บ่วงวิวาห์ ภรรยาตราบาป พันธะร้าย เจ้าสาวสีดำ บทที่ 644

“ขาเขาเจ็บหนักไม่ใช่เหรอคะ? แล้วทำไมถึงได้ออกจากโรงพยาบาลไวขนาดนี้?” เมเดลีนจำได้ว่ามือและขาของเจเรมี่ได้รับบาดเจ็บ

เอโลอิสหลบสายตาเมเดลีนในขณะที่เข้าไปช่วยพยุง เธอค่อย ๆ พูดขึ้น “คุณหมอบอกว่าเขาสามารถออกไปพักรักษาตัวที่บ้านได้แล้ว แม่ก็เลยคิดว่าคงไม่น่าจะมีปัญหาอะไรร้ายแรงแหละ”

“ถ้าเขาไม่เป็นไรแล้ว หนูก็ไม่มีอะไรที่ติดค้างเขาอีก” เมเดลีนพูดขึ้นอย่างเฉยเมย น้ำเสียงของเธอบ่งบอกถึงความแน่วแน่ที่จะยุติความสัมพันธ์กับเจเรมี่อย่างชัดเจน

เอโลอิสยิ้มพลางพยักหน้าตอบ เธอไม่กล้าบอกเมเดลีนว่าอาการบาดเจ็บของเจเรมี่น่าเป็นห่วงมาก

กล้ามเนื้อและกระดูกบริเวณน่องของเขาได้รับบาดเจ็บ และทำให้ตอนนี้เขาเดินเหินได้อย่างยากลำบาก

อีกทั้งเขายังสูญเสียการมองเห็นไป ทำให้ไม่สามารถรับรู้สิ่งรอบตัวได้อีก

หลังจากที่เฟลิเป้กลับมาจากโรงพยาบาล สิ่งแรกที่เขาทำคือสั่งลูกน้องให้ไปสืบเรื่องที่เมเดลีนถูกลักพาตัว

เมื่อตามร่องรอยของคนร้ายที่ลักพาตัวเมเดลีนไป เขาพบว่าแทนเนอร์ไหวตัวทันและไปหลบซ่อนอยู่ในอพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่งก่อนที่ตำรวจจะเจอตัวเพียงแค่ก้าวเดียว ในตอนนั้น เขารับรู้ถึงเรื่องยุ่งเหยิงระหว่างแทนเนอร์กับเมเดลีนได้ทันที

แทนเนอร์พยายามทุกวิถีทางเพื่อหลบหนีในระหว่างที่ถูกพาตัวมายังวิลล่าของเฟลิเป้ในชานเมือง

พระอาทิตย์ยามเย็นที่นี่ช่างสวยงามเหลือเกิน

เฟลิเป้นั่งชมดอกไม้อยู่ในสวนอย่างสง่างาม พร้อมจิบชาดำด้วยท่าทางสบาย ๆ

“พวกแกเป็นใคร? พาตัวฉันมาที่นี่ทำไม? รีบปล่อยฉันไปสิเว้ย!” แทนเนอร์ตะโกนลั่นในขณะที่ถูกพาตัวเข้ามา

ลูกน้องของเฟลิเป้ผลักแทนเนอร์ซึ่งกำลังพยายามดิ้นให้ล้มลงไปกับพื้นตรงหน้าเฟลิเป้อย่างรวดเร็ว

แทนเนอร์เซถลาไปล้มลงตรงหน้าเฟลิเป้ เขาเงยหน้าขึ้นมามองด้วยสายตาอันเชือดเฉือน และรู้สึกงุนงงเมื่อเห็นชายหนุ่มที่หล่อเหลา โดดเด่น และสง่างามอยู่ตรงหน้า

“แก… แกเป็นใคร? แล้วให้คนมาพาตัวฉันมาที่นี่ทำไม?”

เฟลิเป้กระตุกริมฝีปากเล็กน้อย เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เอื่อยเฉื่อยและเรียบเฉียบ “แกไม่รู้ว่าทำอะไรลงไปอย่างนั้นเหรอ?”

แทนเนอร์สั่นกลัว หรือว่าจะเป็นไอ้พวกทวงหนี้โหดที่มาเอาเงินจากฉัน?

