ตอนที่ 399 คนหน้าตาคล้ายสุนัขจิ้งจอกหน้าหยก
พอเฝิงเยี่ยไป๋ไป คนที่เหลือเหล่านี้ก็เป็นคนไม่ฉลาด เขาเพียงแค่ใช้อุบายเล็กน้อยก็ทำให้ประชาชนวุ่นวายขึ้นมา ไม่มีอะไรสำคัญกว่าชีวิต พวกเขาอยากรอด ก็ต้องมีคนที่ตัดสินใจได้ยืนออกมา องครักษ์ขวางไว้ไม่ให้เข้า ไม่เป็นไร สุดท้ายแล้วคนที่เสียชื่อเสียงก็เป็นฮ่องเต้ องครักษ์เช่นพวกเขานั้นจะรับผิดชอบได้มากมายเพียงใด
เหล่าองครักษ์ก็ได้แต่ขวาง ไม่กล้าลงมือจริงๆ ซื่อจื่อของซู่อ๋องอยู่ที่นี่ พวกเขาไม่กล้าแม้จะชักดาบ ชักแล้วไม่แน่ก็จะเกิดข่าวลืออะไรอีก ช่วยไม่ได้ จึงได้แต่ตั้งกำแพงมนุษย์ ขวางประตูเอาไว้ไม่ให้เข้า
ตอนแรกเฉินยางหลับลงไปแล้ว เพียงแต่ได้ยินเสียงวุ่นวายข้างนอกดังเสียเหลือเกิน นางถูกปลุกตื่นขึ้นมาอีกครั้ง นางคุมเสื้อเอาไว้นั่งขึ้นถามว่า “ข้างนอกเป็นอะไรหรือ เสียงดังเช่นนี้?”
ซั่งเหมยเข้ามาจุดไฟให้ “ที่นี่เคยเงียบหรือ ท่านก็อย่าได้ยุ่งเลย รีบนอนเสียเถิด”
“เจี่ยชีล่ะ เรียกเขาเข้ามาถามเถิด ท่านพี่เพิ่งไป หากเกิดเรื่องอะไรขึ้น พวกเราก็ต้องหาวิธี อย่าได้ให้เขาจัดการอยู่คนเดียว”
นางดื้อดึงขึ้นมา ซั่งเหมยซั่งเซียงก็เคยเห็น นางเตรียมใส่รองเท้าลงจากเตียงแล้ว ดูท่าต้องยุ่งให้ได้เลย
ซั่งเหมยจึงได้แต่ออกไปเรียกเจี่ยชี ซั่งเซียงช่วยนางสวมชุดให้เรียบร้อย กลับกลางคืนจะหนาว นางเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาวเป็นไข้ขึ้นมา จึงสวมผ้าคลุมไหล่ให้นางอีกตัวหนึ่ง ไฟในห้องจุดหมดแล้ว ซั่งเหมยนำเจี่ชีเข้ามา เฉินยางถามข้างนอกเกิดอะไรขึ้น เจี่ยชีอ้ำอึ้งพูดไม่ถูก
“ตกลงเกิดอะไรขึ้น”
เสียงโวยวายข้างนอกดังขึ้นเรื่อยๆ เฉินยางถามอะไรขาดปากเขาไม่ได้ จึงรีบร้อนเปิดประตูเดินออกไป
ซั่งเหมยซั่งเซียงรีบตามขึ้นไปประคองนาง เจี่ยชีอย่าจะห้าม เพียงแต่นางตั้งครรภ์อยู่ เขากลับตัวเองมือเท้าแข็งกระด้างเกิดความผิดพลาดขึ้นมา ก็ไม่กล้าขวางทางของนางจริงๆ จึงได้แต่ตะโกนอยู่ข้างหลัง รอให้นางหยุดแล้ว คนก็มาถึงหน้าประตูแล้ว
องครักษ์ที่ประตูตั้งกำแพงมนุษย์ขึ้นมา ขวางประชาชนที่ทุกข์ยากที่โถมเข้ามา ประชาชนที่ทุกข์ยากเหล่านั้น แต่ละคนล้วนผอมจนเหลือกระดูก มองอยู่ที่ไกลๆ ก็เหมือนดั่งผีร้ายที่คลานขึ้นมาจากนรกที่มาเอาชีวิตไป
เจี่ยชีถึงได้พูดว่า “ท่านอ๋องประหารหลี่ฉางยง ซู่อ๋องส่งคนมาเติมตำแหน่งว่างของหลี่ฉางยง พวกเราไม่ให้เข้า ซื่อจื่อคนนั้นจึงยุยงประชาชน” มือเขาชี้ไปที่อวี่เหวินลู่ให้เฉินยางดู “ประชาชนไม่สนใจว่าแผ่นดินจะเป็นของใคร พวกเขาสนเพียงกินอิ่มได้หรือไม่ ย่อมอยากให้ใต้เท้าคนใหม่มาแทนที่ พอเป็นเช่นนี้จึงเกิดความวุ่นวายขึ้นมา”
เฉินยางมองตามทิศทางที่เจี่ยชีชี้ ในกลุ่มคน มีคนที่หน้าตาดั่งสุนัขจิ้งจอกหน้าหยกยิ้มให้นาง ใบหน้าที่ยังเยาว์วัย ดูไปแล้วก็อายุพอๆ กับนาง เพียงแต่เต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์
“จะเติมตำแหน่งว่างอย่างไรก็ไม่ถึงกับต้องให้ซู่อ๋องส่งคนมา เขาเป็นกบฏไม่ใช่หรือ เขาส่งคนมาเติมตำแหน่งว่าง เป็นเรื่องอะไรกัน จะให้ฮ่องเต้คิดอย่างไร คงไม่ใช่ว่าจะให้ท่านพี่กลายเป็นพวกเดียวกับเขาแล้วกระมัง!”
