Dual Cultivation บทที่ 403: ผนึกตระกูลซูหยาง

 

“ทำไมเจ้าจึงบอกพวกเขาว่าเจ้าจะรับคำขอของตระกูลมู่ในเมื่อเห็นชัดว่าเจ้าจักมิทำเช่นนั้น” ซุนเฉียนถามภรรยาของเขาหลังจากที่พวกเขาออกจากโรงเตี๊ยมแล้ว

 

“นอกจากรู้สึกอยากจะแกล้งลูกสาวพวกเราที่มิสนใจข้าและเข้าร่วมกับนิกายกุสุมาลย์แล้ว ข้าคิดว่าอย่างอื่นก็มิมีอะไรอีก” ซุนเหรินกล่าวพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า

 

แน่นอนว่าซุนเหรินไม่มีเจตนาที่จะรับคำขอของตระกูลมู่ แต่เธอต้องการที่จะแก้แค้นนิสัยดื้อของซุนจิงจิง ดังนั้นจึงเป็นเหตุให้เธอโกหกเรื่องคำขอ

 

อย่างไรก็ตามเธอไม่คิดว่าซุนจิงจิงจะไม่มีปฏิกิริยาต่อเรื่องนี้ ไม่แม้จะโกรธ เป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดอย่างแท้จริงที่อีกฝ่ายมีท่าทางเป็นผู้ใหญ่และเยือกเย็นเช่นนั้นในเวลานั้น

 

“บางทีชายหนุ่มนั่นอาจจะมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นเช่นกัน” ซุนเหรินพึมพัมกับตนเอง

 

“ไม่อยากเชื่อเจ้าจริงๆ…” ซุนเฉียนส่ายหน้า

 

ในเวลนั้นกลับไปที่โรงเตี๊ยม โหลวหลานจีถามพวกเขา “ ทุกสิ่งเป็นไปด้วยดีไหม เจ้าสามารถจัดการเรื่องของพ่อแม่เจ้าได้หรือไม่”

 

“เรียบร้อยดีเจ้าค่ะ ท่านผู้นำนิกาย” ซุนจิงจิงพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม

 

“นั่นเป็นเรื่องที่น่ายินดี เช่นนั้นข้าจักปล่อยให้พวกเจ้าทั้งคู่อยู่กันตามลำพังในวันนี้” โหลวหลานจีกล่าวก่อนที่จะปล่อยพวกเขาทิ้งไว้ตามลำพังภายในห้อง

 

ความเงียบปกคลุมห้องหลังจากที่โหลวหลานจีจากไปแล้ว แต่ซุนจิงจิงก็ทำลายความเงียบไม่นานหลังจากนั้น

 

“ซูหยาง… ข้าต้องขอโทษสำหรับวันนี้ ท่านมิจำเป็นต้องถือพ่อแม่ข้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งแม่ข้าซึ่งปกติจะพูดทุกอย่างที่อยู่ในใจเธออยู่แล้ว เพียงแค่มิสนใจสิ่งที่พวกเขาพูดในวันนี้”

 

“…”

 

หลังจากเงียบไปอีกชั่วขณะ ซูหยางก็มองสบตาเธอและกล่าวด้วยเสียงชัดเจนว่า “แต่ข้าหมายความตามที่ข้าพูดทุกคำ ถ้าเจ้าต้องการที่จะเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลข้าจริงๆ ข้าย่อมไม่ปฏิเสธ”

 

“จ-จริงรึ” ซุนจิงจิงปิดปากของตนเองเต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์

 

“อย่างไรก็ตามนี่มิได้เป็นตระกูลเล็ก ตามความเป็นจริงยังมีคนอื่นอีกมาก แม้ว่าเจ้ายังมิเคยพบกับพวกเธอ แต่พวกเธอก็มีตัวตนอยู่ในที่ห่างไกลออกไป”

 

“ข้ามิสน” ซุนจิงจิงพลันกล่าวโดยไม่ลังเล “ต่อให้มีคนอื่นอีกนับร้อย ข้าก็ยังคงยินดีที่จะเข้าร่วม”

 