ในขณะที่เขากำลังคาดเดาไปต่าง ๆ นานา เฟลิเป้ก็ลุกขึ้นยืน รูปร่างที่สูงใหญ่และดูดีแผ่รังสีอันน่าสะพรึงกลัวกดดันบรรยากาศโดยรอบออกมา

“คนที่ทำให้เมเดลีนอยู่ไม่เป็นสุข ก็อย่าหวังเลยว่ามันผู้นั้นจะได้อยู่อย่างเป็นสุข”

เขาหัวเราะออกมาพร้อมกับสายตาอันชั่วร้าย

“สั่งสอนให้มันหลาบจำ แล้วอย่าทำให้บ้านฉันเปื้อนล่ะ”

“รับทราบครับ นายท่านวิทแมน”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น แทนเนอร์รู้ได้ทันทีว่าผู้ชายคนนี้ลากตัวเขามาจัดการก็เพราะเมเดลีน

ริมฝีปากของแทนเนอร์บิดเบี้ยวเมื่อได้เห็นบอดี้การ์ดร่างกำยำยืนล้อมเข้าอยู่

ในที่สุดเขารับรู้ได้ถึงความกลัวที่หยั่งลึกลงไป แต่มันก็สายเกินไปแล้ว

ครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น บอดี้การ์ดกลับเข้ามารายงานเฟลิเป้เรื่องอาการของเจเรมี่

หลังจากที่ทราบเรื่องราว เฟลิเป้ฉีกยิ้มกว้าง “ตาบอด? ขาหัก? แกแน่ใจเหรอ?”

“ครับผม เขาออกไปจากโรงพยาบาลเมื่อตอนเช้าตรู่และไม่ได้บอกเรื่องนี้กับคุณเอวลีนด้วยครับ”

เฟลิเป้หรี่ตาลงเมื่อได้ยินลูกน้องรายงาน

‘เจเรมี่ ดูเหมือนว่าฉันจะประเมินความรักที่แกมีให้เอวลีนต่ำไปสินะ

‘แต่เอาจริง ๆ ฉันไม่คิดเลยนะว่าแกจะตาบอด ดูเหมือนว่าพระเจ้าจะเข้าข้างฉันแล้วสินะ’

เขาเปิดข้อมูลที่ส่งมาจากเมืองเอฟ และยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัย

หลังจากกลับมาจากโรงพยาบาลได้สองสามวัน เจเรมี่เอาแต่เก็บตัวอยู่แต่ในห้องคนเดียว

เขาสัมผัสความมืดมิดและความวิตกกังวลที่เมเดลีนเคยรับรู้มาก่อน และรู้สึกเจ็บปวดยิ่งขึ้นไปอีก

ตอนนี้เขารู้แล้วว่าในฐานะคนตาบอด การใช้ชีวิตอย่างคนปกตินั้นมันยากมากแค่ไหน

เขารู้สึกความเขาไม่มีสิทธิ์ที่จะรักเธออีกครั้ง เพราะว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาเป็นคนที่ทำให้เมเดลีนต้องเจ็บปวด

เจเรมี่กำลังฟังเพลง ‘ปีศาจไร้เดียงสา’ ที่เมเดลีนเคยร้องคลอใต้ผืนฟ้าสีครามซึ่งมีเมฆปกคลุมซ้ำไปซ้ำมา ทันใดนั้นมีเสียงตะโกนโหวกเหวกจากชั้นล่าง

เมื่อเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ แล้วเขาก็พบว่าเอโลอิสมาหา คาเลนโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เธอเอาแต่ก่นด่าว่าทำไมเมเดลีนถึงทำให้ลูกชายตนตาบอด

แม้ว่าขาของเจเรมี่ยังไม่หายดี แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร เขาค่อย ๆ เดินคลำทางลงไปด้านล่าง

เมื่อเห็นว่าเจเรมี่เดินลงมา เอโลอิสก็รีบเดินตรงไปหาเขาทันที

“เอโลอิส ลูกสาวหล่อนทำให้ลูกชายฉันต้องเจ็บตัวขนาดนี้ หล่อนยังมีหน้ามากวนใจเจเรมี่อีกเหรอ?” คาเลนรีบวิ่งไปขวางทางเธอ

เจเรมี่หันหน้าไปทางต้นเสียง และแสดงท่าทีไม่พอใจกับคาเลนก่อนจะเอ่ยถามเอโลอิสอย่างเป็นกังวล “มีอะไรเกิดขึ้นกับลินนี่เหรอครับ? ทำไมคุณถึงมาหาผมกะทันหันแบบนี้”