อย่าได้มองว่าปกตินางจะโง่เขลาไม่มีความคิดเห็น หากเจอเรื่องใหญ่จริงๆ นางก็รู้เรื่องอยู่ ใต้เท้าที่ซื่อจื่ออะไรนั่นพามา จะให้เข้าศาลไม่ได้เด็ดขาด ไม่เช่นนั้นโทษฐานกบฏนี้ก็ถูกสวมเรียบร้อย เมืองหลวงก็กลับไปไม่ได้แล้ว
เจี่ยชีเกาศีรษะ “เพียงแต่ตอนนี้ท่านอ๋องก็ไม่อยู่ ฝั่งเมืองเหมิงนั้นก็ไม่รู้ว่าสถานการณ์เป็นเช่นไร ยามที่ไปก็ไม่ได้พาไปแม้แต่คนเดียว”
เฉินยางตกใจ “ไปเมืองเหมิงทำอะไรหรือ เขาไม่ใช่ว่าไปซื้อข้าวหรือ”
เจี่ยชีเพิ่งรู้สึกตัวว่าตัวเองหลุดปากไป จึงตบปากตัวเองสองที พูดจาพึมพำแล้วเริ่มอ้ำอึ้งอีกครั้ง
ตอนที่ 400 หน้าตาเช่นนี้ยังรักเหมือนดั่งสมบัติอีก
อวี่เหวินลู่เห็นเว่ยเฉินยางในทันที สุดท้ายก็ได้เห็นภรรยาที่สวยกว่านางฟ้าที่เฝิงเยี่ยไป๋ว่า ยังคิดว่าสวยงามเพียงใด พอได้เห็นตัวจริงแล้วก็อดไม่ได้ที่จะผิดหวัง สวยกว่านางฟ้าเสียที่ใด ยังไม่สู้สาวปรนนิบัติสองคนนั้นของเขาเลย ดูท่าทางของเฝิงเยี่ยไป๋นั่นก็ไม่เหมือนคนขาดผู้หญิง ไฉนแววตาถึงแย่เช่นนี้ หน้าตาเช่นนี้ยังรักเหมือนดั่งสมบัติอีก ยังมีหน้าป่าวประกาศ หน้าไม่อายนัก
เฉินยางก็จ้องมองเขา อย่างไรเสียนางก็ยังไม่โต ทำตาขาวใส่เขา โกรธจัดจนหอบหายใจ
ซั่งเหมยกลัวนางจะโกรธมากเกินไป จะลากนางกลับไป “นายหญิง ท่านระวังร่างกายของท่าน อย่าได้โกรธนักเลย พวกเราไม่ทำตัวไร้เหตุผลเหมือนเขา เรื่องเช่นนี้รอให้ท่านอ๋องกลับมาค่อยว่ากันเถิด พวกเรากลับเข้าไปพักก่อน!”
