู่ในห้องพัก 306 คนหก ซึ่งหมายความว่ายังมีคนที่ไม่มาอีกสองคน

คนหนึ่งคือกู่หลินเฟิง และอีกคนคือเจี่ยจวินเซี่ย

สองคนนี้ คนแรกมีบทบาทเหมือนจางเฟย ส่วนคนที่สองมีบทบาทเหมือนจูเก่อเลี่ยง

จากการสนทนา ทำให้พวกเขาคุ้นเคยกันมากขึ้นเรื่อย ๆ และบรรยากาศก็อบอุ่นขึ้นเรื่อย ๆ

ไม่รู้เนื้อรู้ตัวก็ถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว พวกเขาลงไปทานอาหารที่ร้านอาหารเล็ก ๆ ใกล้มหาวิทยาลัย จี๋ต๋าจิ่วตูกล่าวกับทุกคนว่าเขาจะเป็นเจ้ามือเลี้ยงอาหารมื้อนี้เอง เหตุผลคือราคาอาหารของมื้อนี้ถูก ต่อไปถ้าไปทานอาหารที่ร้านอาหารใหญ่ ค่อยให้คนอื่นเป็นเจ้ามือ

หลังจากทานอาหารเสร็จแล้ว เฉินโม่ยังไม่กลับหอพัก แต่เขาไปเดินละแวกนี้ แล้วเช่าบ้านที่ค่อนข้างเงียบสงบ

แน่นอนว่าตอนนี้เฉินโม่ไม่ได้ขาดแคลนเงินอีกต่อไปแล้ว และเขาไม่สนใจว่าค่าเช่าเท่าไหร่

บ้านที่เขาเช่านั้นมีข้าวของเครื่องใช้และเฟอร์นิเจอร์ครบ ดังนั้นเฉินโม่จึงไม่ต้องซื้ออะไรเพิ่ม

ตอนบ่าย เฉินโม่กลับมาที่หอพักของมหาวิทยาลัย เขากับรูมเมทไปทำความรู้จักเพื่อนร่วมชั้นเรียน

มีนักศึกษาอยู่ในห้องเรียนหลายคนแล้ว และเฉินโม่ยังคงจำใบหน้าเหล่านั้นได้ แต่ส่วนใหญ่แล้วมันเป็นความทรงจำที่ไม่มีความสุข

เฉินโม่กวาดสายตาไปรอบห้อง แต่ไม่พบร่างของผู้หญิงร้อนแรงคนนั้น ทำให้เขารู้สึกผิดหวังเล็กน้อย

คนที่เขาต้องการพบไม่อยู่ ทำให้เฉินโม่หมดอารมณ์ที่จะอยู่ในห้องเรียนเพื่อสนทนากับเพื่อนร่วมชั้น

ก่อนที่เขาจะจากไป ได้รับแจ้งว่าตอนเย็นมีการประชุมแลกเปลี่ยนภายในห้องเรียน มีคนเป็นเจ้ามือ หวังว่านักศึกษาทุกคนจะไปร่วมงาน