แม้ว่าชายหนึ่งคนจะมีภรรยาหลายคนจะไม่ได้เป็นเรื่องปกติในโลกนี้ แต่แน่นอนว่าก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกติเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ร่ำรวยและแข็งแกร่งในยุทธภพ ตามความเป็นจริงยิ่งคนผู้นั้นแข็งแกร่งมากเพียงใดโอกาสที่จะมีฮาเร็มก็มากเพียงนั้น ในเมื่อนั่นย่อมยอมให้พวกเขาได้ให้กำเนิดอัฉริยะในตระกูลมากขึ้นเพียงนั้น

 

“ตราบเท่าที่ข้ายังคงเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเขา ตราบเท่าที่เขายังมิทิ้งข้า ข้ามิสนต่อให้ข้าเป็นเพียงคนหนึ่งในคู่ครองมากมายของเขา…” ซุนจิงจิงคิดในใจขณะที่เธอจ้องเขม็งไปยังซูหยาง

 

หลังจากที่เงียบไปสองสามนาที ซูหยางพลันยืนขึ้นและปล่อยชุดคลุมหลุดจากร่าง เผยให้เห็นน้องชายที่แข็งเกร็ง

 

ซุนจิงจิงมองดูเขาพร้อมกับเลิกคิ้ว

 

“ถ้าเจ้าต้องการที่จะเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลข้าจริงๆ เช่นนั้นก็รับผนึกตระกูลของข้า”

 

“ผนึก… ตระกูลรึ คืออะไรกัน” ซุนจิงจิงเอียงคอด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ ในเมื่อเธอไม่เคยได้ยินศัพท์คำนี้มาก่อน

 

“เป็นประเพณีทั่วไปในเมืองเกิดข้า ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นตระกูลที่มีชายเพียงคนเดียวในบ้านโดยที่เหลือเป็นภรรยาหรือไม่ก็อนุภรรยา” ซูหยางกล่าว เมืองเกิดของเขาก็คือสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์

 

“ก่อนที่คนหนึ่งจะถือว่าเป็นคนในตระกูล พวกเธอจะต้องยอมรับผนึกตระกูลก่อน ซึ่งจักสร้างขึ้นผ่านการฝึกวิชาร่วมด้วยปราณหยางของชาย”

 

“ครั้นเมื่อผนึกตระกูลประทับบนร่างของเจ้า เจ้าจักต้องทำตามกฏตระกูล ถ้าเจ้าตัดสินใจที่จะทำลายกฏหรือทรยศข้า ผนึกตระกูลจักทำลายพลังการฝึกปรือของเจ้าอย่างสิ้นเชิงหรือไม่ก็ฆ่าเจ้าในทันที แน่นอนว่าถ้าเจ้าถ้าเจ้ารู้สึกว่าเจ้ามิต้องการที่จะเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลอีกต่อไป ข้าสามารถช่วยเจ้านำเอาผนึกตระกูลออกซึ่งจะมิมีผลต่อเจ้าแต่อย่างใด”

 

“เจ้าต้องการที่จะได้ยินกฏหรือไม่” ซูหยางพลันถาม

 

ซุนจิงจิงพยักหน้าทันใด

 

“หนึ่ง เจ้าจักต้องมิฝึกฝนวิชาร่วมกับชายอื่นใดนอกจากข้าตราบเท่าที่เจ้ายังเป็นสมาชิกของตระกูลข้า นี่ควรจะอธิบายได้ด้วยตนเอง แต่ถ้าเจ้าทรยศข้าผนึกตระกูลจักฆ่าเจ้าทันที”

 

“สอง เจ้าจักต้องมิวางแผนต่อต้าน ทำร้าย หรือฆ่าคนในตระกูลโดยเจตนา ถ้าเจ้ามีความคับข้องใจกับคนอื่นภายในตระกูลที่มิอาจจะแก้ไขได้ด้วยตนเอง เจ้าจักมาหาข้าและข้าสัญญาว่าจักจัดการเรื่องนั้น บทลงโทษนั้นแตกต่างไปขึ้นอยู่กับความรุนแรง ส่วนใหญ่แล้วถ้าเจ้ามิได้ฆ่าใคร เจ้าเพียงแต่จะถูกทำลายพลังการฝึกปรือ”