นางไม่ไป หันศีรษะถามเจี่ยชีว่า “ข้าวที่วันนี้ค้นมาได้นั้นแจกลงไปแล้วหรือไม่”
เจี่ยชีบอกไม่ “ท่านอ๋องบอกว่าพรุ่งนี้เช้าตั้งลานข้าวต้มที่หน้าศาล แล้วค่อยให้คนมารับข้าวต้ม”
เฉินยางพูดว่า “เจ้าดูพวกเขาหิวเช่นนี้ ไม่ต้องรอพรุ่งนี้แล้ว คืนนี้เลย เจ้าเรียกคนยกข้าวออกมา แล้วตีฆ้องป่าวประกาศ ให้ประชาชนที่ทุกข์ยากมารับข้าวสาร คนหนึ่งแบ่งสองถ้วยก่อน จากนั้นก็ประทับตราที่มือพวกเขา รอพรุ่งนี้เช้าต้มข้าวต้มเสร็จแล้ว ค่อยให้คนที่ยังไม่ได้รับข้าวสารมากิน สงบคนไว้ก่อน อย่างไรเสียจะให้พวกเขาพังเข้ามาไม่ได้”
พอมีอาหาร ใครยังจะสนว่าเขาเป็นข้าราชการหรือไม่ เจี่ยชีขันรับ เรียกคนไปยกข้าวสาร แล้วก็ตีฆ้องป่าวประกาศนำประชาชนที่ทุกข์ยากไปที่ประตูข้าง คนเหล่านั้นหิวจนแทบตาลาย เห็นถุงข้าวสารยังต้องเรียกเสียที่ใด วิ่งไปด้วยตัวเองทันที คนที่ขวางประตูไว้ก่อนหน้านี้ก็สลายไปทันที
เจี่ยชีตีฆ้องตะโกน “ต่อแถวดีๆ ต่อแถวให้ดี ทุกคนได้หมด อย่าได้ร้อนรนอย่าได้แย่งหัน รับข้าวสารไปแล้วก็ยื่นมือออกมา”
ใช้หมึกประทับตรา กลับไปพวกเขาถูกับดินก็ออกแล้ว พรุ่งนี้มารับข้าวต้มอีก เช่นนั้นคนที่เหลือก็ไม่พอกินแล้ว ดังนั้นจึงใช้วิธีที่เจ็บเล็กน้อย นั่นก็คือใช้มีดแทงที่นิ้วโป้งเบาๆ เห็นเลือดเป็นพอ พรุ่งนี้ยื่นมือออกมา ใครได้รับแล้วใครยังไม่ได้รับ มองดูก็รู้ จะได้ไม่ต้องมีคนมาเอาเพิ่ม
สามารถกินข้าวได้เต็มอิ่ม เลือดไหลเล็กน้อยจะเป็นอะไรไป ดังนั้นจึงยอมทำตามกัน
อวี่เหวินลู่ก็งงทันที เขานึกไม่ถึงว่าเจ้าเด็กนี้จะคิดวิธีนี้ได้ พูดไม่สู้ทำ เขียนภาพปลาแก้หิวจะสู้มีปลาจริงๆ อยู่ตรงหน้าได้อย่างไร พอแผนล้มเหลว เทียบกับนางแล้ว ตัวเองกลับกลายเป็นคนโง่เสียแล้ว
เฉินยางเดินท้องโย้ไป ตอนนี้อยู่บนบันได เหลือบมองเขาพูดว่า “พวกเจ้าอย่าได้คิดจะใส่ความผิดให้ท่านพี่ของข้า ขอเพียงมีข้าอยู่ เจ้าและคนที่จะมาเติมตำแหน่งอยู่ข้างกายเจ้าก็อย่าได้คิดจะเข้ามาเด็ดขาด”
อวี่เหวินลู่แค้นจนกัดฟัน “โง่เขลานัก! โง่เขลานัก! เจ้ารู้อะไร! ข้าวเพียงเท่านี้จะใช้ได้นานเพียงใด ประชาชนที่ทุกข์ยากในเมืองมีมากมายเช่นนี้ เฝ้าข่าวที่มีเพียงน้อยนิด จะอยู่ได้นานเพียงใด? เจ้า… ผมยาว คิดสั้น!”
เขาเรียนหนังสือนักปราชญ์ตั้งแต่เด็ก ที่เรียนคือวิถีสุภาพบุรุษ เมื่อจะด่าคน คำที่คิดออกมาได้ก็มีจำกัด ไปๆ มาๆ ก็ด่าได้เท่านั้น
เฉินยางคร้านจะเถียงกับเขา นางเท้าเอวลูบท้อง เรียกซั่งเหมยซั่งเซียงยกเก้าอี้มาให้นาง “ข้าจะนั่งอยู่ที่นี่วันนี้ มีปัญญาเจ้าก็เข้ามา เพียงตัวเล็กตัวน้อยอย่างพวกเจ้า มาคนหนึ่งข้าก็ตบคนหนึ่ง”