 

“สาม เจ้าจักมิต้องทำอะไรที่เป็นการเสื่อมเสียชื่อเสียงของตระกูลหรือสมาชิกคนอื่นในตระกูลในเรื่องใดๆ เช่นเดียวกันขึ้นอยู่กับความหนักเบา เจ้าอาจจะถูกทำลายพลังการฝึกหรือหรือว่าถูกฆ่า”

 

“สี่ ครั้นเมื่อเจ้ารับผนึกตระกูลแล้ว มีเพียงข้าที่จักสามารถลบมันออกจากตัวเจ้าได้ ถ้าเจ้าแข็งขืนพยายามลบมันออก… พูดได้เพียงว่าเจ้ามิต้องการที่จะรู้คำตอบ”

 

“และสุดท้าย เจ้ามีหน้าที่ต้องฝึกวิชาร่วมกับข้าอย่างน้อยหนึ่งครั้งทุกสองพันห้าร้อยปีเพื่อที่จะต่ออายุผนึกตระกูล”

 

“เจ้ามีคำถามเกี่ยวกับกฏอะไรหรือไม่” ซูหยางถามเธอ

 

ซุนจิงจิงส่ายหน้า นอกจากกฏสองพันห้าร้อยปีแล้ว เธอเห็นว่าทุกอย่างล้วนสมเหตุผลและเป็นเรื่องปกติ

 

“สองพันห้าร้อยปีรึ คนหนึ่งสามารถอยู่ได้ยาวนานเช่นนั้นเลยรึ” เธอคิดสงสัย

 

เมื่อเห็นคำตอบของเธอ ซูหยางก็พยักหน้าก่อนที่จะพูดต่อว่า “ตอนนี้เมื่อเจ้าได้ยินกฏทั้งหมดแล้ว เจ้ายังยินดีที่จะร่วมกับตระกูลข้าหรือไม่”

 

“ข้ายินดี” ซุนจิงจิงตอบโดยไม่ลังเลขณะที่เธอถอดเสื้อผ้าออก

 

“ดี มานี่สิ”

 

ซุนจิงจิงพลันกระโดดเข้าไปในอ้อมแขนของซูหยาง และหลังจากเล้าโลมไปสองสามนาที ซูหยางก็ผลักศิวลึงค์เข้าไปในร่างทรงเสน่ห์ของซุนจิงจิง

 

“อาาาา”

 

ซุนจิงจิงครวญครางเสียงดังยามที่ซูหยางทะลวงเข้าไปในถ้ำของเธอ ค่อยปล่อยปราณหยางของเขาเข้าไปในร่างของเธอ

 

หลังจากที่ฝึกวิชาร่วมกันต่ออีกสองสามนาที อักษรคำว่า “ซู” สีดำก็เริ่มก่อร่างขึ้นบนร่างของซุนจิงจิงบริเวณหัวหน่าว ตัวอักษรไม่ได้ใหญ่กว่าสามนิ้วทั้งความกว้างและความยาว และมันปลดปล่อยกลิ่นอายที่สุดหยั่งคาดออกมา

 

ครั้นเมื่อตัวอักษรก่อร่างขึ้นมาสมบูรณ์แล้ว ซูหยางก็กัดปลายนิ้วของตนเองและป้ายเลือดลงไปบนจุดที่คำพูดประทับอยู่ ทำให้ตัวอักษรถูกระบายกลายเป็นสีแดงสด

 

สองสามวินาทีต่อไป ราวกับว่ามันมีชีวิต ตัวอักษรที่ประทับอยู่บนตัวของซุนจิงจิงดูดซับเลือดของซูหยางอย่างรวดเร็วก่อนที่จะเปลี่ยนสีเป็นสีทอง

 

“สำเร็จแล้ว” ซูหยางกล่าวกับเธอด้วยรอยยิ้มที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน “ตอนนี้เจ้าเป็นคนในตระกูลข้าแล้ว”